บทที่ 639 แผนการของจ้าวเฟิง
ผ่านไปสองชั่วยาม
จ้าวเฟิงโบยบินด้วยความเร็วน่าประหลาดใจแต่ไม่เป็นอันตราย เบื้องหน้าคือทะเลสาบที่เป็นประกายสีม่วงและมีหมอกควันลอยปกคลุมอยู่
ทะเลสาบมีรัศมีหลายร้อยลี้ เมื่อมองจากไกลๆ เป็นประหนึ่งก้อนหยกสีเขียวบริสุทธิ์ก้อนหนึ่ง
“ที่นี่ก็คือทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดภายในอุทยานครึ่งเซียน…ทะเลสาบจื่อเยียน”
จ้าวเฟิงผ่อนฝีเท้าลง เห็นได้ชัดว่าระแวดระวังมากขึ้น
ในเวลาดังกล่าว เขาเดินออกจากทางเดินหินหยก แล้วเข้าไปใกล้พื้นที่เปียกชื้นริมทะเลสาบ
ทั้งอุทยานครึ่งเซียนมีขอบเขตพลังลึกลับที่รุนแรง น้าวนำอำนาจในฟ้าดิน ชี้ขาดกฎเกณฑ์มากมาย
หนึ่งในนั้น
บนทางเดินแผ่นหยกเป็นพื้นที่ต้องห้ามของเหล่าสัตว์อสูรต่างๆ มันจึงเป็นจุดที่ปลอดภัยอย่างยิ่งสำหรับผู้มาเยือนจากภายนอก
แต่ในตอนนี้ จ้าวเฟิงเดินออกจากทางเดินหิน แล้วเข้าสู่เขต ‘ทะเลสาบจื่อเยียน’
“ในอุทยานครึ่งเซียน ทะเลสาบจื่อเยียนเป็นสถานที่มากผลประโยชน์อีกที่หนึ่ง เต็มไปด้วยสมบัติหายากต่างๆ ของล้ำค่าก็มากมายเช่นกัน”
จ้าวเฟิงเหยียบลงบนพื้นดิน เข้าไปใกล้บริเวณทะเลสาบจื่อเยียน
น้ำของทะเลสาบจื่อเยียนแฝงไปด้วยพลังของสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด ภายในทะเลสาบยังมีสิ่งล้ำค่าซุกซ่อนอยู่มากมาย และในขณะเดียวกันยังมีสัตว์อสูรวารีที่แข็งแกร่งหลายตัวด้วย
“หญ้าเกล็ดม่วง!”
ในละแวกริมฝั่งทะเลสาบ มีเสียงร้องต่ำของอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์หลายคน
โครม สวบ!
เห็นเพียงชายหนุ่มที่ร่างล้อมรอบด้วยลำแสงวารี มือคว้าเอาต้นหญ้าสีม่วงที่มีลักษณะคล้ายเกล็ดปลาพุ่งทะยานขึ้นจากน้ำ จากนั้นเหยียบบนผิวน้ำตรงดิ่งไปทางริมฝั่ง
ผัวะ! พู่ พู่ พู่!
บริเวณรอบด้านเขากลับมีอสูรมัจฉาขนาดใหญ่หลายสิบตัว อ้าปากที่มีฟันแหลมคมออกกว้าง แล้วไล่งับเขาไม่ห่าง
สัตว์อสูรเหล่านี้มีพลังต่ำที่สุดอยู่ในขั้นนายเหนือแท้ พลังรบของอีกสองสามตัวที่เป็นจ่าฝูงเทียบเท่าได้กับขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง
สภาพแวดล้อมของมิติอุทยานครึ่งเซียน ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่เติบโตภายในนี้แข็งแกร่งว่าสิ่งมีชีวิตจากโลกภายนอกนับสิบเท่าร้อยเท่า
“หญ้าเกล็ดม่วงเป็นต้นหญ้าที่เพิ่มความแข็งแกร่งของเลือดเนื้อและร่างกาย แล้วยังส่งผลทำให้ร่างกายของคนที่อยู่ต่ำกว่าขั้นราชันลงไปเกิดการเปลี่ยนแปลง” ข้อมูลที่เกี่ยวข้องปรากฏขึ้นในหัวของจ้าวเฟิง
หญ้าเกล็ดม่วงพบเห็นได้ยากยิ่งในโลกภายนอก ทว่าที่ทะเลสาบจื่อเยียนแห่งนี้กลับเต็มไปด้วยหญ้าชนิดนี้
ณ พื้นที่ช่างไห่
หญ้าเกล็ดม่วงจำนวนเก้าสิบส่วนล้วนแต่มาจากที่แห่งนี้ ที่โลกภายนอกมีราคาสูงมากแต่กำลังซื้อน้อย
หญ้าเกล็ดม่วงนอกจากจะทำให้เลือดเนื้อเกิดการเปลี่ยนแปลง เพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกาย ยังสามารถส่งผลมหัศจรรย์พันลึกได้อีกสิ่งหนึ่งคือ หากว่ากิน ‘หญ้าเกล็ดม่วง’ เข้าไปเป็นจำนวนมาก จะทำให้มีพลังสายเลือดในการป้องกันที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
พูดง่ายๆ คือมันเพิ่มความสามารถประเภทการป้องกันของสายเลือดได้
เมื่อฟังๆ ดูแล้วนี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างยิ่งยวด แต่ว่าภายในอุทยานครึ่งเซียนแห่งนี้ สรรพสิ่งแปลกประหลาดประเภทต่างๆ ล้วนแต่สมเหตุสมผลแล้วทั้งสิ้น
ในเมื่อเจ้าของของอุทยานเป็นผู้ที่อีกครึ่งก้าวจะเข้าสู่ขอบเขต ‘เซียน’ แล้ว
“ช่วยข้าด้วย…” ชายหนุ่มผู้ล้อมรอบด้วยลำแสงสายน้ำแผดเสียงร้องในฉับพลัน เมื่อตกอยู่ภายใต้การโจมตีของฝูงอสูรมัจฉาจำนวนนับร้อย
ในอุทยานครึ่งเซียนซึ่งเป็นมิติขั้นสูงมีแรงดันอากาศมาก คนในขอบเขตแก่นกำเนิดธรรมดาไม่สามารถโบยบินหนีไปได้ ต่อให้เป็นขอบเขตแก่นกำเนิดระดับสูง อย่างมากก็ทำได้เพียงแต่ลอยตัวอยู่กลางอากาศเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
ถึงแม้ชายผู้นั้นจะชำนาญศาสตร์วารี แต่ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของอสูรมัจฉานับร้อยในทะเลสาบ ก็ถือว่าหนักหนาสาหัสเอาการ
ภายในทะเลสาบจื่อเยียน อสูรมัจฉาพวกนั้นส่วนมากเป็นอสูรกินเนื้อ มีประสาทสัมผัสที่เฉียบไวอย่างยิ่งต่อกลิ่นอายของผู้มาเยือน และจะจู่โจมตามสัญชาตญาณ
“รีบไปช่วยศิษย์น้องจู…” บริเวณริมทะเลสาบมีลูกศิษย์สองคน หนึ่งในนั้นโน้มกายง้าวคันธนู ส่วนอีกคนหนึ่งปลดปล่อยเคล็ดวิชาดวงวิญญาณ พลังจิตวิญญาณที่วิจิตรพิสดารตรงเข้ายับยั้งการโจมตีของเหล่าอสูรมัจฉา
ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น
เมื่อชายหนุ่มผู้ชำนาญศาสตร์วารีหนีมายังบริเวณริมทะเลสาบ ทั่วร่างของเขาก็โชกไปด้วยเลือด
ชายหนุ่มผู้นั้นเพิ่งจะมาถึงริมฝั่งก็มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
คลื่นลมพายุปั่นป่วนรุนแรงพวยพุ่งขึ้นมาจากสายน้ำริมทะเลสาบ
ในคลื่นน้ำปรากฏเงาขนาดใหญ่มีเกล็ดสีเทาโผล่ออกมารำไร
“ระวัง!”
“จระเข้ยักษ์โบราณ!”
ลูกศิษย์อีกสองคนที่อยู่ในขั้นขอบเขตแก่นกำเนิดระดับต้นช่วงปลายพร้อมใจกันปลดปล่อยเคล็ดวิชาเพื่อโจมตีจระเข้ยักษ์โบราณ
แต่ทว่า
เกล็ดของจระเข้แข็งแกร่งยิ่ง การโจมตีของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต้นสองคนแทบจะไม่ทิ้งรอยแผลใดๆ ไว้บนร่างมันเลย
ตูม!
จระเข้ยักษ์โบราณเผยเกล็ดสีม่วงออกมาท่ามกลางเกล็ดสีเทา แล้วทะยานไปหาชายหนุ่มที่เชี่ยวชาญศาสตร์วารีคนนั้น
“อ๊าก!” ชายหนุ่มศาสตร์วารีกรีดร้องโหยหวน ถึงแม้จะพยายามหนีอย่างสุดกำลังก็ยังถูกกัดเข้าที่ขาข้างหนึ่ง
โครม ฉัวะ !
ขาข้างนั้นของชายหนุ่มศาสตร์วารีขาดสะบั้น ก่อนหนีจากสถานการณ์อันตรายด้วยการคุ้มกันของศิษย์ร่วมสำนักทั้งสองคน
“อสูรเผ่าวารีพวกนี้มีอยู่ในทะเลสาบจื่อเยียนมากยิ่งกว่าที่จินตนาการไว้เสียอีก” สามคนยังคงอกสั่นขวัญแขวน
สุดท้าย ถึงแม้คนทั้งสามจะได้หญ้ามา แต่ว่าหนึ่งคนในนั้นก็ได้รับบาดเจ็บขาขาดไปหนึ่งข้าง
ถึงแม้หญ้าเกล็ดม่วงต้นหนึ่งจะมีมูลค่าสูง แต่หากต้องจ่ายไปในราคาเท่านี้ก็ไม่ค่อยจะคุ้มค่าอย่างเห็นได้ชัด
“ต้องกินหญ้าเกล็ดม่วงนี้หลายสิบต้นเป็นอย่างน้อย สายเลือดถึงจะมีความสามารถในการป้องกันที่แข็งแกร่ง” สีหน้าของคนทั้งสามเจ็บปวด
ในเวลาเดียวกัน
บริเวณทะเลสาบจื่อเยียนปรากฏเงาของอัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่รำไร
มีเพียงอัจฉริยะที่ฝึกตนในขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ ถึงจะเก็บเกี่ยวอะไรบางอย่างริมทะเลสาบได้แล้วยังอยู่รอดปลอดภัย
ในทะเลสาบจื่อเยียนมีสมบัติและทรัพยากรธรรมชาติล้ำค่ามากมาย
หญ้าเกล็ดม่วงนี้ก็คือหนึ่งในจำนวนเหล่านั้น
“ยิ่งลึกลงไปเท่าไหร่ มูลค่าของสมบัติก็จะยิ่งสูงขึ้น ว่ากันว่าในส่วนลึกของทะเลสาบจื่อเยียนมีชนเผ่าเงือกในตำนาน ก้นทะเลสาบยังมีตำหนักลี้ลับอยู่ด้วย…”
จ้าวเฟิงหยุดคิดทบทวน ไม่ได้ผลีผลามเข้าไปทำอะไร
ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถโบยบินได้ ต่อให้เป็นขอบเขตก่อกำเนิดระดับสูงก็ทำได้เพียงผ่านไปมาและเสี่ยงโชคอยู่ริมทะเลสาบ
เวลาไม่นานจากนั้น
ความคิดของจ้าวเฟิงก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แผนการทั้งหมดของเขาเป็นรูปเป็นร่างเรียบร้อยแล้วในขณะที่อุทยานครึ่งเซียนเปิดออก
“เอ๊ะ! เจ้าเด็กนี่เดินทางเพียงลำพัง เป็นศิษย์สำนักใดกัน”
“ดูไปแล้วเหมือนจะคุ้นหน้าอยู่ไม่น้อย”
สายตาของสามคนเมื่อครู่หยุดลงที่ร่างของจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงจึงเดินไปยังกลุ่มพวกเขาช้าๆ
คนทั้งสามมีสีหน้าระแวดระวังน้อยๆ คนหนึ่งกำธนูในมือแน่น ส่วนอีกคนลอบกระตุ้นเคล็ดวิชาดวงวิญญาณ ส่วนชายหนุ่มผู้มีศาสตร์วารีก็เก็บหญ้าเกล็ดม่วงไว้เรียบร้อย
จ้าวเฟิงไม่ได้สนใจคนทั้งสาม เขาเดินมาตรงจุดที่จระเข้ยักษ์โบราณเพิ่งปรากฏตัวขึ้น
“จระเข้ยักษ์โบราณเป็นเผ่าพันธุ์สัตว์จำนวนน้อยนิดภายในทะเลสาบจื่อเยียนที่ขึ้นมาโจมตีริมฝั่งได้” สายตาของจ้าวเฟิงเป็นประกาย
เขาค่อยๆ ทรุดกายนั่งขัดสมาธิท่ามกลางสายตาระแวดระวังของคนทั้งสาม
พวกนั้นลอบประหลาดใจ บุรุษหนุ่มผมน้ำเงินผู้นี้หยิ่งผยองหรือโง่งมกันแน่
สถานที่แห่งนี้เพิ่งจะโดนจระเข้ยักษ์โบราณโจมตีไป แต่เขายังกล้านั่งตรงนี้อยู่อีก?
“พวกเราสามคนมาจากสำนักเมฆาพยับ แล้วเจ้าล่ะมาจากสำนักใด?” อัจฉริยะผู้ถือคันธนูเปิดปากถาม
“จ้าวเฟิงแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน” จ้าวเฟิงหันหลังตอบคนทั้งสามอย่างไม่แยแส
สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน!
คนทั้งสามของสำนักเมฆาพยับมีสีหน้าหวาดกลัว ไม่กล้าดูแคลนเขาอีก
ภายในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ มีสำนักศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่สองแห่งที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุด
ถึงแม้จะอยู่ในอุทยานครึ่งเซียน คนจากสำนักสองดาวก็ยังถือว่าอ่อนแอเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศิษย์สำนักสามดาว
“ถอยก่อน” คนจากสำนักเมฆาพยับทั้งสามล่าถอยไปนั่งขัดสมาธิฟื้นฟูยังทางเดินหินหยกสีเขียว
พวกเขาไม่ได้จากไปไหน แต่กลับคอยดูความคืบหน้าของอัจฉริยะสำนักอื่นๆ ในละแวกทะเลสาบจื่อเยียน
อัจฉริยะส่วนมากที่ลองพยายามล้วนแต่โดนอสูรมัจฉาในทะเลสาบไล่ล่ามาจนถึงริมฝั่ง
มีเพียงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงสองคน รวมไปถึงสตรีนักฝึกสัตว์อีกหนึ่งที่เก็บเกี่ยวไปได้บางส่วน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีนักฝึกสัตว์ผู้นั้น
นางเตรียมตัวมาอย่างเป็นอย่างดี จึงนำสัตว์อสูรวารีมาด้วยมากมาย แล้วยังมีวิหคหลายตัวบนอากาศทำหน้าที่คอยเตือนภัย
นอกจากนี้
สตรีนักฝึกสัตว์ผู้นี้ยังฝึกอสูรวารีนับสิบให้รับใช้ตนเองไปเก็บสมบัติมีค่าต่างๆ ในทะเลสาบ
สายตาของจ้าวเฟิงหยุดลงบนเรือนร่างของสตรีนักฝึกสัตว์ แล้วลอบผงกศีรษะน้อยๆ
แล้วในเวลานั้น ริมทะเลสาบมีคลื่นลมพายุรุนแรงพวยพุ่งมาทางจ้าวเฟิง
จระเข้ยักษ์โบราณ!
ในที่ไม่ไกลนัก อัจฉริยะทั้งสามคนจากสำนักเมฆาพยับใจเต้นระรัว
พลังรบของจระเข้ยักษ์โบราณตัวนั้นเข้าใกล้ขอบเขตก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอด สามารถต้านทานแรงโจมจากขอบเขตก่อกำเนิดระดับสูงได้
“มาได้เวลาพอดี!”
มุมปากของจ้าวเฟิงยกเป็นรอยยิ้ม เปิดดวงตาเทพเจ้าเล็งเป้าหมายไปที่จระเข้ยักษ์โบราณ
ตราผนึกดวงใจทมิฬ!
ดวงตาเทพเจ้าข้างซ้ายทะลักแรงกระเพื่อมพลังเหมันต์ที่ทะลวงผ่านจิตวิญญาณ แล้วตรงดิ่งเข้าไปในดวงวิญญาณของจระเข้ยักษ์โบราณ
ในพริบตาเดียว
ร่างของจระเข้ยักษ์โบราณแข็งค้างไปกลางอากาศ ก่อนจะร่วงหล่นลงมา
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าปกติ
เวลาผ่านไปหนึ่งสองช่วงลมหายใจ จระเข้ยักษ์ตัวนั้นก็มีทีท่ายำเกรง ทำสีหน้าศิโรราบขณะเดินมาข้างกายของจ้าวเฟิง
“อืม ตัวที่หนึ่ง” จ้าวเฟิงผงกศีรษะน้อยๆ
ถึงแม้การปกป้องร่างกายของจระเข้ยักษ์โบราณจะกล้าแกร่ง แต่ชั้นดวงวิญญาณกลับอยู่ในขั้นธรรมดาเท่านั้น
“นี่…” คนจากสำนักเมฆาพยับที่อยู่ไม่ไกลตกใจจนหน้าถอดสี
“ควบคุมจระเข้โบราณตัวหนึ่งได้ง่ายดายเช่นนี้เลยรึ?” อัจฉริยะที่เชี่ยวชาญวิชาศาสตร์ดวงวิญญาณมีสีหน้าตกตะลึง
การจะควบคุมจระเข้ยักษ์โบราณ โดยปกติแล้วต้องมีระดับดวงวิญญาณในขอบเขตก่อกำเนิดระดับสูง แล้วยังต้องชำนาญเคล็ดวิชาศาสตร์ดวงวิญญาณด้วย
อีกทั้งถึงจะเป็นยอดผู้สูงศักดิ์ที่ชำนาญศาสตร์แห่งวิญญาณ ก็ไม่มีทางควบคุมจระเข้ยักษ์โบราณได้สบายๆ เช่นนี้
ถัดจากนั้น
คนทั้งสามจ้องมองจ้าวเฟิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังของจระเข้ยักษ์
จระเข้ยักษ์โบราณตัวนั้นสวามิภักดิ์อยู่ใต้อำนาจด้วยความยำเกรง แหวกว่ายไปมาใกล้ๆ ริมทะเลสาบ
ริมฝั่งทะเลสาบจื่อเยียน แท้จริงแล้วเป็นถิ่นของจระเข้ยักษ์โบราณ
จ้าวเฟิงนั่งอยู่บนตัวจระเข้ยักษ์ ส่งผลให้สัตว์อสูรมัจฉาเผ่าพันธุ์ต่างๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ง่ายๆ
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง
จ้าวเฟิงเผชิญหน้ากับ ‘จระเข้ยักษ์โบราณ’ ตัวที่สอง มันกำลังจ้องตาคุมเชิงกับจระเข้ตัวที่เขานั่งอยู่
“ตราผนึกดวงใจทมิฬ!”
ตาซ้ายของจ้าวเฟิงกระตุ้นวิชาดวงตาวิญญาณ ควบคุมจระเข้ตัวที่สองให้จำนนจนสำเร็จ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในมือของจ้าวเฟิงจึงมีจระเข้ตัวใหญ่ด้วยกันสองตัว คนในสำนักเมฆาพยับทั้งสามที่ยืนอยู่ริมทะเลสาบตาโตด้วยความตกตะลึง
เมื่อควบคุมจระเข้ยักษ์โบราณได้สองตัวแล้ว จ้าวเฟิงที่อยู่ริมฝั่งแทบจะไม่ต้องหวาดกลัวอะไร
แต่ทว่า
เมื่อผ่านการคุกคามจากพวกจระเข้ยักษ์โบราณไปได้แล้ว จ้าวเฟิงไม่ได้ไปเก็บเอาของมีค่าแถวริมทะเลสาบเหมือนอย่างที่พวกเขาคิดไว้
สวบ สวบ!
จระเข้ยักษ์โบราณสองตัวยังคงแหวกว่ายไปมาแถวริมฝั่ง
เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไป
“ตัวที่สาม…ตัวที่สี่… ตัวที่ห้า…!”
จำนวนของจระเข้ยักษ์ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของจ้าวเฟิงยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในเวลานี้ ขนาดหญิงนักฝึกสัตว์ที่อยู่ไกลๆ ยังตื่นตะลึงไปด้วย
“ชายคนนั้นมีสายเลือดดวงตาแขนงวิญญาณ จึงควบคุมจระเข้ยักษ์โบราณห้าตัวอย่างสบายๆ”
นัยน์ตาของหญิงนักฝึกสัตว์เผยความตกใจออกมา
จะต้องรู้ว่า นางใช้เวลาครึ่งค่อนวันถึงจะควบคุมสัตว์อสูรมัจฉานับสิบและจระเข้ยักษ์โบราณตัวหนึ่งได้
อีกอย่าง
นางควบคุมสัตว์พวกนี้ยังต้องใช้เคล็ดวิชาศาสตร์วิญญาณคอยประคองไว้ มิฉะนั้นจะหลุดออกจากการควบคุมไปได้
แต่ตราผนึกดวงใจทมิฬของจ้าวเฟิง ทุกครั้งที่ประทับลงไปสำเร็จ เป้าหมายจะศิโรราบตั้งแต่ชั้นลึกของดวงวิญญาณ แล้วกลายเป็นทาสอย่างแท้จริง
เคล็ดวิชาวิญญาณต้องห้ามนี้จะเหนื่อยช่วงต้นแต่สบายช่วงหลัง!
“เขาควบคุมจระเข้ยักษ์โบราณไปได้ห้าหกตัว สามารถเดินไปตามริมขอบทะเลสาบเพื่อเก็บของมีค่าโบราณบางส่วน”
หญิงนักฝึกสัตว์มองไปที่จ้าวเฟิงอย่างฉงนสงสัย
จนถึงตอนนี้ จ้าวเฟิงควบคุมจระเข้ยักษ์ได้ราวๆ ห้าหกตัว แต่ยังไม่เห็นว่าเขาจะมีทีท่าไปตามหาของล้ำค่าอะไร
จากตรงนี้จึงเห็นได้ชัดเลยว่า ฝ่ายตรงข้ามมีจิตใจทะเยอทะยานมากเพียงใด เกรงว่าคงจะวางแผนทำอะไรระยะยาวยิ่งกว่านี้
ในที่สุด
เมื่อควบคุมจระเข้ยักษ์โบราณได้นับสิบตัว จ้าวเฟิงถึงค่อยถอนหายใจโล่งอก รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าเล็กน้อย
“จระเข้ยักษ์โบราณสิบตัว พลังรบของทุกตัวเทียบเท่าได้กับขั้นขอบเขตแก่นกำเนิดระดับต่ำช่วงสุดยอด และป้องกันแรงโจมตีของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงได้” คนทั้งสามแห่งสำนักเมฆาพยับอกสั่นขวัญแขวน
หญิงนักฝึกสัตว์มีสีหน้าริษยา จดจ่อทุกอริยาบถของจ้าวเฟิง
นางรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง อัจฉริยะดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชำนาญวิชาดวงตาวิญญาณจนเรียกได้ว่าฝืนชะตาฟ้าดินผู้นี้ เขากำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่?