บทที่ 616 ตราคำสั่งทองของตำหนักวิญญาณ
สามารถประลองชนะได้ร้อยครั้งติดต่อกันภายในเวลาสองวัน ความเร็วในระดับนี้กลายเป็นสถิติที่ยากจะทำลายได้ของกลุ่มดินแดนหย่งเฟิง
ท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม แววตาของยอดฝีมือจากนอกดินแดนพากันจับจ้องไปที่จ้าวเฟิง
“ความสามารถและพลังแฝงเช่นนี้ ถ้าหากชวนมาเป็นพวกได้ล่ะก็…”
ภายในสนามประลองคงจะไม่ขาดแคลนคนมีความสามารถ
พลังพรสวรรค์เช่นนี้ของจ้าวเฟิง ต่อให้อยู่ในสำนักสองดาวครึ่งหรือสองดาวระดับสุดยอดที่แข็งแกร่งบางส่วน ก็ยากที่จะหาคนเช่นนี้เจอ
ในส่วนสำนักระดับหนึ่งดาว พลังของจ้าวเฟิงในตอนนี้แทบจะอยู่เหนือสำนักหนึ่งดาวทั่วๆ ไปแล้ว
“พลังของจ้าวเฟิงในตอนนี้ล้ำหน้ากว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเก้าสิบเก้าส่วนของทวีปบุปผาครามไปแล้ว เว้นก็แต่ว่าจะเป็นยอดฝีมือในระดับจ้าวลัทธิเท่านั้น…” ใจของเจ้าหอโครงกระดูกในประคำหมื่นวิญญาณพลันหนักอึ้ง
ต้องเผชิญหน้ากับจ้าวเฟิงที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน ความรู้สึกในใจของเขาจึงเปลี่ยนแปลงไม่มีหยุด
ในวันนี้ สิ่งที่เขาครุ่นคิดคำนึงไม่ใช่จะทรยศวิธีไหน แต่เป็นจะทำอย่างไรให้ได้ความไว้วางใจของจ้าวเฟิงมา
ในสนามประลอง
มีทั้งคนยินดีและคนที่หงุดหงิดใจ
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กคนนี้จะชนะร้อยครั้งติดต่อกันได้”
“ขาดทุนอย่างหนักจริงๆ ข้าวางพนันผลึกเริ่มต้นระดับสูงหมื่นชิ้นว่าจะชนะติดต่อกันเก้าสิบครั้ง” คนที่เข้าร่วมวางพนันพากันเสียดายภายหลังก็ไม่ทันเสียแล้ว
คนที่กล้าวางเดิมพันว่าจะชนะร้อยครั้งติดต่อกันมีจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อย อีกทั้งยังไม่กล้าวางพนันในจำนวนมากๆ
ในตอนแรก อัตราการลงพนันว่าจะชนะร้อยครั้งติดต่อกันมีถึงหนึ่งต่อสามสิบ จนมาถึงวันที่สอง สัดส่วนจึงลดลงไปเป็นหนึ่งต่อสิบ หลังจากชนะไปได้เจ็ดสิบครั้ง อัตราส่วนลดลงเป็นถึงหนึ่งต่อห้า
เป็นจ้าวเฟิงที่วางเดิมพันข้างตัวเองไว้เป็นผลึกเริ่มต้นระดับสูงจำนวนล้านชิ้น เท่ากับผลึกเริ่มต้นธรรมดาหมื่นล้านชิ้น
ตามสัดส่วนการพนันจำนวนหนึ่งต่อสามสิบ จ้าวเฟิงจะได้รางวัลในตอนสุดท้ายเป็นผลึกเริ่มต้นจำนวนสามพันล้านชิ้น
“ฮ่าฮ่า ผลึกเริ่มต้นสามพันล้านชิ้นสามารถซื้อสำนักหนึ่งดาวทั่วไปได้แล้ว”
จ้าวเฟิงหัวเราะอย่างเบิกบานใจ หลี่อวิ๋นหยาเองก็พลอยได้ผลประโยชน์ไปด้วย ก่อนหน้านี้เขาเองก็วางเดิมพันเป็นผลึกเริ่มต้นหลายหมื่นชิ้น เพิ่มขึ้นกว่าเดิมสามสิบเท่าจึงยิ้มแย้มอย่างสุขใจ
“จ้าวเฟิง อีกเดี๋ยวสักพักท่านเจ้าตำหนักจะมอบรางวัลให้กับเจ้าด้วยตัวเอง”
ผู้เฒ่าชุดสีแดงเดินมาเอ่ยยิ้มๆ ด้วยสีหน้าเกรงอกเกรงใจ
ในขณะที่ประลอง เขาคิดหาวิธีการเป็นร้อยเป็นพันที่จะขัดขวางจ้าวเฟิง ทว่าจ้าวเฟิงมีพลังรบไร้เทียมทานที่อยู่เหนือคนในระดับเดียวกัน ยามที่เอาชนะได้ร้อยครั้งติดต่อกันจึงไรับความเคารพชื่นชมจากคนมากมาย
“การประลองเอาชัยชนะร้อยครั้งติดต่อกันเฉลี่ยในรอบหนึ่งร้อยปีจึงจะมีสักคนหนึ่ง รางวัลจะเป็นอะไรกัน?” จ้าวเฟิงอดตั้งหน้าตั้งตารอไม่ได้
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น
จ้าวเฟิงมารับรางวัลบนอัฒจันทร์ของแขกผู้มีเกียรติ
“คนรุ่นหลังเก่งกล้ากันเสียจริง” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเป็นผู้มอบรางวัล
เจ้าตำหนักหย่งเฟิงมีสีหน้ายิ้มแย้ม ในแววตามีความชื่นชมเล็ดลอดออกมา
“ตามกติกาแล้ว การประลองได้ชัยชนะร้อยครั้งติดต่อกัน จะได้รับรางวัลเป็นอาวุธชั้นพิภพระดับกลางหนึ่งชิ้น พร้อม ‘ตราคำสั่งตำหนักจิตวิญญาณสีทอง’ รวมไปถึงผลึกเริ่มต้นพันล้านชิ้น” ผู้เฒ่าชุดแดงเอ่ยรวดเดียวจบ
ตราคำสั่งตำหนักจิตวิญญาณสีทอง!
อาวุธชั้นพิภพระดับกลางหนึ่งชิ้น!
ในสนามประลองมีเสียงตื่นตกใจ
“ตราคำสั่งทองของตำหนักวิญญาณ บ่งชี้ถึงสถานะการเป็นแขกกิตติมศักดิ์ชั้นหนึ่งของตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า สามารถเข้าไปในพื้นที่แขกผู้ทรงเกียรติ และเข้าไปภายในตำหนักวิญญาณตามที่ต่างๆ ได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องจ่ายค่าเข้า อีกทั้งยังได้ส่วนลดสี่สิบส่วนในทุกๆ แหล่งการค้าของทางการตำหนักวิญญาณดินแดนหย่งเฟิง…” หลี่อวิ๋นหยาอดสูดหายใจลึกด้วยความตื่นเต้นไม่ได้
ผลประโยชน์แต่ละอย่างของตราคำสั่งตำหนักวิญญาณสีทอง ส่วนหนึ่งเหมาะที่จะใช้ในตำหนักวิญญาณแต่ละแห่ง เช่นเข้าไปภายในโดยไม่เสียค่าผ่านทาง และมีประโยชน์ในส่วนของแขกผู้มีเกียรติ หนึ่งในนั้นยังได้ส่วนลดสี่สิบส่วนภายในศูนย์การแลกเปลี่ยนซื้อขายของส่วนกลางด้วย
จ้าวเฟิงรับ ‘ตราคำสั่งตำหนักวิญญาณสีทอง’ มาภายใต้การจับจ้องจากสายตาหลายคู่ ด้านบนของตราคำสั่งมีตราประทับพิเศษของการได้ชัยชนะร้อยครั้งติดต่อกัน ซึ่งแสดงถึงเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่อย่างที่สุด
นอกจากนี้อาวุธชั้นพิภพระดับกลางชิ้นหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย
ต้องรู้ว่า อาวุธชั้นพิภพในโลกใบนี้หายากเกินเปรียบ มีผู้สูงศักดิ์อีกไม่น้อยที่ยังไม่มีอาวุธชั้นพิภพในครอบครอง
“อาวุธชั้นพิภพระดับกลาง ถือว่าเป็นรางวัลที่มีมูลค่ามากที่สุดในรางวัลทั้งหมดนี่”
แววตาของจ้าวเฟิงเป็นประกายเล็กน้อย
ต่อให้เป็นกระดูกเก้าทมิฬของเจ้าหอโครงกระดูกก็ยังแค่ใกล้เคียงกับอาวุธชั้นพิภพระดับกลางเท่านั้น
“อาวุธชั้นพิภพชิ้นนี้คือ ‘ค้อนเจ้าจักรพรรดิ’…” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงมอบรางวัลทั้งหมดให้แก่จ้าวเฟิง
ตราคำสั่งตำหนักวิญญาณสีทอง ค้อนเจ้าจักรพรรดิ และผลึกเริ่มต้นธรรมดาจำนวนพันล้านชิ้น
จ้าวเฟิงรีบแสดงความขอบคุณในทันทีที่รับรางวัลมาแล้ว
หลังจากรับรางวัลแล้วเสร็จ
เจ้าตำหนักหย่งเฟิงมองจ้าวเฟิงแวบหนึ่ง ร่างกายสั่นไหวน้อยๆ ก่อนจะหายตัวไปจากสนามประลอง
จากไปว่องไวเสียเหลือเกิน จ้าวเฟิงอยากจะเอ่ยปากเจรจาก็ไม่ทันเสียแล้ว
เดิมทีเขาอยากขอเข้าพบเจ้าตำหนักหย่งเฟิงเพื่อเจรจาเป็นการส่วนตัว แต่ในสนามประลองมีทั้งยอดฝีมือจากที่ต่างๆ หรือไม่ก็ขั้วอำนาจมากมายอยากดึงตัวเขาไปเป็นพวกของตน
เวลาผ่านไปครึ่งวัน กว่าที่จ้าวเฟิงจะเดินออกจากสนามประลองแห่งทะเลความว่างเปล่าได้
“หัวหน้าเรือ ท่านไม่ต้องร้อนใจไป เจ้าตำหนักหย่งเฟิงชมชอบคนมีพรสวรรค์ คงจะเรียกพบท่านเป็นการส่วนตัวทีหลัง” หลี่อวิ๋นหยาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
หลังจากกลับไปยักเรือนพักรับรอง
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิแล้วเร่งฟื้นฟูปราณที่แท้จริงอย่างรวดเร็ว
“ข้าเพิ่งจะทะลวงถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำ ถึงคุณสมบัติของใจกลางแก่นก่อกำเนิดภายในร่างจะสูง แต่ก็ยังไม่เพียงพอ…” จ้าวเฟิงคิดรายละเอียดของการประลองร้อยครั้งกลับไปกลับมา
ใจกลางแก่นก่อกำเนิดในร่างของเขาเล็กและเข้มข้นกว่าคนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำธรรมดาถึงสิบเท่า!
อีกทั้งในใจกลางแก่นก่อกำเนิดขนาดเท่าเมล็ดถั่วยังมีแสงใสสกาวราวแก้ว
คนที่เข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง จึงจะมีใจกลางแก่นก่อกำเนิดที่ค่อยๆ ใสราวแก้วเช่นนี้
จ้าวเฟิงเพิ่งจะทะลวงมาถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แต่ใจกลางแก่นก่อกำเนิดกลับมีความน่าจะเป็นเช่นนี้เสียแล้ว
ครึ่งวันต่อมา
ไอสวรรค์ของจ้าวเฟิงก็ฟื้นฟูกลับคืนมา ความเร็วในระดับนี้ต้องยกความดีความชอบให้พื้นฐานสายเลือดอันแข็งแกร่งของเขา ด้านการฟื้นฟูเทียบเท่าได้กับสายเลือดในตำนานบางอย่างของบรรดารายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ
ถัดมา จ้าวเฟิงก็เริ่มจัดแจงของรางวัลที่ได้รับ เอาตราคำสั่งตำหนักวิญญาณสีทองกับผลึกเริ่มต้นจำนวนหลายพันล้านมอบให้เจ้าหอโครงกระดูกและโหลวหลานจื๋อสุ่ยไว้ใช้
เมื่อมีทรัพยากรและผลึกเริ่มต้นที่เพียงพอแล้ว ร้อยศพต้องสาป เหล่าลูกเรือของจ้าวเฟิง พลังล้วนแต่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะร้อยศพต้องสาปที่จ้าวเฟิงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ในขณะนี้ ร้อยศพต้องสาปไปถึงครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแล้วบางส่วน ด้วยความอุตสาหะของเจ้าหอโครงกระดูก
วันต่อมา
จ้าวเฟิงใช้ตราคำสั่งทองเข้าไปภายในส่วนรับรองแขกของทางตำหนัก
นึกถึงในครั้งก่อน ที่พักของเจียงฟานและเฉินอี้หลินอัจฉริยะทั้งสองของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็คือห้องรับรองแขกกิตติมศักดิ์นี่เอง
จ้าวเฟิงจึงนั่งรอภายในห้องรับรองแขก
สามวันต่อมา
“ท่านหัวหน้าเรือ เมื่อสองวันก่อนเจ้าตำหนักหย่งเฟิงเรียก ‘เย่หมัวอวี่’ เข้าพบ” หลี่อวิ๋นหยาไปสืบข่าวมาได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจ
ว่ากันไปแล้วจ้าวเฟิงชนะการประลองร้อยครั้ง ศักยภาพในทุกด้านล้วนแต่เหนือกว่าเย่หมัวอวี่ จากนิสัยนิยมคนเก่งและสายตาที่แหลมคมฉับไวของเจ้าตำหนักหย่งเฟิง เขาควรเรียกจ้าวเฟิงเข้าพบถึงจะถูก
แต่ว่าหลายวันที่ผ่านมา หลังจากที่เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเรียกเย่หมัวอวี่เข้าพบแล้วก็ไม่มีท่าทีอะไรอีก
“ไม่ควรเป็นเช่นนี้เลยนี่…” ในตอนแรกหลี่อวิ๋นหยาคิดวนไปมาหลายตลบก็ยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อครุ่นคิดต่อไปอีกครู่หนึ่งก็เริ่มเห็นเค้าลางๆ
“นายท่าน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ด้วยสถานะพิเศษของท่านในตอนนี้ต่อให้ไปพบ ‘เจ้าตำหนักหย่งเฟิง’ ก็ย่อมได้” หลี่อวิ๋นหยาเสนอความคิด
“จริงด้วย ไม่ต้องรอต่อไปแล้ว ไปเข้าพบเจ้าตำหนักหย่งเฟิงเองดีกว่า” จ้าวเฟิงเองก็รู้สึกได้ว่าเวลาของตนน้อยลงทุกที
ข้อหนึ่ง การล่าสังหารไม่มีทางหายไป
ข้อสอง ด้วยระดับของเจ้าตำหนักหย่งเฟิง ทันทีที่ปิดด่านฝึกตน จะเป็นเวลาหลายเดือนก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
แต่จ้าวเฟิงไม่อาจรอถึงเวลานั้นได้
แล้วในวันนั้นเอง จ้าวเฟิงก็หอบเอา ‘ตราคำสั่งตำหนักวิญญาณสีทอง’ ไปที่จวนของเจ้าตำหนักหย่งเฟิงเพื่อขอเข้าพบเยี่ยมเยียน
ตราคำสั่งทองของตำหนักวิญญาณ!
ทหารยามตรงหน้าจวนใจพลันกระตุกวูบ มีสีหน้าเลื่อมใส
“เร็ว! รีบไปรายงานท่านเจ้าตำหนัก” สองคนในนั้นก็จำได้ว่าจ้าวเฟิงเป็นผู้สร้างสถิติการประลองชนะร้อยครั้งคนใหม่ในรอบร้อยปี
ต่อมาสักครู่
ภายในจวนก็แจ้งข่าวมาว่าเจ้าตำหนักหย่งเฟิงอนุญาตให้เข้าพบ
ทั้งหมดนี้ไม่ถือว่าอยู่นอกเหนือจากการคาดเดาเท่าไหร่นัก เพราะอย่างไรพลังรบของจ้าวเฟิงเองก็เทียบเท่าได้กับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง พรสวรรค์สายเลือดก็ใกล้เคียงรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณไม่น้อย แล้วยังมีความดีความชอบจากการเอาชนะการประลองร้อยครั้งอีก
ภายในสวนดอกไม้ที่เงียบสงบในจวน
“เหอะเหอะ จ้าวเฟิงผู้นี้มาขอเข้าพบข้าถึงหน้าประตูจวนด้วยตนเอง จะมีเรื่องอะไรกัน?” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเอามือไพล่หลังพลางยิ้มแย้ม
ข้างกายของเขามีชายหนุ่มท่าทางองอาจ เป็นเย่หมัวอวี่นั่นเอง
หลายวันที่ผ่านมา เย่หมัวอวี่ได้รับความไว้ใจจากเจ้าตำหนักหย่งเฟิงอย่างมาก แล้วยังได้คำชี้แนะมากมายในการฝึกตน
การขอเข้าพบของจ้าวเฟิงทำให้เย่หมัวอวี่รู้สึกกดดันไม่น้อย
“เจ้าตำหนัก เหตุใดท่านจึงไม่เรียกจ้าวเฟิงเข้าพบ ในแต่ละด้านของเขาล้วนแต่อยู่เหนือข้า”
เย่หมัวอวี่มีสีหน้างุนงง อดที่จะถามไม่ได้
แววตาของเจ้าตำหนักหย่งเฟิงเป็นประกาย เอ่ยเสียงต่ำว่า “ถ้าหากว่าข้าทายไม่ผิดล่ะก็ ประวัติปูมหลังของจ้าวเฟิง น่าจะไม่ธรรมดา เขาน่าจะมาจากตระกูลที่เร้นลับ หรืออย่างน้อยก็น่าจะมีผู้อาวุโสในขอบเขตปราณเทวะอยู่เบื้องหลัง…”
เย่หมัวอวี่ได้ยินแล้วเข้าใจแจ่มแจ้ง
ไม่ผิดนัก ถ้าหากไม่มีขั้วอำนาจใดหนุนหลังหรือไม่ได้รับการสนับสนุนจากคนในระดับสูง ต่อให้มีพรสวรรค์สายเลือดโดดเด่นเพียงใด เพียงลำพังตัวคนเดียว แถมอายุยังน้อยขนาดนี้ จะประสบความสำเร็จเช่นนี้เป็นไปได้ยากยิ่งนัก
“เบื้องหลังของจ้าวเฟิง หากมีขั้วอำนาจยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังก็ยากที่เจ้าตำหนักหย่งเฟิงจะเรียกใช้” ท้ายที่สุดเย่หมัวอวี่ก็เข้าใจ
ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าตำหนักหย่งเฟิงไม่สนอกสนใจในตัวจ้าวเฟิง พูดตรงๆ เลยก็คือ ด้วยความสามารถที่ซ่อนอยู่ของจ้าวเฟิง ตำหนักวิญญาณแบกรับมังกรที่ซ่อนเล็บตัวนี้ไว้ไม่ไหวแน่
“บนร่างของจ้าวเฟิงยังมีระลอกพลังลับในขอบเขตปราณเทวะ เห็นได้ชัดเลยว่ามีผู้อาวุโสคนอื่นมอบเครื่องรางคุ้มครองร่างกายไว้ให้…”
เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเอ่ยพึมพำในใจ
เขาผู้อยู่ในฐานะครึ่งก้าวสู่ราชันสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายดวงวิญญาณที่แฝงอยู่บนร่างของจ้าวเฟิงบางส่วน
เวลาผ่านไปไม่นานนัก
ร่างของจ้าวเฟิงก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของเจ้าตำหนักหย่งเฟิง แต่เย่หมัวอวี่กลับหลบหายไปนานแล้ว
“คารวะท่านเจ้าตำหนัก”
ด้วยความที่เป็นผู้เยาว์วัยกว่า จ้าวเฟิงจึงทำความเคารพต่อเจ้าตำหนักหย่งเฟิงอย่างมีมารยาท
“เคารพนบนอบเช่นนี้ หาเจอได้ยากยิ่ง” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงลอบผงกศีรษะ
เมื่อมองในแต่ละด้าน จ้าวเฟิงถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่สมบูรณ์พร้อม ถึงขนาดเทียบเท่าอัจฉริยะระดับหัวกะทิของดินแดนศักดิ์สิทธิ์บางส่วนได้เลยทีเดียว
หลังจากนั่งลงเรียบร้อย จ้าวเฟิงและเจ้าตำหนักหย่งเฟิงเอ่ยทักทายกันสั้นๆ ตามมารยาท
“เจ้าตำหนัก! ที่ผู้น้อยมาขอพบท่านถึงหน้าประตูจวนเช่นนี้ เพราะต้องการขอร้องให้ช่วยสักเรื่องสองเรื่อง หากท่านเจ้าตำหนักให้ความช่วยเหลือ ผู้น้อยย่อมจดจำไว้ไม่มีทางลืม และจะทดแทนคุณในวันหลังหลายเท่าตัว” จ้าวเฟิงเข้าสู่ประเด็นในทันทีโดยไม่อ้อมค้อม
“หืม? อัจฉริยะที่มีชัยชนะร้อยครั้งติดต่อกัน ยังมีเรื่องอะไรที่ต้องการให้ข้าช่วยเหลืออีก?” เจ้าตำหนักหย่งเฟิงยิ้มแย้มน้อยๆ ทีท่าเหมือนจะไม่แปลกใจแต่อย่างใด
ในฐานะที่เขาเป็นถึงเจ้าตำหนัก อำนาจที่เขามีในมือทำให้ที่ผ่านมามีแต่คนมาขอให้ช่วย จึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกอะไร
ในบางครั้ง ขนาดราชันปราณเทวะยังมีเรื่องที่ต้องขอให้เขาช่วยด้วยเหมือนกัน
“เรื่องนี้เกี่ยวกับ ‘ค่ายกลข้ามเขต’ ภายในตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่า…”
จ้าวเฟิงเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่ต้องการอย่างคร่าวๆ
ทันที่ได้ยินเจ้าตำหนักหย่งเฟิงก็เข้าใจในทันที ที่จริงแล้วจ้าวเฟิงผู้นี้อยากไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่นี่เอง แล้วยังอยากจะใช้พลังของ ‘ค่ายกลข้ามเขต’ เพื่อย่นระยะทางที่ยาวไกล
“เจ้าควรจะรู้ว่า ค่ายกลข้ามเขตไม่ได้มีไว้ให้คนนอกใช้ ยิ่งไปกว่านั้น สถานที่ที่เจ้าต้องการจะไปเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ปิดตัวจากโลกภายนอก ไม่สามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจ”
เจ้าตำหนักหย่งเฟิงคิ้วขมวดมุ่นเหมือนลำบากใจอยู่บางส่วน
จ้าวเฟิงเฝ้ารอเงียบๆ ใจรู้สึกกังวลขึ้นมาน้อยๆ
ถ้าหากว่ายังต้องเดินทางล่ะก็ เขาน่าจะต้องใช้เวลาราวห้าหกปี แล้วระหว่างทางอาจต้องเผชิญหน้ากับ ‘การล่าสังหาร’ จึงคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง
เจ้าตำหนักหย่งเฟิงเอ่ยต่อเสียงเรียบว่า “จ้าวเฟิง เจ้าเองก็มิใช่สมาชิกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งประวัติความเป็นมาก็ไม่ชัดเจน ถ้าหากขัดต่อกฏช่วยเจ้า ข้าเองก็ต้องแบกรับความเสี่ยงมากเช่นกัน”