Skip to content

King of Gods 573

King Of Gods

บทที่ 573 ดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม

“จักรพรรดิแห่งความตายมีคำสั่ง เรียกหาสี่ราชาจิตวิญญาณมรณะ และสามสิบหกองครักษ์แห่งความตาย”

เบื้องหน้าตำหนักเก่าแก่วังเวง เสียงแหลมแสบแก้วหูของ ‘เงานกยักษ์’ ทะลวงลงไปในหุบเหวมรณะ

ในเวลาเดียวกัน

ในส่วนลึกของตำหนักเก่าแก่ พลังมรณะที่ยิ่งใหญ่พลันเจือจางลงไปถึงจุดต่ำสุด

“สะพานเชื่อมต่อความตาย? ท่านอาจารย์ใช้เคล็ดวิชาที่แผ่อาณาเขตไปไกลมากขนาดนี้ เพิ่มความแข็งแกร่งหลายเท่าให้กลิ่นอายมรณะของตนข้ามอากาศไปจับสัมผัสยัง ‘ชางไห่’ ” เสียงนุ่มนวลของชายหนุ่มผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ภายในตำหนักเก่าแก่มีบุรุษสตรีคนหนึ่งสูงอีกคนเตี้ยเดินเข้ามา

ชายหนุ่มดูอบอุ่นนุ่มนวลผู้นั้นคือ ‘บุรุษหยางกวง’ (แสงอาทิตย์) ที่อย่างไรก็ดูไม่เข้ากับตำหนักที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายมรณะ

ส่วนร่างเล็กบอบบางอรชรเป็นเด็กหญิงอายุราวแปดเก้าปี ใบหน้าของนางขาวซีดราวแผ่นกระดาษ

ที่เกินคาดคิดคือนางแทบไม่มีพลังฝึกตนใดๆ เรียกได้ว่าบอบบางอ่อนแอ ไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่

ดวงตาของนางเป็นสีขาวว่างเปล่า

ด้านหน้าตำหนักเก่าแก่

เงาร่างสูงต่ำของบุุรุษหยางกวงและเด็กหญิงนัยน์ตาขาวยืนอยู่ด้วยกัน ดูแล้วแปลกตายิ่งนัก

“ท่านอาจารย์… ดูเหนื่อยนัก…”

เด็กหญิงนัยน์ตาขาวมองเข้าไปยังส่วนลึกของตำหนักอย่างขลาดกลัว

ตำหนักเก่าแก่หลังนั้นมีกลิ่นอายมรณะแข็งกล้า คอยปิดกั้นทุกประสาทสัมผัสจิตวิญญาณใดๆ

“เหนื่อยรึ? นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”

บุรุษหนุ่มหยางกวงยิ้มจนตาหยี เอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ

“เจ้าออกมายังโลกภายนอกได้ไม่นานนัก ยังไม่รู้ว่า ‘ชางไห่’ มีขอบเขตกว้างใหญ่ขนาดไหน เพียงแค่ดินแดนจิตวิญญาณสักดิ์สิทธิ์ทั้งสามซึ่งถือเป็นศูนย์กลางของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทุกแห่ง ยังควบคุมกลุ่มดินแดนนับร้อย ทุกกลุ่มดินแดนจะมีหลายสิบแห่งที่เหมือน ‘ทวีปจิ่วอวิ้น’ ที่เจ้ารู้จัก”

เด็กหญิงดวงตาขาวโพลนมองไปที่ชายหนุ่มอย่างงุนงง ทีท่าเหมือนจะฟังเข้าใจแต่นางก็ไม่เข้าใจ

“อ้อ ข้าลืมไป ขนาดขอบเขตก่อกำเนิดปราณ ขอบเขตรวบรวมปราณ หรือว่าขอบเขตจิตวิญญาณแท้จริง ขั้นตอนในการฝึกตนพวกนี้เจ้ายังไม่เข้าใจเลย” บุรุษหนุ่มหยางกวงรู้สึกเก้อกระดาก

เด็กหญิงนัยน์ตาขาวคนนี้เป็นดั่งกระดาษขาวอย่างแท้จริง นางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้เลยแม้แต่อย่างเดียว

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง กลิ่นอายที่แข็งกล้าก็พุ่งตรงไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งของตำหนักเก่าแก่ โดยมากเป็นกลิ่นอายมืดทมิฬ

พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!

กลิ่นอายของทุกเงาร่างแข็งแกร่งกว่าพวก ‘ราชาหูสั่ว’ และ ‘ยอดผู้สูงศักดิ์ปาฮวง’ มากกว่าเท่าตัว

ในบรรดากลิ่นอายเหล่านั้น มีกลิ่นอายของบางเรือนร่างที่พลังเทียบเท่ากับเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงและสามราชันในขอบเขตปราณเทวะ หรืออาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่า

“หืม? แปลกจริง นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่ จึงทำให้ท่านอาจารย์เรียก ‘สี่ราชาจิตวิญญาณมรณะ’ กับ ‘สามสิบหกองครักษ์แห่งความตาย’ มารวมตัวในเวลาเดียวกันเช่นนี้”

บุรุษหนุ่มหยางกวงอดรำพึงรำพันกับตนเองไม่ได้

เงาที่มาชุมนุมเบื้องหน้าตำหนักเก่าแก่ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ถึงเวลาครึ่งชั่วยาม สี่ราชาจิตวิญญาณมรณะและองครักษ์ทั้งสามสิบหกคนก็มาถึงครบทั้งหมด

ราชาจิตวิญญาณมรณะทั้งสี่ยืนอยู่แถวหน้าสุด ประดุจเป็นกลุ่ม ‘แสงสว่างไร้รูปร่าง’ ที่เจิดจ้าจนยากจะมองตรงๆ ได้ นัยน์ตาเปล่าไม่อาจมองเห็นรูปลักษณ์พวกเขาได้อย่างชัดเจน

ทำได้เพียงแค่คาดเดาเท่านั้นว่ากลุ่มคนทั้งสี่ประกอบด้วยบุรุษสามคนและสตรีหนึ่งคน

สามสิบหกองครักษ์แห่งความตายอยู่เบื้องหลัง ทั้งหมดสวมผ้าคลุมพร้อมหมวกสีดำดุจเงามืด สีหน้านิ่งสงบไร้ซึ่งอารมณ์ใด

“คิกคิก…”

ครั้นเด็กหญิงนัยน์ตาขาวมองเห็นกลิ่นอายพลังแข็งแกร่งเหล่านั้นก็ไม่ได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย กลับยิ้มหัวเราะอย่างไร้เดียงสา

ชู่!

 

 

บุรุษหนุ่มหยางกวงรีบห้ามปรามเด็กหญิง เอ่ยเสียงต่ำว่า “ศิษย์น้อง ราชาจิตวิญญาณมรณะล้วนเป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะ ส่วนสามสิบหกองครักษ์ทุกคนเป็นยอดฝีมือเรืองนามในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง คนในขั้นเดียวกันอยู่ต่อหน้าพวกเขาแล้วอ่อนแอไม่ต่างจากเด็กทารก…”

เมื่อพูดถึง ‘สี่ราชาจิตวิญญาณมรณะ’ กับ ‘สามสิบหกองครักษ์’ ซึ่งเป็นบริวารของจักรพรรดิแห่งความตาย ขั้วอำนาจแข็งแกร่งนับไม่ถ้วนทั่วชางไห่ล้วนหน้าเปลี่ยนสี

“ที่ผ่านมา กองทัพที่นำโดย ‘สี่ราชาจิตวิญญาณมรณะ’ และ ‘สามสิบหกองครักษ์แห่งความตาย’ เคยทำลายล้างสำนักสองดาวมาหลายแห่ง เป็นสำนักสองดาวที่ยิ่งใหญ่ทีเดียวเชียว…..นี่! ศิษย์น้อง เจ้าไม่กลัวบ้างเลยหรือ?”

บุรุษหนุ่มหยางกวงเอ่ยพึมพำอยู่นาน

“คิกคิก…” จนสุดท้ายแล้ว เด็กหญิงตัวน้อยก็ยังหัวเราะไร้เดียงสาเหมือนเดิม

บางทีในสายตาของนางอาจจะไม่มีเส้นขีดแบ่งระดับสำนักก็เป็นได้

เฮ้อ ชายหนุ่มถอนหายใจยาว เขาพูดตั้งเยอะแต่กลับกลายเป็นสีซอให้ควายฟังไปเสียได้

“ล้า ลา…”

เด็กสาวกระโดดโลดเต้นพลางทำเสียงทำนองเพลงไปจนถึงเบื้องหน้าของ ‘ราชาจิตวิญญาณมรณะทั้งสี่’

นี่ นี่! หยุดเลย!

บุรุษหนุ่มหยางกวงตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก คนเหล่านั้นเป็นถึงราชันปราณเทวะเชียวนะ จะเสียมารยาทแบบนี้ได้อย่างไร

 

“เด็กผู้หญิงคนนี้เป็นศิษย์ที่องค์จักกรพรรดิเพิ่งรับมาใหม่กระมัง” หนึ่งในสี่ราชาจิตวิญญาณมรณะที่ยากจะแยกว่าเป็นหญิงหรือชายเอ่ยขึ้น

“แปลกจริง หลังจากที่องค์จักรพรรดิรับนางเป็นศิษย์ ก็ไม่ได้สอนอะไรนางเลย จนถึงตอนนี้นางอยู่แค่ขั้นขอบเขตรวบรวมปราณ หรือว่าจะกินยาเซียนที่ทำให้เหมือนเกิดใหม่ไป”

สี่ราชาจิตวิญญาณมรณะจ้องมองไปที่เด็กหญิงดวงตาขาวโพลนเบื้องหน้า ถกเถียงกันอย่างลับๆ ด้วยความประหลาดใจ

ถ้าหากเป็นเด็กหญิงธรรมดากล้ามาสร้างความวุ่นวายต่อหน้าราชันปราณเทวะ นั่นเป็นการรนหาที่ตายชัดๆ เพียงแค่ห้วงความคิดเดียวเท่านั้นวิญญาณจะโบยบิน

ออกจากร่างทันที เพียงแต่เด็กหญิงดวงตาขาวโพลนคนนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าไม่ธรรมดา เพราะนางเป็นถึงศิษย์ขององค์จักรพรรดิ

“เข้ามาให้หมด…” เสียงอ่อนระโหยดังออกมาจากตำหนักเก่าแก่

แต่ถึงแม้จะอ่อนแอเหลือประมาณ น้ำเสียงนั้นก็ยังคงมีพลังทะลวงวิญญาณทุกดวง จิตใจของราชาจิตวิญญาณมรณะเย็นยะเยือก ทุกคนพากันขานรับ

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง

“คารวะท่านอาจารย์!”

“คารวะจักรพรรดิแห่งความตาย!”

ภายในตำหนักเก่าแก่ที่มืดมิด คนทั้งหมดยืนเรียงราย รวมถึงบุรุษหยางกวงและเด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลนด้วย

เหนือส่วนลึกของตำหนักลึกลับมีบัลลังก์ใหญ่โตกว่าสิบจั้งที่โอบล้อมด้วยลำแสงอัสนีสีดำ

 

บนบัลลังก์มีร่างสูงใหญ่ที่เลือนรางหมือนดั่งเงานั่งอยู่ มองเห็นได้เพียงบนศีรษะสวมมงกุฎสีทอง

กลุ่มคนในที่แห่งนั้นกับราชาจิตวิญญาณมรณะทั้งสี่ก็ไม่อาจมองอารมณ์และสีหน้าของ ‘จักรพรรดิแห่งความตาย’ ได้อย่างชัดเจน

“คิกคิก…ท่านอาจารย์! ข้ากับศิษย์พี่ออกไปเล่นข้างนอกได้หรือไม่?”

เสียงที่จู่ๆ ดังขัดขึ้นมาจากเด็กหญิงนัยน์ตาขาวโพลน นางหัวเราะไร้เดียงสาพลางจ้องมองไปยังจักรพรรดิแห่งความตาย

บุรุษหนุ่มหยางกวงลอบปาดเหงื่อ

อาจารย์ของเขาเป็นจักรพรรดิแห่งความตายที่ชื่อเสียงลือลั่นไปทั่วชางไห่ เคยเป็นฝันร้ายของคนจำนวนมาก ขนาดเขาผู้เป็นศิษย์ยังหวาดกลัวยำเกรง

แม้แต่สี่ราชาจิตวิญญาณมรณะผู้แข็งแกร่งยังต้องเคารพสำรวม ไม่กล้าเสียมารยาท

“ป๋ายหลิน ถูกต้องแล้ว! ความฝันของเจ้าใกล้จะเป็นจริงแล้ว แต่ว่าการออกไปครั้งนี้ นอกจากไปเล่นแล้วเจ้ายังต้องช่วยพวก ‘ศิษย์พี่สาม’ ของเจ้าทำภารกิจด้วย” เสียงนุ่มคล้ายจะเกลี้ยกล่อมเด็กเล็กดังมาจากบนบัลลังก์

ราชาจิตวิญญาณมรณะทั้งสี่แปลกใจจนทำสีหน้าประหลาด

ในสายตาของพวกเขา จักรพรรดิแห่งความตายช่างสูงส่งยิ่งใหญ่ เงียบขรึมน่าเกรงขาม คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น

“องค์จักรพรรดิ…ท่านหมายความว่าภารกิจครั้งนี้พวกเราต้องพึ่งพา ‘ความช่วยเหลือ’ ของนาง?”

หนึ่งในราชาจิตวิญญาณมรณะเอ่ยถามอย่างสงสัย

“น่าจะกระมัง” น้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรงของจักรพรรดิแห่งความตายมีวี่แววไม่แน่ใจ

เด็กหญิงนัยน์ตาขาวผู้นี้มีความพิเศษเป็นอย่างมาก พลังส่วนหนึ่งของนางต่อให้เป็นเขาก็ไม่อาจจะคาดคะเนได้

“อาจารย์ ท่านทุ่มเททุกอย่างเพื่อเรียกใช้ ‘สะพานเชื่อมต่อความตาย’ เพราะกำลังตามหาอะไรกันแน่ พวกเราต้องออกไปทำภารกิจอะไรงั้นหรือ?”

บุรุษหนุ่มหยางกวงเอ่ยถาม

ทันทีที่เอ่ยจบ บรรดาผู้แข็งแกร่งในที่แห่งนั้นรอฟังคำตอบอย่างใจจดจ่อ

“เหอะเหอะ หรือว่าให้ไปทำลายล้างสำนักสองดาวที่ไหนอีก? หรือให้ไปโจมตีดินแดนลับของมรดกโบราณแห่งใด?”

กลุ่มคนต่างคาดเดาไปเรื่อย พากันเตรียมพร้อมจะไปจัดการแล้ว

“ภารกิจในครั้งนี้พิเศษกว่าครั้งอื่นยิ่งนัก ข้าต้องการให้พวกเจ้าจับเป็นคนผู้หนึ่ง หรืออย่างน้อยก็เหลือศพที่ครบร่างมา!” จักรพรรดิแห่งความตายเอ่ยยิ้มๆ

จับเป็นคนผู้หนึ่ง?

ราชาจิตวิญญาณมรณะทั้งสี่มองหน้ากัน เป็นใครกันถึงต้องใช้สี่ราชาจิตวิญญาณในการจับเขา

“ข้าใช้พลังไปมากในการเรียกใช้ ‘สะพานเชื่อมต่อความตาย’ ซึ่งแผ่อาณาเขตกว้างไกล  ทำให้ต้องหลับไปอีกหลายปีเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณและพลังดวงตา ครานี้จึงให้พวกเจ้าลงมือแทนข้า ชายคนนั้นพิเศษอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มีพลังลึกล้ำซ่อนอยู่ไม่มีขีดจำกัด พวกเจ้าห้ามประมาทเป็นอันขาด…”

จักรพรรดิแห่งความตายเอ่ยกำชับแล้วอธิบาย

“ขอบังอาจถามท่านอาจารย์ คนผู้นั้นอยู่ที่ใด?” บุรุษหนุ่มหยางกวงเอ่ยถาม

 

“นี่คือจุดที่ยากที่สุด! คนผู้นั้นกำลังหลบซ่อนอยู่ในโลกนี้ โชคยังดีที่มันมีช่องโหว่เป็นเวลาสั้นๆ ‘สะพานเชื่อมต่อความตาย’ ที่ข้าเรียกออกมาไม่นานยืนยันที่อยู่คร่าวๆ ของมันได้แล้ว”

เมื่อจักรพรรดิแห่งความตายเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็โบกมือครั้งหนึ่ง

วิ้ง~

เหนือตำหนักใหญ่ที่มืดสนิทปรากฏลำแสงของแผนที่ ‘ชางไห่’ อันกว้างขวาง

ทั่วทั้งชางไห่มีพื้นที่หลักคือ ‘ดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ สามแห่งที่เป็นใจกลางของสามอิทธิพลใหญ่

“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู ดินแดนศักสิทธิ์ฝูเมิ่ง และดินแดนศักดิ์สิทธิ์ว่านเซิน…”

บุรุษหนุ่มหยางกวงกวาดตามองดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามจุดในแผนที่ สายตาฉายแววนับถือและรอคอยเป็นครั้งแรก

ว่ากันว่าดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามเป็นดินแดนสูงส่งเพียงหนึ่งเดียวภายในชางไห่ที่มี ‘สำนักสามดาว’ ปรากฏขึ้น

ต่อให้เป็นจักรพรรดิแห่งความตายก็ยังเคารพดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสาม

“ขอบเขตที่ให้พวกเจ้าค้นหาคือ ‘กลุ่มดินแดน’ หลายสิบแห่งทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลความว่างเปล่า แถวๆ ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู’ ” จักรพรรดิแห่งความตายชี้ที่พื้นที่เล็กๆ บนแผนที่

ขอบเขตของหลายสิบดินแดนยังไม่ถึงหนึ่งในร้อยส่วนของพื้นที่ชางไห่ด้วยซ้ำ

เมื่อเป็นเช่นนั้น

บุรุษหยางกวงกับราชาจิตวิญาณมรณะทั้งสี่จึงล้วนขมวดคิ้ว

ขอบเขตของทุกกลุ่มดินแดนเรียกได้ว่าใหญ่โตเอาการ นอกจากดินแดนหมู่เกาะหลักๆ ยังมีดินแดนที่มีลักษณะคล้ายกับเขตภายในของ ‘เขาปาฮวง’ อีกหลายแห่ง

อีกอย่างคืออาณาเขตดินแดนเหมือนจะกว้างใหญ่ แต่กลับเป็นเพียงจุดเล็กๆ ของพื้นที่มหาสมุทรเท่านั้น

ทะเลความว่างเปล่ากว้างขวางไร้ขอบเขต ระยะทางระหว่างดินแดนสองแห่งก็ไกลโพ้น ระยะห่างของกลุ่มดินแดนสองแห่งยิ่งไกลกว่า

กลุ่มดินแดนสิบกว่าแห่งนั้นถือว่าเป็นพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก

จากตรงนี้จะเห็นได้เลยว่า เคล็ดวิชาในวงกว้างของจักรพรรดิแห่งความตายสามารถเสาะหาตำแหน่งคร่าวๆ ของจ้าวเฟิงได้ท่ามกลางมหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล ความยากเช่นนี้ก็ไม่ใช่ธรรมดาเลย

“พื้นที่กว้างใหญ่เกินไปจริงๆ”

จักรพรรดิแห่งความตายไม่ได้ปฏิเสธ หยุดไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “แต่ว่าพวกเจ้าทุกคนมีตราสั่งมรณะชนิดพิเศษ ถึงแม้คนผู้นั้นจะหลบซ่อนกลิ่นอายของพลังมรณะไว้ลึกเพียงใด แต่ถ้าหากอยู่ในขอบเขตแล้วล่ะก็ พวกเจ้าจะสัมผัสถึงอีกฝ่ายได้”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

คนทั้งหลายพลันเข้าใจแจ่มแจ้ง

ตราสั่งมรณะที่อยู่ในขอบเขตที่แน่นอนจะสัมผัสถึงการดำรงอยู่ของ ‘เป้าหมาย’ ได้ ความยากจึงลดลงมากกว่าร้อยเท่า อย่างน้อยก็ไม่ใช่ให้คนเพียงแค่สิบกว่าคนไปงมเข็มในมหาสมุทร

“ไปเถิด ออกเดินทางวันนี้เลย”

จักรพรรดิแห่งความตายตอบคำถามอีกบางส่วน แล้วสุดท้ายจึงหลับใหลไป

ปัง~

ประตูใหญ่ของตำหนักเก่าแก่ที่แสนวังเวงปิดลง

สบ สวบ สวบ!

สี่ราชาจิตวิญญาณมรณะนำทหารเดนตายจำนวนมากบินออกจากหุบเหวลึก

ในกลุ่มคนยังมีบุรุษหยางกวงและเด็กหญิงนัยน์ตาขาวด้วย

ราชาจิตวิญญาณมรณะยังไม่เข้าใจว่าทำไมจักรพรรดิแห่งความตายจึงต้องส่งเด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้มาช่วยเหลือพวกเขา

“มีเพียงพลังมรดกของเนตรเทพเจ้าเท่านั้น จึงจะต่อกรกับเนตรเทพเจ้าได้”

ในขณะที่ประตูตำหนักบานนั้นปิดลง ระลอกน้ำวนสีดำมืดจากพลังดวงตาครั้งสุดท้ายของ ‘จักรพรรดิแห่งความตาย’ ก็เล็ดลอดออกมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!