บทที่ 608 ผู้สูงศักดิ์คนใหม่
ถึงแม้ว่าใจกลางของแหล่งกำเนิดพลังจะแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แหล่งกำเนิดพลังลดหายไปเก้าส่วน แต่ว่า ‘ครึ่งก้าวสู่ปราณที่แท้จริง’ ภายในร่างของจ้าวเฟิงกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยากจะคาดเดา
วายุอัสนีพิฆาตสีม่วงของจ้าวเฟิงบรรลุไปแปดเก้าส่วนแล้ว ในนั้นยังแฝงด้วยกลิ่นอายเสวียนอ้าวทำลายล้างที่แข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว!
“ถึงแม้จะเป็นครึ่งก้าวสู่ปราณที่แท้จริง แต่ว่าระดับความแข็งแกร่งของกลิ่นอายแทบไม่ต่างกับปราณที่แท้จริงแล้ว”
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงวายุอัสนีในใจกลางฝ่ามือ เขาสัมผัสได้รางๆ ว่า การเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของแหล่งกำเนิดพลัง เป็นความแข็งแกร่งที่ไม่ได้มีเพียงสองหัวข้อที่กล่าวถึงข้างต้น
ภายในนั้นยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของตัวแหล่งกำเนิดพลังด้วย!
“ยามที่ข้าอยู่ในห้วงฝันบรรพกาลแล้วทะลวงขอบเขตแก่นก่อกำเนิด สำนึกรู้เชื่อมโยงกับมิตินั้น เกรงว่าการดูดซึมกลิ่นอายของแผ่นดินบรรพกาลจะส่งผลต่อพลังของวายุอัสนีด้วย” แววตาจ้าวเฟิงเป็นประกาย
เขามีความรู้สึกประหลาดอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าวายุอัสนีพิฆาตสีม่วงที่ตนเองฝึกจะมาจากมรดก ‘จักรพรรดิวายุอัสนี’ แต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ที่มาของพลังวายุอัสนีเกิดการเปลี่ยนแปลงบางส่วนที่เขาไม่อาจคาดเดาได้
เกรงว่าต่อให้เป็น ‘จักรพรรดิวายุอัสนี’ ในยามก่อนก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่า ต่อไปวายุอัสนีที่จ้าวเฟิงฝึกจะเดินไปในทิศทางไหน
บางทีอาจจะเป็นการล้มก่อนเพื่อลุกขึ้นอีกครั้ง!
จ้าวเฟิงสัมผัสได้ว่าแหล่งกำเนิดพลังที่อยู่ตรงจุดตันเถียนลดจำนวนลงไปหนึ่งส่วน แต่คุณสมบัติและรากฐานกลับมีผลประหนึ่ง ‘เกิดใหม่’ และ ‘แก้ไขลิขิตสวรรค์’
“เริ่มใหม่อีกครั้ง” จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ กระตุ้นไอจิตวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ทั่วร่าง
การทะลวงขั้นในครั้งก่อนปรากฏ ‘ข้อผิดพลาด’ ไม่น้อย ทำให้กระบวนการที่เดิมทีราบรื่นเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นจนพังไปหมด
แต่จ้าวเฟิงไม่ได้ถอดใจ เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
จ๋อม จ๋อม~วิ้ง!
ตรงจุดตันเถียน แหล่งกำเนิดพลังสีม่วงเปลี่ยนไป สีสันประดุจแก้วผลึกสีม่วง แฝงด้วยกลิ่นอายที่น่ากลัว จากนั้นค่อยๆ รวมตัวกันทีละน้อย
เพียงแค่มันรวมกลุ่มกัน จ้าวเฟิงก็ไม่มีแรงควบคุมครึ่งก้าวสู่ปราณที่แท้จริงให้แข็งตัวไปอีกระดับหนึ่งได้
ครึ่งก้าวสู่ปราณที่แท้จริงที่เกิดหลังการเปลี่ยนแปลงมีคุณสมบัติสูงส่ง จับตัวมั่นคงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ พลังก็แข็งแกร่งกว่าปราณที่แท้จริงของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดทั่วไปหลายเท่าตัว
ครึ่งวันจากนั้น
แหล่งกำเนิดพลังสีม่วงลึกล้ำเกิดลำแสงสว่าง รูปลักษณ์ ‘กลายเป็นของแข็ง’ จนสามารถใช้ตาเปล่ามองได้
รวดเร็วยิ่งนัก!
จ้าวเฟิงตื่นตระหนกตกใจ
แหล่งกำเนิดพลังหลังการเปลี่ยนแปลงมีคุณสมบัติและระดับความแข็งแกร่งสูงส่งยิ่งนัก ที่มาของวายุอัสนีสีม่วงที่อยู่ในนั้นเกินกว่าขีดจำกัดมรดกเดิมของ ‘จักรพรรดิวายุอัสนี’ ไปแล้ว
จ้าวเฟิงถึงขั้นสงสัยว่าแหล่งกำเนิดพลังนี้อยู่ในระดับขั้นปราณที่แท้จริงแล้ว เพียงแค่รอให้เย็นลงก็จะแข็งตัวไปเอง
ครึ่งวันหลังจากนั้น
แหล่งกำเนิดพลังภายในจุดตันเถียนของจ้าวเฟิง หดเล็กลงและรวมตัวกันไม่หยุดจนกลายเป็น ‘ใจกลางที่เป็นของแข็ง’ ขนาดใหญ่ประมาณเม็ดถั่ว
ใจกลางดังกล่าวมีลักษณะเป็นลูกเล็กๆ ทั่วทั้งลูกเป็นสีม่วงเข้ม มีระลอกแวววาวขึ้นรอบๆ
“ใจกลางแก่นก่อกำเนิดเกาะกลุ่มกันสำเร็จแล้วหรือ?” จ้าวเฟิงชะงักไปขณะหนึ่ง
ตั้งแต่แหล่งกำเนิดพลังเกิดการเปลี่ยนแปลง จนมันเกาะกลุ่มกันเป็นใจกลางแก่นก่อกำเนิด เหมือนว่าจะสำเร็จแล้วอย่างรวดเร็ว!
วิ้ว โครม~~
ในวินาทีที่ ‘ใจกลางแก่นก่อกำเนิด’ เกาะกลุ่มกันสำเร็จแล้ว ปราณจิตวิญญาณทั่วร่างของจ้าวเฟิงได้ยึดสิ่งนั้นเป็นใจกลางแล้ววิ่งวนทั่วภายในร่าง
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
บรรยากาศของห้องรับรองที่จ้าวเฟิงอยู่ มีวายุอัสนีในฟ้าดินเกาะกลุ่มกันเป็นเมฆสีม่วง ลำแสงอัสนีที่น่ากลัวครอบคลุมทั่วทั้งบริเวณ
กลิ่นอายวายุอัสนีกลุ่มดังกล่าวกลายเป็นแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัว
ภายในโรงเตี๊ยม คนที่เข้ามาภายในใจว้าวุ่น รู้สึกไม่สงบนัก
“พลังวายุอัสนีแข็งกล้ายิ่งนัก ยังมีกลิ่นอายทำลายล้างอีก”
“ดูทรงแล้วคงเป็นผู้สูงศักดิ์คนใหม่สักคน”
ภายในโรงเตี๊ยมมีเสียงเอ่ยอย่างอิจฉา ตื่นเต้น และประหลาดใจ
ยอดฝีมือที่ทะลวงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดผู้นั้น อาณาเขตของพลังส่งผลกระทบไม่มาก
อาณาเขตของผลกระทบยังแคบกว่าคนที่ทะลวงขั้นผู้สูงศักดิ์ทั่วไปเสียอีก
แต่ทว่าพื้นที่ที่พลังนั้นครอบคลุมมีกลิ่นอายที่น่ากลัวเทียบเท่าขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง
“ถ้าหากทะลวงผ่านมาขั้นผู้สูงศักดิ์ กลิ่นอายนี้คงแตกต่างไม่เหมือนใครเลย”
ภายในโรงเตี๊ยมมีผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดส่วนหนึ่งนั่งอยู่
พวกเขาเองก็เคยมีประสบการณ์ทะลวงผ่านมายังขั้นผู้สูงศักดิ์ กลิ่นอายที่แฝงไปด้วย ‘ใจกลางแก่นก่อกำเนิด’ ที่ร้ายกาจเช่นนี้ ทำให้ผู้สูงศักดิ์ที่อยู่มานานส่วนหนึ่งจิตใจไม่สงบ
ในห้องรับรอง
“ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดงั้นรึ? ทะลวงผ่านสำเร็จแล้วอย่างนั้นหรือ? เพียงแต่… ‘ใจกลางแก่นก่อกำเนิด’ ที่ข้าสร้างขึ้นน้อยกว่าผู้สูงศักดิ์ที่ทะลวงผ่านมาได้ทั่วไปมากนัก” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำกับตนเอง
แน่นอนว่าใจกลางแก่นก่อกำเนิดที่เขาสร้างขึ้น เมื่อเปรียบกับในบันทึกแล้วยังอ่อนด้อยกว่าครึ่ง
หากเทียบจากตรงจุดนี้แล้ว พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงอาจนับได้ว่าอยู่ในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงต้นเท่านั้น
แต่ทว่า หากเทียบจากระดับความแข็งแกร่งของปราณที่แท้จริง เขาแข็งแกร่งกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลางมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น แหล่งกำเนิดพลังของจ้าวเฟิงได้หลอมรวมกับเสวียนอ้าววายุอัสนีพิฆาตสีม่วงเข้าไปถึงแปดเก้าส่วน
ด้วยเหตุนี้ กลิ่นอายบนร่างของจ้าวเฟิงจึงทำให้คนสับสน เพราะคล้ายกับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงต้น แต่ก็คล้ายคลึงกับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลางด้วยเช่นกัน
“ถ้าหากว่าโครงสร้างและขนาดของ ‘ใจกลางแก่นก่อกำเนิด’ แข็งแกร่งมากขึ้นได้ ข้าก็จะสามารถทะลวงผ่านขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต้นช่วงกลาง แล้วเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว การจะทะลวงผ่านไปยังช่วงปลายก็ไม่นับว่ายากลำบากอะไร” จ้าวเฟิงถอนหายใจยาวแล้วค่อยๆ เก็บกลิ่นอายกลับมา
เพราะว่าแหล่งกำเนิดพลังภายในร่างบริสุทธิ์คงสภาพมากมายนักหลังการ ‘ล้มเหลวและเริ่มใหม่’ จ้าวเฟิงเองถึงแม้ว่าจะรีบเร่งทะลวงผ่าน แต่จงใจเก็บงำไว้ ปราณที่แท้จริงยังไม่หลุดรอดออกมาเลยแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเขาเก็บงำกลิ่นอายที่แท้จริงเอาไว้ จึงสัมผัสปฏิกิริยาได้แค่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงต้น
“ยินดีด้วยนายท่าน! ที่ทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้”
“ยินดีกับท่านหัวหน้าเรือด้วย! บรรลุถึงระดับผู้สูงศักดิ์แล้ว”
ภายนอกห้อง เจ้าหอโครงกระดูก หลี่อวิ๋นหยา โหลวหลานจื๋อสุ่ยและคนอื่นมาถึงที่ดังกล่าว
ระดับผู้สูงศักดิ์ หากว่าเป็นภายในดินแดนธรรมดาบางแห่งก็ถือเป็นบุคคลที่สูงส่งมากแล้ว
ต่อให้เป็นกลุ่มดินแดนขนาดใหญ่หรือว่าทะเลความว่างเปล่าแสนเวิ้งว้าง ผู้สูงศักดิ์ยังนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือที่ได้รับความเคารพนับถือในที่ต่างๆ
จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ แล้วเดินออกจากห้องพักไป
ภายในโรงเตี๊ยม มีประสาทสัมผัสไม่น้อยกวาดผ่านมาจนเจ้าตัวหน้าเปลี่ยนสี
เห็นได้ชัดเลยว่าไม่มีใครคาดคิดได้ว่าผู้สูงศักดิ์มือใหม่จะอ่อนวัยเช่นนี้
เจ้าหอโครงกระดูก หลี่อวิ๋นหยา โหลวหลานจื๋อสุ่ยจิตใจสับสนวุ่นวาย
หนึ่งในนั้นคือเจ้าหอโครงกระดูกที่จิตใจหดหู่ ยิ่งจนปัญญา
ระดับพลังฝึกตนของจ้าวเฟิงเริ่มไล่ตามเขาทันโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ยามอยู่ในครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด พลังของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งกว่าเขามาก ส่วนในตอนนี้เขามองจ้าวเฟิงไม่ทะลุปรุโปร่งเสียแล้ว
หลี่อวิ๋นหยาและโหลวหลานจื๋อสุ่ยตกใจกับพลังที่ซุกซ่อนอยู่ของจ้าวเฟิง
หากจะเอ่ยถึงคุณสมบัติ คนทั้งสองนั้นถือว่าเป็นชั้นยอด โหลวหลานจื๋อสุ่ยเป็นคนสำคัญของดินแดนปาฮวง เทียบเท่าได้กับหยูเทียนฮ่าวยามอยู่ที่ทวีปบุปผาคราม
หลี่อวิ๋นหยาเป็นถึงอัจฉริยะในรอบพันปีของสำนักสองดาวอย่าง ‘วังลิ่วหวน’
“อายุยังน้อยเช่นนี้ แล้วทะลวงเป็นผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้ เกรงว่ามีเพียงอัจฉริยะของดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงจะสามารถเทียบได้” หลี่อวิ๋นหยารู้สึกละอายใจนัก
แววตาของจ้าวเฟิงกวาดผ่าน มองสีหน้าอารมณ์ของคนทั้งหลาย
การฝึกตนตลอดการเดินทางมาจนถึงตอนนี้ เขาได้พบเจอกับสายตาหลากหลายประเภท
แต่ว่าระดับขั้นผู้สูงศักดิ์มีความสำคัญอย่างยิ่ง หากอยู่ที่ทวีปบุปผาครามถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุด
ถึงจะเป็นจ้าวเฟิงก็ต้องรู้สึกภูมิอกภูมิใจในเกียรตินี้อยู่บ้าง
แต่ทว่าเมื่อนึกถึง ‘คำสั่งล่าสังหาร’ นั้น ความรู้สึกทระนงในใจลึกๆ ของจ้าวเฟิงสูญสลายหายไปในพริบตา
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง
ภายในหอรับรอง จ้าวเฟิงเริ่มฟังรายงานจากคนอื่นๆ
“ธงค่ายกลของร้อยศพต้องสาป เมื่อครึ่งปีก่อนได้สร้างสำเร็จเรียบร้อย ส่วนพลังของร้อยศพต้องสาปล้วนแต่เข้าใกล้ครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แล้วมีบางส่วนก็อยู่ถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแล้ว…” เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยปากก่อน
หลังจากสิ้นเปลืองทรัพยากรจำนวนมาก พลังของร้อยศพต้องสาปก็ไปถึงระดับใหม่ทั้งหมด
จ้าวเฟิงผงกศีรษะ รอให้ร้อยศพต้องสาปไปถึงขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดจนครบ แล้วค่อยดูดกลืนเศษเสี้ยวเลือดเนื้อวิญญาณของผู้สูงศักดิ์อีกร้อยคน ย่อมต้องมีการทะลวงผ่านขั้นที่สุดยอดเกิดขึ้นแน่
อีกทั้งจ้าวเฟิงมีความคิดที่จะหลอมรวม ‘กลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาล’ เข้าไปในร่างของหุ่นเชิดศพต้องสาป เพียงแต่ว่าความคิดนี้ยังไม่สามารถทำได้ตอนนี้
“หัวหน้าเรือ ตอนนี้ได้ซ่อมแซมเรือจนเสร็จสิ้นแล้ว อีกทั้งยังแข็งแกร่งมากยิ่งกว่าเดิมด้วย ลูกเรือคนอื่นๆ ที่อยู่ภายในตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าก็ล้วนแต่พัฒนาฝีมือไปอย่างมั่นคง…” โหลวหลานจื๋อสุ่ยเอ่ยปาก
เจ้าหอโครงกระดูกและโหลวหลานจื๋อสุ่ยเอ่ยรายงานจบ
ในที่สุด สายตาของฝูงชนจึงจับจ้องไปที่หลี่อวิ๋นหยา
ในแววตาของจ้าวเฟิงเองก็มีร่องรอยของความคาดหวัง
การมาเยือนตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าในครั้งนี้ เขาได้ทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิด คนอื่นๆ ต่างพากันทำภารกิจต่างๆ ลุล่วงไปได้ด้วยดี
แต่ว่าในส่วนของหลี่อวิ๋นหยามี ‘ภารกิจสำคัญ’ ที่เกี่ยวข้องกับ ‘ค่ายกลข้ามเขต’ ซึ่งจ้าวเฟิงให้ความสำคัญที่สุด ไม่ได้ด้อยไปกว่าการทะลวงผ่านไปขั้นผู้สูงศักดิ์เลย
“หัวหน้าเรือ ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าแห่งนี้อยู่ภายใน ‘กลุ่มดินแดนหย่งเฟิง’ ตามข่าวคราวที่ข้าแลกเปลี่ยนสืบหามาได้จาก ‘หอหมื่นข่าวคราว’ ตำหนักวิญญาณในที่แห่งนี้เองก็มี ‘ค่ายกลข้ามเขต’ ที่สามารถเชื่อม ‘ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า’ ภายในกลุ่มดินแดนนับสิบในละแวกแห่งนี้เอาไว้…” หลี่อวิ๋นหยาเอ่ยยิ้มๆ
หอหมื่นข่าวคราวอยู่ภายในตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า เป็นสถานที่ที่เอาไว้แลกเปลี่ยนซื้อขายข้อมูลข่าวสาร ขอแค่มีผลึกเริ่มต้นเพียงพอ ก็มีข่าวคราวเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่ไม่สามารถหาได้ภายในหอหมื่นข่าวคราว
“กลายเป็นว่า…ในตำหนักวิญญาณก็มีค่ายกลข้ามเขตจริงๆ”
จ้าวเฟิงมองที่หลี่อวิ๋นหยาต่อ
ค่ายกลข้ามเขตอย่างน้อยๆ ย่อมสามารถข้ามผ่านกลุ่มดินแดนแห่งหนึ่งได้ ต่อให้เป็นสำนักสองดาวส่วนหนึ่งก็อาจจะยังไม่มีวิธีการเช่นนี้
ค่ายกลข้ามเขตที่มีขนาดใหญ่ จะถึงขนาดที่ว่าสามารถข้ามผ่านระหว่าง ‘ดินแดนจิตวิญญาณ’ ได้
“เหมือนกับตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าอื่นๆ ในตำหนักวิญญาณของกลุ่มดินแดนหย่งเฟิงก็มี ‘เจ้าตำหนักทะเลความว่างเปล่า’ คอยควบคุมอยู่ โดยปกติแล้วหากต้องการใช้ ‘ค่ายกลข้ามผ่านดินแดน’ จะต้องได้รับการอนุญาตจาก ‘หย่งเฟิง’ ผู้เป็นเจ้าตำหนัก” หลี่อวิ๋นหยาหยุดชะงัก
หย่งเฟิง เจ้าตำหนักทะเลความว่างเปล่า!
ตำหนักวิญญาณกระจายตัวอยู่ทั่วในทะเลความว่างเปล่า โดยปกติกลุ่มดินแดนทุกแห่งล้วนแต่มีตำหนักนี้ทั้งสิ้น
เจ้าตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าของกลุ่มดินแดนหย่งเฟิง ก็คือ ‘เจ้าตำหนักหย่งเฟิง’
“พอมีวิธีใดบ้างที่จะโน้มน้าวเจ้าตำหนักหย่งเฟิง ให้พวกเรามีโอกาสใช้ค่ายกลข้ามเขต” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างสุขุม
เขารู้ว่าค่ายกลข้ามเขตของตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า ตามทฤษฎีแล้วจะไม่เปิดให้กับคนอื่นนอกเหนือจากคนของดินแดนจิตวิญญาณศักด์สิทธิ์
“มีแน่นอน วิธีทางเดียวที่จะทำได้คือหาวิธีสักอย่างมาจูงใจ ‘เจ้าตำหนักหย่งเฟิง’ มีเพียงเขาเท่านั้นที่มีอำนาจในการเปิดให้พวกเราใช้เป็นพิเศษได้” หลี่อวิ๋นหยาเอ่ย
ในหลายวันที่ผ่านมา หลี่อวิ๋นหยาสืบเสาะหาความชอบและนิสัยส่วนตัวของ ‘เจ้าตำหนักหย่งเฟิง’ มาไม่น้อย
“เจ้าตำหนักหย่งเฟิง ฝึกตนอยู่ในขั้น ‘ครึ่งก้าวสู่ราชัน’ ในฐานะที่เป็นเจ้าตำหนัก คุณสมบัติดีพร้อม ไม่ด้อยไปกว่าขอบเขตราชันปราณเทวะบางส่วน ด้วยเหตุนี้ การจะใช้ของมีค่าหรืออาวุธในตำนานต่างๆ ทำให้เขาสนใจแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย พลังรบของเขาก็ใกล้เคียงกับขอบเขตราชันปราณเทวะ จึงไม่มีใครสามารถคุกคามเขาได้…” หลี่อวิ๋นหยาเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้นจึงหน้านิ่วคิ้วขมวดไปในทันที
เจ้าตำหนักหย่งเฟิงผู้นั้นไม่ว่าจะพลัง ตำแหน่ง หรือความร่ำรวยล้วนแต่อยู่ในจุดสูงสุด
เหมือนไม่มีวิธีการใดเลยที่จะโน้มน้าวใจของเขาได้
“ดีที่ข้าหาจุดสนใจของเขาได้อย่างหนึ่ง เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเองก็มีรสนิยมของเขา” หลี่อวิ๋นหยาหัวเราะเสียงดัง
“อ้อ? จุดสนใจ?” จ้าวเฟิงนึกสนุกขึ้นมา ความสามารถของหลี่อวิ๋นหยาไม่เลวเลยจริงๆ
“เพียงแต่ว่า ข้าต้องการประลองแลกเปลี่ยนวิชากับท่านหัวหน้าเรือ”
หลี่อวิ๋นหยาเปลี่ยนหัวข้อทันที
จะวัดพลังกับข้างั้นรึ?
จ้าวเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง โหลวหลานจื๋อสุ่ยและคนอื่นๆ เองก็ชะงักไปเช่นกัน
“การทำความเข้าใจระดับพลังของท่านหัวหน้าเรือ ทำเพื่อจุดสนใจของ ‘เจ้าตำหนักหย่งเฟิง’ ก็จริง แต่ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าอวิ๋นหยาสนใจพลังของท่านหัวหน้าหลังจากทะลวงขั้นแล้ว”