บทที่ 552 การส่งล้มเหลว
ซากปรักหักพังสือเฉิง
การสู้รบพัลวันของจ้าวเฟิงกับกองทัพของ ‘ลู่เทียนอี้’ จึงจบลงเพียงเท่านี้
ลู่เทียนอี้นัยน์ตาเลื่อนลอย ร่างกายแข็งทื่อ ทั่วร่างกายไม่มีกลิ่นอายของชีวิตหลงเหลืออยู่ เป็นหรือตายยากจะตัดสิน สภาวะแบบนี้ถึงจะไม่มอดม้วยมรณา แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับตายไปแล้ว กองทัพทั้งหมดของลู่เทียนอี้มีผู้ที่รอดชีวิตเหลืออยู่เพียงคนเดียวก็คือจงหว่านเอ๋อร์
โลกภายนอก
ยอดฝีมือทั้งสามสำนักบนยอดเขาเทียมฟ้ามีสีหน้าตึงเครียด ทั้งตกใจทั้งสะพรึงกลัว พลังการรบของลู่เทียนอี้ไม่ได้ต่ำต้อยอะไร แล้วยังมีอาวุธสังหารที่สามารถปกป้องชีวิตได้ แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาล้วนแต่ถูกจ้าวเฟิงจัดการจนพ่ายแพ้ราบคาบ
ในความเป็นจริง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ ‘ลู่เทียนอี้’ พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของ
จ้าวเฟิง ความล้มเหลวในครั้งก่อนก็เป็นการพ่ายแพ้แบบเกือบถึงชีวิต โชคดีที่มีราชันในขอบเขตปราณเทวะช่วยไว้จึงรอดมาได้
ในเวลานี้ ราชันปราณเทวะทั้งสามล้วนแต่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
ก่อนเรื่องจะเกิดขึ้น ใครก็ไม่อาจคาดคิดว่าแผนทะลวงมิติสือเฉิงของทั้งสามสำนักจะโดนทำลายครั้งแล้วครั้งเล่าโดยเด็กรุ่นหลังในขั้นนายเหนือแท้เท่านั้น
วูบ ฮู้~
หมอกควันสีเทาเข้มแน่นขนัดเกาะกลุ่มลอยตัวอยู่ในอากาศ ขยายรัศมีไปราวหนึ่งถึงสองลี้ พลังคำสาปอาฆาตแค้นทะลวงมาในอากาศแล้วกัดกร่อนดวงวิญญาณของสรรพชีวิต
“พรึ่บ พรึ่บ…” เจ้าหอโครงกระดูกโบกธงสีดำในมือ เพื่อนำพลังของค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปคืบคลานไปยังผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นและคนอื่นๆ
ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นช่วยลู่เทียนอี้พลางเรียกใช้อาวุธชั้นพิภพ ‘หยดนทีมรกต’
วิ้ง!
กำแพงน้ำมีลำแสงสีเขียวมรกตสาดออกมา กลายเป็นเกราะป้องกัน ‘เขตนทีมรกต’ ที่ยากจะทะลวงเข้าไปได้ และขวางกั้นพลังของ ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’ ไว้
ในเวลาเดียวกัน เย่หยานหยูและจงหว่านเอ๋อร์ต่างล้วงเอาเศษเสี้ยวอาวุธชั้นพิภพของตนเองออกมาคนละชิ้น กลิ่นอายพลันแข็งแกร่ง พลังรบเข้าใกล้ขั้นผู้สูงศักดิ์
“ทำลาย!” สตรีทั้งสองร่วมกันทำลายพลังค่ายกลหุ่นเชิดศพที่อยู่ใกล้ๆ จนแตกกระจายเป็นชิ้นๆ
เมื่อดรุณีเลอโฉมทั้งสองร่วมมือกัน พลังรบของพวกนางเทียบเท่ากับผู้สูงศักดิ์ ต่อให้เป็นลู่เทียนอี้ในสภาพที่สมบูรณ์ก็คงจะพอรับมือได้แค่บางส่วน
“สตรีน่ารังเกียจนั่นอาการบาดเจ็บยังไม่ทันหายดี ส่วนสตรีผู้โง่งมสองคนนี้ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย” เจ้าหอโครงกระดูกดูแลค่ายกลหุ่นเชิดศพ รอคอยคำสั่งของจ้าวเฟิง
ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปมีหุ่นเชิดศพอยู่สามสิบแปดร่าง ได้รับเลือดเนื้อและจิตวิญญาณของสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วน ซ้ำยังมีเจ้าหอโครงกระดูกในขั้นผู้สูงศักดิ์เป็นผู้บงการ เช่นนี้ก็มากเพียงพอจะล้มยอดฝีมือในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดธรรมดาได้
“ตั้งรับให้ดี!” ฝั่งผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นสามคนตึงเครียด โดยเฉพาะผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นที่ในใจเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย
ฝั่งหนึ่งคือพลังรบอันแข็งกล้าของจ้าวเฟิงกับเจ้าหอโครงกระดูก
อีกฝั่งหนึ่งคือบาดแผลของลู่เทียนอี้ที่ดูหนักหนาสาหัสกว่าที่คาดไว้มาก ถึงจะเป็นนางก็ไม่แน่ว่าจะรักษาได้
แต่เย่เหยียนหยูและจงหว่านเอ๋อร์ใบหน้ากลับเยือกเย็น ไม่มีวี่แววของความหวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อย
“ถอย” ใบหน้าของจ้าวเฟิงไม่แสดงความรู้สึกใดยามเอ่ยเพียงสั้นๆ
พรึ่บ!
วินาทีถัดมา ปีกวายุอัสนีโบกสะบัด ร่างของจ้าวเฟิงก็หายวับไปกับตา บนท้องฟ้าเหลือเพียงเงาของสายฟ้าแปลบปลาบเท่านั้น
สวบ!
หมอกควันสีเทาเข้มในบริเวณนั้นรวมไปถึงเจ้าหอโครงกระดูกก็หายวับไปในวินาทีเดียวกัน
ไปแล้ว? ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นและคนที่เหลืออดประหลาดใจไม่ได้
เย่หยานหยูกับจงหว่านเอ๋อร์มองหน้ากันด้วยความรู้สึกยากจะอธิบาย
จ้าวเฟิงนั่นเห็นๆ กันอยู่ว่าเขาเป็นคนได้เปรียบ แล้วทำไมจึงไม่ฉวยโอกาสนี้รุกฆาตเสีย?
ฟู่~
ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นถอนหายใจน้อยๆ ในใจยังมีความหวาดหวั่นหลงเหลืออยู่
ชายหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินที่ล่าถอยไปจากครรลองสายตา พลังของเขาถึงขั้นทำให้นางหวั่นเกรงได้ เขาสามารถควบคุมสัตว์อสูรในขั้นผู้สูงศักดิ์ มีมรดกอาวุธชั้นพิภพ แล้วยังมีข้ารับใช้เป็นถึงผู้สูงศักดิ์รวมไปถึงค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปด้วย
จุดที่รับมือยากที่สุดยังคงเป็นพลังสายเลือดดวงตาที่ยากจะคาดเดาเป็นอย่างยิ่งของเขา
อีกฟากหนึ่ง จ้าวเฟิงที่อยู่ภายใต้ปีกวายุอัสนีรีบบินกลับไปยังหุบเขาลี้ลับ
“นายท่าน เหล่าสตรีพวกนั้นกำลังตกที่นั่งลำบาก หากไม่ลงมือในตอนนี้เกรงว่าจะพลาดโอกาสงามๆ ไป แล้วถ้าหากพวกนางช่วยลู่เทียนอี้ขึ้นมาได้…” เจ้าหอโครงกระดูกภายในประคำหมื่นวิญญาณเอ่ยอย่างเจ็บใจ
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาดีที่สุดที่จะลงมือ ใครก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าในบรรดาสามคนที่เหลือจะมีอาวุธสังหารแบบ ‘โล่พลังเซียน’ หรือไม่ โดยเฉพาะเย่หยานหยูกับ
จงหว่านเอ๋อร์ที่มาจากสำนักของราชันปราณเทวะ” จ้าวเฟิงส่ายศีรษะน้อยๆ
เมื่อเจ้าหอโครงกระดูกได้ยินเช่นนั้น ใจของเขาก็กระตุกวูบหนึ่ง
พลังของ ‘โล่พลังเซียน’ เขาเองก็เคยสัมผัสมาแล้วอย่างลึกซึ้ง ต่อให้เป็นเขาในยามรุ่งโรจน์ก็อาจจะมอดม้วยภายใต้มัน หรือหากไม่ตายก็คงร่อแร่เป็นแน่
แล้ว ‘โล่มังกรหยก’ ของจ้าวเฟิงก็ถูกใช้ไปแล้วถึงสองครั้งจนสลายหายไปเรียบร้อย
ถ้าหากว่าสามคนที่เหลือยังมีอาวุธสังหารแบบเดียวกับ ‘โล่พลังเซียน’ หลงเหลืออยู่ เช่นนั้นแล้วสถานการณ์การรบคงจะน่าอเนจอนาถเอาการ
“ส่วน ‘ลู่เทียนอี้’ อวัยวะภายในของเขาแหลกสลายไปหมดแล้ว ใกล้จะตายเต็มที ขนาดวิญญาณยังหลับลึกไปแล้ว” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ
ดวงตาเทพเจ้าของเขามองทะลุร่างของลู่เทียนอี้ ตรวจดูอาการบาดเจ็บปรุโปร่งยิ่งกว่าผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นเสียด้วยซ้ำ
“แล้วพวกเราควรจะทำอย่างไร?” เจ้าหอโครงกระดูกเหมือนจะพอเข้าใจอะไรขึ้นมา
“ทำได้อย่างเดียว ยื้อ!” จ้าวเฟิงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ในแววตามีประกายแสงสาดออกมา “มิติสือเฉิงถือว่าเป็นถิ่นของเรา อยู่ที่นี่เรายังสามารถพัฒนาได้ แต่พวกเขาจะขยับเพียงครึ่งก้าวยังว่ายากเลย”
หลังจากนั้น จ้าวเฟิงรีบกลับไปยังหุบเขาลี้ลับ ร่อนตัวลงบนหอคอยพฤกษาปีศาจแล้วจึงรักษาฟื้นฟูอีกฝ่าย
ภายในซากปรักหักพังสือเฉิงมีสิ่งล้ำมากมาย ครั้นได้คำชี้แนะจากเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง การรักษาบาดแผลให้กับหอคอยพฤกษาปีศาจก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่ก่อนหน้านั้น ความตั้งใจหลักของจ้าวเฟิงคือการซ่อมแซมรอยร้าวและรอยโหว่ของมิติสือเฉิง
ภายในประคำหมื่นวิญญาณ เจ้าหอโครงกระดูกเร่งสร้างหุ่นเชิดศพต้องสาปใหม่ๆ เพื่อทำให้แผนการร้อยศพเสร็จสมบูรณ์
เวลาที่เหลือนอกจากนั้น จ้าวเฟิงก็จะใช้ดวงตาข้ามระยะทางไปก่อกวนฝั่งของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น ทำให้คนพวกนั้นหวาดระแวงไม่เป็นสุข
เพียงพริบตาเดียว เวลาผ่านไปครึ่งเดือนแล้ว
ในระยะเวลาครึ่งเดือนที่ผ่านไป แผนการร้อยศพสมบูรณ์ไปครึ่งหนึ่ง นั่นคือห้าสิบส่วนแล้ว!
กลับกันผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นที่เป็นศัตรูมักจะโดนเนตรข้ามระยะทางของจ้าวเฟิงก่อกวนบ่อยๆ ต้องคอยหลบหลีกอยู่ภายในมิติสือเฉิงตลอดเวลา โดยเฉพาะ
เย่เหยียนหยูและจงหว่านเอ๋อร์ที่มักตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเสมอ
ถ้าไม่มีผู้สูงศักดิ์ด้านการรักษาที่สุขุมรอบคอบอย่าง ‘ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น’ สองกองทัพเล็กที่ทั้งสามสำนักส่งเข้ามาน่าจะล้มตายกันหมดไปนานแล้ว
จ้าวเฟิงยังคงปวดหัวและกังวลใน ‘ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น’ อยู่บ้าง
ในสายตาเขา ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นจัดการยากเสียยิ่งกว่าลู่เทียนอี้ นางพลังรบสูงส่ง แล้วยังมีพลังป้องกันกับพลังการรักษาฟื้นฟูที่แข็งกล้า เพียงแค่มีผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นอยู่ คนอื่นบาดเจ็บสาหัสอย่างไร ขอแค่มีลมหายใจอยู่ก็ล้วนแต่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาแข็งแกร่งได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ
ไม่กี่วันที่ผ่านมา ถึงแม้ลู่เทียนอี้จะยังไม่ได้สติ แต่กลิ่นอายพลังชีวิตบนเรือนร่างของเขาดีขึ้นมาก จ้าวเฟิงอดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าเขาประเมินความสามารถในการรักษาของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นต่ำไป
แน่นอนว่านี่ไม่อาจโทษจ้าวเฟิงทั้งหมด ถ้าหากเขารู้ว่าผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นเป็นผู้สูงศักดิ์ด้านการรักษาที่ลือชื่อของทั้งสามสำนักคงไม่มองผ่านไปเช่นนี้
“พี่จ้าวเฟิง รอยโหว่ขนาดใหญ่ทั้งสามของมิติสือเฉิงถูกซ่อมแซมเสร็จเกือบทั้งหมดแล้ว บริเวณหุบเขาลี้ลับใช้เวลานานที่สุด รอยโหว่ก็ซ่อมแซมไปได้กว่าเก้าสิบส่วนแล้ว” เสียงของจ้าวหยูเฟ่ยแว่วมา
ในวันนี้ นางเป็นเจ้าของซากปรักหักพังสือเฉิงแห่งนี้ครึ่งหนึ่ง มีประสาทสัมผัสและความสอดคล้องที่แข็งแกร่งกับที่นี่
“จ้าวเฟิงควบคุมสถานการณ์ได้ไม่ธรรมดาเลย หากสามสำนักพยายามจะเปิดทางเชื่อมมิติอีกล่ะก็น่าจะเป็นไปได้เพียงแค่สามสิบส่วนเท่านั้น” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยชม
ตอนที่กองทัพที่สองจากสามสำนักทะลวงเข้ามา จ้าวเฟิงทุ่มความสำคัญไปยังการซ่อมแซมรอยโหว่ของมิติ เมื่อจัดการกองทัพสามสำนักเรียบร้อยแล้ว จ้าวเฟิงจึงไม่ยอมสิ้นเปลืองเวลาไปไล่ตามสังหารแต่อย่างใด เขามองไกลไปกว่านั้นมาก
การขัดขวางเส้นทางเข้าออกของทั้งสามสำนักจึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
สองวันจากนั้น
ขณะจ้าวเฟิงนั่งบนหอคอยพฤกษาปีศาจ เขารู้สึกถึงแรงกระเพื่อมในมิติอีกครั้ง แต่ทว่าแรงกระเพื่อมครั้งนี้ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา เพราะทะลวงผ่านมาได้เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น จึงเห็นได้ว่าพลังของอีกฝ่ายไม่มากพอ
นั่นเป็นเพราะว่ารอยโหว่ของซากปรักหักพังสือเฉิงถูกซ่อมแซมเสร็จสิ้นแล้ว มิติจึงมั่นคงกว่าเดิม การจะเปิดทางเชื่อมมิติจึงยากขึ้นมาก
“ข่าวดี! การพยายามเปิดทางเชื่อมมิติครั้งที่สามของทั้งสามสำนักไม่สำเร็จ” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงนำข่าวดีมาบอก ข่าวคราวนี้ทำให้จ้าวหยูเฟ่ยและเจ้าหอโครงกระดูกถอนหายใจโล่งอก
มุมปากของจ้าวเฟิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เขายอมทิ้งโอกาสไล่ล่าถอนรากถอนโคนคนพวกนี้ให้สิ้นซากก็เพื่อวินาทีนี้
“หรือนี่จะเป็นความตั้งใจแต่แรกของจ้าวเฟิง?” เจ้าหอโครงกระดูกย้อนคิด อดชื่นชมจ้าวเฟิงที่มองการณ์ไกลไม่ได้
จ้าวเฟิงไม่ได้ใส่ใจกับผลแพ้ชนะ ปล่อยโอกาสสังหารคนเหล่านั้นไปครั้งแล้วครั้งเล่า จนมาถึงวินาทีนี้ วิสัยทัศน์ของจ้าวเฟิงในที่สุดก็เกิดขึ้นจริง…เขาขัดขวางต้นตอทางเชื่อมมิติของสามสำนักได้แล้ว
จากเวลาที่หมุนเวียน ความเป็นไปได้ที่สามสำนักใหญ่จะส่งคนเข้ามายิ่งน้อยลงทุกที จนสุดท้ายแล้วความน่าจะเป็นก็เหลือเพียงศูนย์เท่านั้น
“คนที่เหลืออยู่ภายในมิติพวกนั้น ต่อให้ลู่เทียนอี้ฟื้นฟูบาดแผลแล้วก็ยังไม่น่าเป็นกังวลมากนัก พวกเขาไม่มีกองหนุนที่ไหน พวกเราสามารถ ‘ปิดประตูตีแมว’ ได้อย่างสบายใจ” รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจ้าวเฟิง
จนถึงตอนนี้ การต่อสู้ระหว่างเขาและสามสำนักเรียกได้ว่าใกล้จะถึงตอนจบ ผลแพ้หรือชนะไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว
โลกภายนอก บนยอดเขาเทียมฟ้า
“ใต้เท้า การพยายามเปิดทางเชื่อมมิติครั้งที่สามล้มเหลวแล้ว”
ปรมาจารย์อิ๋นคงมีสีหน้าจนใจ แล้วถอนหายใจหนักๆ ออกมา แต่ว่ากลับไม่มีอาการประหลาดใจบนใบหน้าของเขา
การเปิดทางเชื่อมมิติในครั้งที่สามค่อนข้างยาก โอกาสที่จะสำเร็จมีน้อยมาก ความล้มเหลวล้วนอยู่ในการคาดคะเนของเขาทั้งสิ้น
ในระยะเวลาสั้นๆ บนยอดเขาเทียมฟ้า เหล่าฝีมือของสามสำนักเงียบสงัดไปชั่วขณะหนึ่ง
พลังสามสายที่ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตจากราชันปราณเทวะทั้งสามกดอยู่ทั่วผืนฟ้า ผู้สูงศักดิ์ขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดในที่แห่งนั้นล้วนไม่กล้าส่งเสียง
“ปรมาจารย์อิ๋นคง หรือว่าจะไม่มีหวังแล้ว?” เฉิงเยว่เซียนกูเอ่ยปากทำลายความตึงเครียด
“ขอเพียงแค่เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงยังไม่แตกสลาย ภายในสองสามปีนี้ความหวังก็ริบหรี่เหลือเกิน แน่นอนว่าการข้ามมิติในครั้งนี้ก็พอจะพยายามส่งคนเข้าไปได้ แต่เป็นไปได้มากกว่าเก้าสิบเก้าส่วนที่จะตายหรือล้มเหลว” ปรมาจารย์อิ๋นคงรำพึง
โอกาสล้มตายมากกว่าเก้าสิบเก้าส่วน?
มวลชนในที่นั้นอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวคัดค้าน
“มีวิธีลดความล้มเหลวที่จะเกิดขึ้นหรือไม่?” เฉิงเยว่เซียนกูยังไม่ยอมแพ้
แค่มีโอกาสอีกสักเล็กน้อย สามารถส่งคนเข้าไปอีกคนหนึ่งนั่นหมายถึงโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ได้แล้ว
นางมิอาจไม่สนใจความเป็นตายของลู่เทียนอี้ เย่หยานหยู และคนอื่นๆ ได้
อีกทั้งเย่หยานหยูยังเป็นลูกศิษย์ที่นางรับไว้ด้วยตัวเองด้วย
“นอกเสียจากเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่สันทัดด้านมิติและไม่สนว่าต้องเสียไปเท่าไหร่ ถึงจะมีโอกาสหกถึงเจ็ดสิบส่วนที่จะเข้าไปยังมิติสือเฉิงผ่านรอยแยกที่ไม่มั่นคง” ปรมาจารย์อิ๋นคงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
ผู้มีพรสวรรค์ที่สันทัดด้านมิติ?
คนบนยอดเขาเทียมฟ้าหันมองไปทั่ว กลับไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสมสักคน
พรึ่บ!
สายตาของฝูงชนล้วนจับจ้องไปยังเรือนร่าง ‘ปรมาจารย์อิ๋นคง’ อย่างรวดเร็ว
ราชันปราณเทวะสายตาเป็นประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง
ปรมาจารย์อิ๋นคงมีวิชาสายเลือดดวงตาเกี่ยวข้องกับศาสตร์มิติ เป็นหนึ่งในสี่ยอดปรมาจารย์ด้านค่ายกลของดินแดนหมู่เกาะเทียนหลู ทั้งยังเป็นถึงขั้นผู้สูงศักดิ์!
ไม่มีใครสงสัยในพลังอำนาจและความเชี่ยวชาญของปรมาจารย์อิ๋นคง
ท่ามกลางสายตาของคนมากมาย ปรมาจารย์อิ๋นคงยังคงสงบเยือกเย็นไม่ลุกลี้ลุกลน
“ปรมาจารย์อิ๋นคง ท่านมีเงื่อนไขอะไรหรือไม่?” เฉิงเยว่เซียนกูเอ่ยถามอย่างมีนัยยะลึกซึ้ง
“ข้ามีเพียงเงื่อนไขเดียว! หลังจากเรื่องเสร็จลุล่วงแล้ว สิทธิ์ในการจัดการจ้าวเฟิงในขั้นเด็ดขาดต้องยกให้ข้า”