Skip to content

King of Gods 592

King Of Gods

บทที่ 592 ซุ่มสังหาร

เมื่อออกจากพื้นที่รับแขกของตำหนักวิญญาณ จ้าวเฟิงสั่นศีรษะน้อยๆ ไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใดกับผลลัพธ์เช่นนี้

อัจฉริยะจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์สองคนไม่ยอมยื่นมือช่วยเหลือกก็สมเหตุผล ที่เขาลองทำก็เพียงวัดดวงดูก็เท่านั้น

เมื่อกลับมาถึงที่โรงเตี๊ยม จ้าวเฟิงจึงติดต่อโหลวหลานจื๋อสุ่ยและเสี่ยวหม่าอีกครั้ง

“ท่านหัวหน้าเรือ ทรัพยากรที่ท่านต้องการโดยรวมแล้วจัดซื้อเสร็จสรรพ ส่วนของมีค่าที่ขายออกไป ค่าผลึกเริ่มต้นทั้งหมดที่ได้มาข้าใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อของทั้งหมด…” เสี่ยวหม่านำรายการออกมาแล้วตรวจทานอย่างละเอียด

ด้านการซื้อขาย เสี่ยวหม่าเป็นผู้จัดหาแนวทางและเส้นสายผู้คน ส่วนโหลวหลานจื๋อสุ่นรับผิดชอบตรวจตรา

“ดีมาก สามวันจากนี้ข้าจะออกจากตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า”

จ้าวเฟิงจัดสินใจแล้ว

ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า ถือได้ว่าเป็นสถานที่เติมเสบียงระดับสูงแห่งหนึ่งระหว่างทางล่องเรือของเขา

ในตอนนี้ ความต้องการทั้งหมดของเขาได้จัดการเรียบร้อย จึงเป็นเวลาที่ควรจะออกเดินทางแล้ว

“เสี่ยวหม่า นี่เป็นค่าตอบแทนของเจ้า” จ้าวเฟิงโบกมือแล้วโยนแหวนเก็บของชิ้นหนึ่งโยนให้เสี่ยวหม่า

ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของเสี่ยวหม่ากวาดผ่าน ใจเต้นโครมคราม “ขอบพระคุณนายท่านมาก”

เสี่ยวหม่าขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ค้อมกายติดๆ กันไม่หยุด

สิ่งของภายในแหวนเก็บของนั้น นอกจากผลึกเริ่มต้นกองโต ยังมีเลือดหัวใจวาฬถังหนึ่งวางอยู่ด้วย กองผลึกเริ่มต้นพวกนั้นไม่ต้องพูดเลยว่าเทียบเท่ากับค่าจ้างหลายปีของเขา แล้วถังเลือดหัวใจวาฬนั่นยิ่งเป็นสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมานาน

ก่อนที่จะออกเดินทาง เสี่ยวหม่ามองจ้าวเฟิงอย่างลึกล้ำ ด้วยเลือดหัวใจวาฬถังนี้ สภาวะวิญญาณของเขาจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ขอเพียงแค่ก้าวเท้าแรกออกไปได้สำเร็จ โชคชะตาของเขาจากนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ภายในห้องของโรงเตี๊ยม

“หรือว่าจะไม่มีหวังได้ใช้ ‘ค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณ’ เลยแม้แต่น้อย?” จ้าวเฟิงครุ่นคิดอย่างหนักเพียงลำพัง

ระยะทางของการข้ามดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไกลอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ตามที่คาดคะเน หากเดินทางราบรื่นล่ะก็อย่างน้อยต้องใช้เวลาสิบกว่าปี แต่ถ้าหากว่าใช้ ‘ค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณ’ จะสามารถลดเวลาเกินกว่าครึ่ง

เพียงแต่อัจฉริยะสองคนนั่นไม่คิดช่วยจ้าวเฟิง

พรึ่บ!

ในมือของจ้าวเฟิงพลันปรากฏตราคำสั่งสีม่วงที่มีรูปร่างเป็นระลอกน้ำแผ่นหนึ่ง นั่นคือตราคำสั่งสือเฉิง!

ระหว่าง ‘ตราคำสั่งสือเฉิง’ และ ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ มีความสัมพันธ์บางอย่างเกี่ยวโยงกันอยู่ สามารถเปิดทางเข้ามรดกได้ผ่านทางป้ายตราดังกล่าว

ตัวของตราคำสั่งแผ่นนี้มีพลังแฝงที่ไม่ธรรมดา ประหนึ่งว่ามีประสาทสัมผัสคอยเชื่อมโยงกับซากปรักหักพังสือเฉิง

“ตราคำสั่งสือเฉิงใช้ได้สามครั้ง ข้าเคยใช้ไปแล้วครั้งหนึ่ง” จ้าวเฟิงปิดตาสัมผัสดูครู่หนึ่ง แล้วสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายอีกฝั่งของตราคำสั่งสือเฉิงเบาบางอ่อนแออย่างมาก

หนึ่งคือระยะทางที่ห่างไกล สองคือพลังของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงและตัวของมิติเองสูญสลายไปเรื่อยๆ มิฉะนั้นแล้วต่อให้ข้ามดินแดนเกาะจำนวนมากก็ยังสามารถเปิดทางเข้ามรดกได้

ถึงแม้ดินแดนหมู่เกาะเชียนหลิวและดินแดนหมูเกาะเทียนหลูจะอยู่ใกล้กัน แต่ว่าพลังของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงในวันนี้คงยากจะทนรับได้

ยังดีที่จ้าวเฟิงไม่ได้มีแผนจะกลับไปยังซากปรักหักพังสือเฉิง

“ผู้อาวุโสสือเฉิง จุดหมายที่ข้าจะไปในครั้งนี้ห่างไกลเหลือเกิน จะต้องใช้ค่ายกลข้ามดินแดนจิตวิญญาณของ ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู’…” จ้าวเฟิงส่งข่าวคราวเข้าไปภายใน

การจะเปิดทางเข้ามรดกมีความยากอย่างมาก เพราะจะทำลายพลังของมิติซากปรักหักพังและเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงไปอีกขั้น แต่ว่าการส่งข่าวไปลดการสิ้นเปลืองพลังลงไปมาก

เพียงแต่เวลาผ่านไปนาน ก็ยังไม่มีการตอบรับจากอีกฝั่ง

“หรือว่าที่ซากปรักหักพังสือเฉิงมีเหตุร้ายอะไร?” จ้าวเฟิงขมวดคิ้ว

เวลาผ่านไปราวห้านาที ตราคำสั่งสือเฉิงส่งเสียงทอดถอนใจมา “จ้าวเฟิง เจ้าจงถือเอา ‘ตราคำสั่งสือเฉิง’ ของข้าไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู แล้วไปหาคนที่มีนามว่า ‘ตวนมู่ชิง’ แต่ข้าเองก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าคนผู้นี้จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แต่ถ้าหากว่ายังมีชีวิตอยู่จะต้องช่วยเจ้าได้แน่ และเขาสามารถเชื่อใจได้”

“ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู? ตวนมู่ชิง? ดียิ่งนัก!” จ้าวเฟิงทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ

เขาขอความช่วยเหลือจาก ‘เศษเสี้ยววิญาณสือเฉิง’ ก็แค่ลองเสี่ยงดวงดู แทบไม่มีความหวังมากนัก

 

ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับ ‘เซียนจื่อเย่’ ในยามรุ่งโรจน์ แล้วยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน

“พี่จ้าวเฟิง ซากปรักหักพังสือเฉิงตอนนี้สถานการณ์ปกติดี ท่านไม่ต้องเป็นห่วง…”

เสียงจ้าวหยูเฟยดังผ่านมาทางตราคำสั่งสือเฉิง

จ้าวเฟิงจึงได้พูดคุยเล็กน้อยกับฝั่งซากปรักหักพังสือเฉิงผ่านทางตราคำสั่งสือเฉิง แต่การติดต่อในลักษณะนี้ไม่สามารถคุยกันได้เป็นเวลานานหรือว่าบ่อยครั้ง

เนื่องด้วยระยะทางที่ห่างไกลเกินไป นอกจากจะทำให้เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงทนแบกรับค่อนข้างมากแล้ว ยังทำให้พลังมิติสือเฉิงที่อยู่อีกฝั่งรั่วไหลออกมาด้วย

ในเวลาเดียวกัน

ซากปรักหักพังสือเฉิง ณ วิหารสามชั้น

วิ้ง~

เบื้องหน้าดรุณีในชุดกระโปรงสีม่วงดูสูงส่งดุจเทพเซียน ปรากฎ ‘กุญแจผลึก’ ที่ลึกล้ำไร้ขอบเขตล่องลอยอยู่

ดรุณีในชุดกระโปรงสีม่วงมีลำแสงสีม่วงหมุนวนปกคลุมทั่วร่างกาย ผิวขาวนวลเนียนดุจหยกขาวเนื้อละเอียด เกิดเป็นระลอกคลื่นพลังกระจ่างใสราวผลึกซึ่งสุกสว่างกว่าแกนกลางของร่างกาย เมื่อมองผ่านนัยน์ตาเปล่านางเป็นประหนึ่งเทพนกนางแอ่น[1]ที่ประกอบขึ้นจากกองหยก

“หยูเฟย ดูท่าทางแล้วพลังสายเลือด ‘เผ่าวิญญาณ’ ของเจ้าใกล้จะตื่นขึ้นแล้ว ถึงขอบเขตจิตวิญญาณยังไม่ถึงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แต่กลับเปลี่ยนเป็นปราณที่แท้จริงครึ่งก้าวที่บริสุทธิ์เช่นนี้ อีกไม่นานนัก เจ้าจะต้องเปลี่ยนมันให้เป็น ‘ปราณที่แท้จริง’ ได้ทั้งหมดแน่นอน” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยยิ้มๆ

 

ขอบเขตจิตวิญญาณยังไม่ถึงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แต่กลับสามารถฝึกฝนเอา ‘ปราณที่แท้จริง’ ออกมาได้ก่อน ฟังๆ ดูแล้วราวกับเป็นเรื่องมหัศจรรย์นัก

บางทีก็มีคนบางส่วนที่ได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องฝึกตนในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็ครอบครองปราณที่แท้จริงได้

ทว่าปราณที่แท้จริงประเภทนี้เป็นสิ่งที่ได้รับมาจากภายนอก มิใช่สิ่งที่สร้างขึ้นมาเอง เมื่อใช้ไปหนึ่งส่วนก็จะลดไปหนึ่งส่วนด้วย ส่วนมากแล้วถือได้ว่าเป็นสภาวะต้องห้าม แต่จ้าวหยูเฟยมีปราณที่แท้จริงในระดับที่บริสุทธิ์สูงส่งกว่า

“ในหมู่สายเลือดหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ ‘เผ่าพันธุ์วิญญาณ’ นี้อยู่อันดับต้นๆ เสมอ” เศษเสี้ยววิญาณสือเฉิงผงกศีรษะชื่นชม

สามวันหลังจากนั้น ในละแวกทางเข้าของตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า

“ปรากฏตัวออกมาแล้ว เจ้าเด็กนั่นกำลังเตรียมจะออกจากตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า”

“รายงานผู้เฒ่าสาม!”

แถวทางเข้าของตำหนักวิญญาณ มีเงาร่างไม่เป็นที่สะดุดตาส่งเสียงในชั้นประสาทสัมผัสถึงกัน

พรึ่บ พรึ่บ!

เงาหลายร่างสั่นสะท้านและหายไป

ไม่กี่ช่วงลมหายใจจากนั้น

สวบ! สวบ! สวบ!

จ้าวเฟิงนำเหล่าลูกเรือล่องลอยออกจากตำหนักวิญญาณแห่งความว่างเปล่า

วูบ!

จ้าวเฟิงโบกมือน้อยๆ เรือลำใหม่ที่สาดซัดกลิ่นอายแรงกดดันของสัตว์ทะเลบรรพกาลปรากฏตัวที่ประตูใหญ่ของตำหนัก

“กลิ่นอายแข็งแกร่งเหลือเกิน ระดับของเรือแห่งทะเลความว่างเปล่าลำนี้สูงส่งจริงๆ”

ทางเข้าตำหนักวิญญานมีเงาอยู่ไม่น้อยพากันคอยจ้องมอง จ้าวเฟิงเป็นคนเดินนำเข้าไปภายในเรือเป็นคนแรก

เรือทะเลในวันนี้ การตกแต่งภายในหรูหราสวยงามประหนึ่งโรงเตี๊ยมภัตตาคารระดับสูง อีกทั้งความแข็งของวัสดุสร้างเรือมีพลังป้องกันแข็งแกร่งมากนัก

โหลวหลานจื๋อสุ่ยและลูกเรือคนอื่นๆ เข้าประจำตำแหน่ง

หลังจากที่ดูดซับเลือดหัวใจวาฬไปแล้ว เหล่าลูกเรือจำนวนไม่น้อยทะลวงผ่านขั้นต่างๆ สภาวะวิญญาณเข้าใกล้ขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด เกิดการเปลี่ยนแปลง พลังที่ซุกซ่อนอยู่มีมากขึ้น

อัจฉริยะชั้นยอดอย่างโหลวหลานจื๋อสุ่ยทะลวงผ่านไปถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงอย่างสบายๆ

“ออกเดินทาง” จ้าวเฟิงนั่งอยู่ในห้องหัวหน้าเรือที่วิจิตรตระการตา แล้วถ่ายทอดคำสั่งลงไป

วิ้ง สวบ!

เรือหลานเหลยเกิดระลอกน้ำวารีอัสนีขึ้น พายุอัสนีบาตพุ่งขึ้นบนฟ้า ก่อนเรือจะพุ่งผ่านเขตกำแพงของตำหนักวิญญาณ มุ่งหน้าเข้าสู่ทะเลความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว

“ตาม!” ผู้เฒ่าในชุดคลุมสีดำนำผู้สูงศักดิ์ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดสองคน แหวกอากาศตรงดิ่งตามเรือหลานเหลย

ผู้เฒ่าในชุดคลุมคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นผู้เฒ่าสามเฉียนอวิ๋นนั่นเอง

 

ผู้สูงศักดิ์ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดที่อยู่ข้างกายเขาสองคนล้วนอยู่ในระดับต่ำช่วงปลาย ความเร็วในการบินรวดเร็วว่องไว

ที่แท้ในระยะหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ผู้เฒ่าชุดคลุมสีดำได้ใช้อำนาจอิทธิพลของหอเฉียนอวิ๋นส่งคนเข้ามาสอดแนมที่นี่

“หลานชาย! หอเฉียนอวิ๋นของข้าได้วางแหฟ้าตาข่ายดินไว้หลายหมื่นลี้ในทะเลความว่างเปล่า ต่อให้เจ้าติดปีกก็ยากจะบินหนีไปได้” ผู้เฒ่าในชุดคลุมสีดำเอ่ยด้วยน้ำเสียงยะเยือก เสียงนั้นดุจสายอัสนีบาตฟาดลงกลางเรือทะเลความว่างเปล่า

ภายในเรือหลานเหลย

เหล่าลูกเรือทั้งหลายเลือดลมในกายปั่นป่วน พลังที่มาจากขอบเขตแก่นก่อกำเนิดคล้ายว่าหลอมรวมเข้ากับพลังธรรมชาติของโลกและจักรวาล

“ช่างรวดเร็วซะจริง!” ผู้เฒ่าชุดคลุมสีดำและคนในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดรวมสามคน มีเพียงยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงเท่านั้นที่พอจะเข้าใกล้เรือหลานเหลยได้บ้าง

ส่วนขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายสองคน ความเร็วล้วนแต่ยากจะเข้าใกล้เรือหลานเหลย

“ที่แท้แล้วเจ้าเด็กคนนี้เอาเลือดหัวใจวาฬหลอมรวมเข้ากับเรือแห่งทะเลความว่างเปล่า สิ้นเปลืองของเสียจริง” ผู้เฒ่าในชุดคลุมสีดำโมโหโกรธา สายตาก็ยิ่งเย็นชากว่าเดิม

สวบ! สวบ!

เรือหลานเหลยเพิ่งบินออกมาได้ระยะหนึ่ง ก็มีผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายสองคนมุ่งหน้าเข้ามา

 

“หลานชายรอก่อน!” ผู้สูงศักดิ์สองคนลงมือพร้อมกัน คลื่นพายุบ้าคลั่งปกคลุมพื้นที่เป็นรัศมีสิบลี้

โครม เปรี๊ยะ บึ้ม!

เรือหลานเหลยถูกบุกโจมตี เกราะเหล็กกับพลังน้ำแข็งวาววับปกคลุมอยู่ภายนอกจึงไม่เป็นอะไร

“เรือลำนี้มีพลังป้องกันที่แข็งแกร่งนัก”

ผู้สูงศักดิ์ทั้งสองกัดฟันน้อยๆ แล้วไม่รีรออยู่เฉย ทุ่มเทพลังทั้งหมดพยายามจะเข้าขวางทางเรือ

ถึงแม้ว่าการโจมตีของพวกเขาไม่อาจส่งผลใดๆ กับเรือลำนี้ได้ แต่ว่าการจะควบคุมความเร็วของเรือก็ไม่ได้เป็นเรื่องยาก

“ฮ่าฮ่าฮ่า…พวกเจ้าสองคนเข้าขวางทางเรือไว้” ผู้เฒ่าในชุดคลุมสีดำปลดปล่อยเสียงหัวเราะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง

เขาลงมือกับจ้าวเฟิง จุดประสงค์หลักเพื่ออยากจะเสาะหาเลือดหัวใจวาฬ

แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีเรือที่ดีมากเช่นนี้ ต่อให้เป็นหนึ่งดาวระดับสุดยอดอย่างหอเฉียนอวิ๋นก็ยากจะหาเรือที่ดีเช่นลำนี้ได้

“นายท่าน” เจ้าหอโครงกระดูกปรากฏกายขึ้นในกลุ่มหมอกควันสีเทาเข้ม

ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เจ้าหอโครงกระดูกได้ ‘เลือดหัวใจวาฬ’ และ ‘ผลึกกระดูกฉวนโม่’ หลอมรวมเข้ากับร่าง จึงทำให้พลังพุ่งทะยานก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

จ้าวเฟิงกวาดสายตามองร่างกระดูกสีดำสนิทของเจ้าหอโครงกระดูก ซึ่งมีลายเส้นสีทองเงินปรากฏขึ้นทั่วร่าง โครงกระดูกของเขาแข็งแกร่งกว่ายามก่อนมาก

ตุบ ตุบ ตุบ!

เจ้าหอโครงกระดูกปรากฏกายขึ้นบนเรือแล้วรับการโจมตีของคนขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำสองคน ปรากฏว่าไม่เกิดความเสียหายใดแม้แต่น้อย

“ฮึฮึ…” เจ้าหอโครงกระดูกหัวเราะอย่างพึงอกพึงใจ ผลักมือข้างหนึ่งออกไปอย่างรุนแรง ลำแสงเพลิงกระดูกกองใหญ่เป็นภูเขาพุ่งตรงเข้าชนผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคนที่กำลังพยายามยื้อเรืออยู่

โครม ตูม บึ้ม!

ผู้สูงศักดิ์สองคนในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดโดนกระแทกจนถอยร่นไป หนึ่งในนั้นได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าตกที่นั่งลำบาก

จ้าวเฟิงอดลอบผงกศีรษะไม่ได้

การฝึกตนของเจ้าหอโครงกระดูกเข้าใกล้ขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย พลังของกระดูกและร่างกายแข็งแกร่งเข้าใกล้ระดับขั้นใหม่ไปทุกที สามารถมองข้ามพลังโจมตีของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำทั่วไปได้แล้ว

เมื่อบวกกับ ‘กระดูกเก้าทมิฬ’ ที่หลอมรวมอยู่ในร่างกายของเขา เจ้าหอโครงกระดูกพึ่งพลังของศาสตร์แห่งกระดูกและวิญญาณสองแขนง จึงเหนือกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย เข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง

“รีบผเด็จศึกเสีย” จ้าวเฟิงมองเห็นผู้เฒ่าชุดคลุมสีดำและพวกใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จากด้านหลัง

พรึ่บ!

เขาโบกธงสีดำ แล้วหุ่นเชิดศพต้องสาปร้อยร่างก็ปรากฏบนทะเลหมอกความว่างเปล่า

พู่!

กลุ่มควันสีเทาอึมครึมเป็นชั้นๆ กลายเป็นกลุ่มควันเพลิงปีศาจ สาดพลังอาฆาตหุ่นเชิดศพไปทั่วฟ้า เพียงพริบตาเดียวก็สาดกลิ่นอายกว้างไกลเป็นรัศมีสี่ห้าลี้

“ไม่ได้การ!” ผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคนโดนกลิ่นอายของกลุ่มเพลิงหมอกควันแล้วเล็กน้อย ร่างกายเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้น

กลุ่มเพลิงหมอกควันหนาแน่นของค่ายกลหุ่นเชิดศพร้อยร่าง มีมือซีดโชกเลือดจำนวนมากล้วงเข้าไปยังอวัยวะภายในร่างกายของพวกเขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แล้วกลืนกินไม่หยุด

จิตและดวงวิญญาณของผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคนสลายออกมาตลอดเวลา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดที่บาดเจ็บอยู่ ยิ่งทรมานมากขึ้นราวกับโดนปีศาจอาฆาตรัดร่าง

“เคล็ดวิชาจิตวิญญาณ… มายาหมื่นวิญญาณ!”

ลูกไฟสีแดงในเบ้าตาของเจ้าหอโครงกระดูกเต้นระริก แล้วสาดซัดพลังภูติผีวิญญาณที่แปลกประหลาดออกมา ทำให้ความรู้สึกน่าเกรงขามครอบคลุมอยู่ด้านบนของหมอกควันร้อยหุ่นเชิดศพ

พรึ่บ พรึ่บ!

จ้าวเฟิงโบกธงสีดำ เพลิงควันหนาแน่นกลายเป็นกลุ่มก้อนเมฆหมอกปีศาจล้อมขังผู้สูงศักดิ์สองคนนั้นไว้

“อ๊าก อ๊า…”

ร่างของผู้สูงศักดิ์ทั้งสองคนติดอยู่ในค่ายกลร้อยศพต้องสาป วิงเวียนศีรษะ ไร้ซึ่งสติ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวขณะกรีดร้องโหยหวน

ใช้เพียงตาเปล่ามองก็เห็นได้ว่า ผิวหนังเลือดเนื้อของพวกเขาเน่าเฟะอย่างรวดเร็ว

 

[1] จิ่วเทียนเสวียนหนี่ว์ หรือ เทพนารีผู้ศักดิ์สิทธิ์ในสวรรค์เก้าชั้น บ้างตำนานมีลักษณะเป็นครึ่งคนครึ่งนก เป็นที่นับถืออย่างมากตามคติเต๋า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!