บทที่ 651 ทุกคนต้องอยู่ที่นี่
การเข้าแทรกแซงอย่างฉับพลันของกลุ่มถูจิ่วเซิน ทำให้ลูกศิษย์หลายคนของสำนักเสวียนเจินเตรียมตัวไม่ทัน
เฉินอี้หลินรู้สึกหวั่นเกรง รีบร้อนส่งสายตากับจ้าวเฟิง
เห็นได้ชัดเลยว่าพวกถูจิ่วเซินเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี อีกทั้งพลังยังแข็งแกร่งพร้อมโจมตี
เมื่อมองย้อนกลับไปฟากของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน พวกเฉินอี้หลินบางคนยังคงมีอาการเมามายอยู่ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองสามคนในนั้นเมามายถึงขั้นตาเยิ้ม
“เหอะเหอะเหอะ ห้องบ่มสุราครึ่งเซียน ใครดีใครได้”
ถูจิ่วเซินส่งเสียงหัวเราะประหลาดออกมา
ถึงแม้จะได้เปรียบในด้านจำนวนคน ถูจิ่วเซินก็ไม่ลงมืออย่างชะล่าใจ
ทางฟากสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน เฉินอี้หลิน เจียงฟาน และจ้าวเฟิง ล้วนแต่เป็นยอดฝีมืออัจฉริยะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
เฉินอี้หลินเองก็เป็นหนึ่งในสิบอัจฉริยะแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
อีกทั้งจ้าวเฟิงผู้นั้นรับมือยากเพียงใด ถูจิ่วเซินเองก็เคยได้สัมผัสอย่างลึกซึ้งด้วยตนเองมาก่อน
นอกจากนี้
ยังมีเจียงฟานผู้ซึ่งมีสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ เมื่อพลังระเบิดออกจนถึงขีดสุด ก็ถือว่าไม่ด้อยไปกว่าสิบอัจฉริยะเลย
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้แล้ว
เฉินอี้หลินถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูๆ ไปแล้วถูจิ่วเซินไม่ได้คิดจะลงมือ
กำลังคนทั้งสองฝั่งล้วนแต่มีข้อได้เปรียบของแต่ละฝ่าย ถ้าหากประมือกันจริงๆ จะไม่ส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่ายเลย
บรรยากาศภายในนั้นจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย
กลุ่มคนของถูจิ่วเซินเข้าใจสถานการณ์ของห้องบ่มสุราอย่างคร่าวๆ แล้ว จึงเตรียมตัวเก็บเกี่ยวเอาสุรา
“ช้าก่อน”
เสียงเรียบๆ ทำให้บรรยากาศที่กำลังจะผ่อนคลายลงกดดันขึ้นอีกครั้ง
ผู้ที่เอ่ยเป็นบุรุษหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงิน แววตาเย็นชา
“จ้าวเฟิง หรือว่าเจ้าคิดจะขัดขวางข้างั้นรึ?”
ถูจิ่วเซินสีหน้าเคร่งขรึมลง เขาเกลียดชังจ้าวเฟิงอย่างลึกซึ้งเช่นกัน
ก่อนหน้านั้น กลุ่มคนจำนวนสิบกว่าคนของถูจิ่วเซินโดนจ้าวเฟิงทำร้ายจนพ่ายแพ้ ล้มหายตายจากไปก็มาก
ในการต่อสู้ครั้งนั้น สภาวะจิตใจของถูจิ่วเซินได้รับบาดเจ็บ แผลยังไม่หายดีจนถึงตอนนี้
ถึงแม้ว่าในยามนี้ข้างกายของจ้าวเฟิงจะไม่มีกองทัพเผ่าวารี แต่วิชาศาสตร์วิญญาณและพลังความสามารถก็ทำให้คนตื่นตกใจได้
“ทั้งหมดรอก่อน”
ใบหน้าของจ้าวเฟิงเย็นชา เต็มไปด้วยไอสังหารอำมหิต
ในระยะเวลาอันสั้น
ร่างเงาเรือนที่มีผมสีน้ำเงินสะบัดพลิ้วไหว สาดซัดกลิ่นอายบรรพกาลออกมาจากพื้นฐานสายเลือด
“ช่างเป็นกลิ่นอายบรรพกาลที่แข็งแกร่งยิ่งนัก!” เจียงฟานใจเย็นเฉียบ
ตั้งแต่พบกันที่ตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าในคราวก่อนจนถึงตอนนี้ กลิ่นอายสายเลือดบนร่างของจ้าวเฟิงนับวันยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
ในเวลาเดียวกัน
แรงกดดันวิญญาณที่หนาวเหน็บแทรกตัวเข้ามายังโลกใต้น้ำแห่งนี้
นอกจากถูจิ่วเซิน วิญญาณและร่างกายของยอดฝีมือจำนวนมากในกองกำลังต่างรู้สึกถึงแรงบีบคั้นจนแทบหยุดหายใจ
“จ้าวเฟิง เจ้าอยากจะเปิดฉากสู้จริงๆ หรือเพียงแค่เขย่าขวัญพวกของถูจิ่วเซิน”
เฉินอี้หลินตื่นตระหนก ส่งเสียงผ่านประสาทสัมผัสจิตวิญญาณไป
หากให้พูดตรงๆ ก็คือไม่มีความหวังมากนัก เขาไม่อยากกลายเป็นศัตรูกับพวกของถูจิ่วเซิน
ในเมื่อผลประโยชน์ที่อยู่ภายในห้องบ่มสุราใต้ดิน ทุกคนสามารถได้รับมันไปหากมีฝีมือมากพอ
จ้าวเฟิงใช้การกระทำของเขาตอบเฉินอี้หลิน
วูบ!
เขาโบกมือข้างหนึ่ง จากนั้นโครงกระดูกสีทองในระดับยอดผู้สูงศักดิ์จึงเผยตัวที่เบื้องหน้า
“นายท่าน!” องค์หญิงเผ่าเงือกสะบัดหาง เกิดแรงกระเพื่อมระลอกน้ำ ก่อนไปปรากฏกายยังอีกฟาก
ในเวลาสั้นๆ
ข้างกายของจ้าวเฟิงมีคนในขั้นยอดผู้สูงศักดิ์สองคน หนึ่งในนั้นเป็นองค์หญิงเผ่าเงือกที่มีพรสวรรค์ด้านวิญญาณและจะได้เปรียบมากกว่าเมื่ออยู่ในโลกใต้น้ำ
เมี้ยว เมี้ยว!
ปรากฏธงสีดำในมือของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย ในขณะที่โบกไหวๆ กลุ่มควันสีดำหนาแน่นซึ่งมีพลังคำสาปอาฆาตน่าหวั่นเกรงครอบคลุมรัศมีกว่าสามสิบจั้ง
“เตรียมสู้!”
ถูจิ่วเซินตกใจจนหน้าถอดสี
วิธีการและจุดเด่นของจ้าวเฟิงผู้นี้อยู่เกินความคาดหมายไปมาก
ในวินาทีดังกล่าว คนจำนวนมากในที่แห่งนั้นล้วนแต่คิดไม่ตก
ทำไมจ้าวเฟิงจึงต้องเป็นศัตรูกับถูจิ่วเซินด้วย?
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าแน่ใจนะว่าจะทำแบบนี้? สู้รบจนตัวตายไม่ส่งผลดีอะไรกับพวกเราเลย” เฉินอี้หลินเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“หญ้าเกล็ดม่วงสิบต้น! ต่อให้พวกเจ้าไม่เอาด้วย ข้าก็จะลงมืออยู่ดี” จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ
เขาไม่ได้อธิบายเหตุผล
เวลานี้ การคุกคามจากถูจิ่วเซินเป็นเพียงเรื่องรองเท่านั้น
ที่เขตชายแดนของอาณาจักเงือกยังอันตรายกว่านี้มาก
ถ้าหากถูจิ่วเซินและบุรุษหนุ่มหยางกวง ‘เวินลั่วอัน’ มาพร้อมกัน เช่นนั้นคงจะอันตรายยิ่งกว่าเดิม
ยังดีที่ในตอนนี้เวินลั่วอันผู้เป็นศิษย์ของจักรพรรดิแห่งความตายไม่ได้เข้ามาในตำหนักเทพ
“ตามนั้น” เฉินอี้หลินทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่เออออไปด้วย
จ้าวเฟิงต้องการลงมือ พวกเขาเองก็ยากจะบ่ายเบี่ยงได้ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ไม่สู้เลือก ‘หญ้าเกล็ดม่วง’ แล้วร่วมมือกับจ้าวเฟิงยังดีเสียกว่า
“จ้าวเฟิง เจ้ามีความหวังว่าจะสำเร็จแค่ไหน?” เจียงฟานเอ่ยถาม
“ถ้าหากเป็นเพียงข้าคนเดียวมีโอกาสอยู่ราวๆ เก้าส่วน เมื่อรวมกับพวกเจ้าก็จะเป็นสิบส่วน”
เฉินอี้หลินและเจียงฟานได้ยินดังนั้นแล้วเกือบสำลัก
เคว้ง!
เมื่อเอ่ยจบ จ้าวเฟิงเป็นประหนึ่งมวลน้ำสีฟ้า สั่นไหวน้อยๆ ก่อนหายไปราวกับปลาได้น้ำ
ในโลกใต้น้ำ จ้าวเฟิงใช้สายเลือดแขนงวารี
ขณะเดียวกัน พลังของค่ายกลร้อยศพต้องสาปปกคลุมร่างกายจ้าวเฟิง กดดันกลุ่มของถูจิ่วเซิน
องค์หญิงเผ่าเงือกและโครงกระดูกทองที่อยู่ในขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ตรงดิ่งไปพร้อมกัน
“เจ้านี่มันรนหาที่ตายเสียจริง!” ถูจิ่วเซินคำรามเสียงเย็นจนดังสะท้อนไปทั่วห้องบ่มสุราใต้ดิน
ทันใดนั้นเอง
หลังของเขาปรากฏร่างเงามังกรเพลิงมารสองตัว พลังสายมารเก่าแก่ค่อยๆ ทำลายไอความอาฆาตของหุ่นเชิดศพที่เข้ามาใกล้ตัว
ในครั้งนี้ ถูจิ่วเซินไม่ได้ชะล่าใจแต่อย่างใด เรียกเคล็ดวิชามรดกของสำนักออกมา
โครม วูบ!
ทั่วร่างของจ้าวเฟิงเป็นระลอกน้ำสีฟ้า ลึกล้ำปานมหาสมุทร ลวดลายสีม่วงในลักษณะเกล็ดผุดขึ้นทั่วผิวกาย
ในทะเลสาบจื่อเยียน พลังสายเลือดวารีของเขาหรือกระทั่งสายเลือดป้องกันที่ได้มาใหม่ ล้วนแต่เพิ่มระดับขึ้นอย่างมาก
อัจฉริยะทั้งสองคนทุ่มพลังทั้งหมดโจมตีออกไปเป็นครั้งที่สอง
ตุ้บ!
ถูจิ่วเซินโดนหมัดกระแทกถอยหลังไปหลายจั้ง เลือดลมปั่นป่วนรุนแรง
ระลอกกำแพงวารีบนร่างของจ้าวเฟิงอับแสงลงหลายส่วน ทั้งกายกลายเป็นสายน้ำสีฟ้า สั่นสะท้านแล้วหายวับไป
เห็นได้ชัดเจนเลยว่า พลังสายเลือดของจ้าวเฟิงได้เปรียบค่อนข้างมากในโลกใต้น้ำ
“คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า!”
ถูจิ่วเซินเพิ่งจะยืนหยัดกายได้ ลำแสงสีขาวสว่างเรืองรองก็สะท้อนแสงปลายแหลมเป็นผลึกแก้วตรงดิ่งเข้ามา
เฉินอี้หลิน!
ถูจิ่วเซินไม่กล้าจะชะล่าใจ เงามังกรเพลิงระเบิดพลังออกอย่างรุนแรง ก่อนเข้าปะทะกับเฉินอี้หลิน
เวลานี้เอง
“อ๊ากอ๊าก…”
มีเสียงร้องโหยหวนจากกลุ่มลัทธิมารที่ถูกพลังคำสาปเข้าปกคลุมด้านบน
จ้าวเฟิง องค์หญิงเผ่าเงือก และโครงกระดูกสีทอง กำลังรบทั้งสามพรางกายไปกับค่ายกลร้อยศพต้องสาป แล้วกระจายตัวออกไป
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยโบกธงค่ายกลไหวๆ กลุ่มควันสีเข้มกลายเป็นพลังอาฆาตหุ่นเชิดศพรูปร่างงูหลายตัว ตรงดิ่งไปรัดร่างของอัจฉริยะฝ่ายศัตรูส่วนหนึ่งเอาไว้
“เหอะ เหอะ!”
หลังจากที่จ้าวเฟิงสังหารคนไปคนสองคนแล้ว ก็ถอยหลังไปตรงทางขึ้นบันได
ถูจิ่วเซินและคนอื่นมองเห็นจากหางตา รู้สึกเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ
จ้าวเฟิงผู้นั้นคิดจะจัดการคนทั้งหมดในครั้งเดียวจริงๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า…ถูจิ่วเซิน รับฝ่ามือของข้าไป!” สายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณของเจียงฟานระเบิดพลังออกในทันใด จากนั้นตรงดิ่งมาจากด้านข้าง
โครม โครม ผัวะ!
ถูจิ่วเซินรับมือกับคนสองคนในเวลาเดียวกัน จนร่างกระเด็นถอยหลังไปไกล มีคราบเลือดไหลออกมาบริเวณมุมปาก
สายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณสามารถข่มสายเลือดวิถีมารของเขาได้อย่างเด่นชัด
แบ่งสองสามคนในกองกำลังไปรับมือกับเจียงฟาน แต่กลับไม่สามารถรับมือได้
คนที่ถูจิ่วเซินหนักใจที่สุดก็คือจ้าวเฟิง
แต่กลัวอะไร สิ่งนั้นย่อมมาถึงเสมอ
“เนตรคุกลวงตา…เมืองวงกตมายา”
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงปรากฏระลอกน้ำสีฟ้า ภายในมีน้ำวนขนาดใหญ่ ก่อให้เกิดแรงดึงดูดที่อันตรายถึงชีวิต
พรึ่บ!
คนทั้งหมดในที่แห่งนั้นจิตใจสั่นสะท้าน
วินาทีต่อมา
ทิวทัศน์ของห้องบ่มสุราใต้ดินตรงหน้ากลายเป็นเมืองโบราณที่เก่าแก่เวิ้งว้าง
เมืองโบราณนั้นถูกปกคลุมด้วยหมอกควันสีขาว พื้นที่ภายในก็ซับซ้อนประหนึ่งเขาวงกตขนาดใหญ่
“แย่แล้ว! นี่มันพลังลวงตาศาสตร์วิญญาณ!”
กลุ่มกำลังลัทธิมาร อัจฉริยะในแขนงดวงวิญญาณผู้หนึ่งแทบพูดไม่ออก
อย่างไรก็ตาม
หลังจากที่จ้าวเฟิงได้ฝึก ‘ตำราหมิงถง’ และ ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ แล้ว
กลยุทธ์ที่ใช้ในแขนงวิญญาณก็ลึกล้ำมากยิ่งขึ้น
‘เมืองวงกตมายา’ ในวันนี้จะปกคลุมสตินึกคิดและดวงวิญญาณทั้งหมดของเป้าหมาย พลังลวงตาจึงเข้าไปภายในดวงวิญญาณได้ลึกล้ำยิ่งขึ้น
ในเวลาเดียวกัน
บทเพลงนางเงือกเก่าแก่ลี้ลับก็ล่องลอยมาอีกครั้ง แล้วมอมเมาจิตวิญญาณของคนให้ตกเข้าสู่เสียงเพลงไพเราะแต่แสนโศกนั้น
ที่แท้เป็นองค์หญิงเผ่าเงือกร่วมมือกับจ้าวเฟิง ใช้พรสวรรค์ดวงวิญญาณ…บทเพลงนางเงือก
บทเพลงนางเงือกส่งผลประหลาดต่อดวงวิญญาณอย่างยิ่ง
หากพูดถึงวิชาลวงตาล่อลวง นางเงือกเพศหญิงจะชำนาญยิ่งกว่า
“พลังลวงตาขององค์หญิงเงือกไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าเลย พลังที่ใช้ล่อลวงบริสุทธิ์กว่ามาก” จ้าวเฟิงแอบตกใจ
การสอดประสานของ ‘เมืองวงกตมายา’ และ ‘บทเพลงนางเงือก’ ทำให้พลังลวงตาไปถึงขีดจำกัดของระดับสุดยอด
ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นครึ่งก้าวสู่ราชา เกรงว่าจะไม่อาจรอดพ้นจากการโจมตีครั้งนี้ได้
“อ๊าก อ๊าก…”
ในบริเวณใกล้เคียงที่ค่ายกลหุ่นเชิดศพปกคลุมอยู่ อัจฉริยะของลัทธิมารส่งเสียงร้องโหยหวนมา
“เร็ว! รีบถอย!”
ถูจิ่วเซินพูดไม่ออก สูดลมหายใจเย็นสะท้อนในอก
เฉินอี้หลินและเจียงฟานใจสั่นสะท้าน
สิ่งที่จ้าวเฟิงเคยพูดก่อนหน้านี้ไม่ใช่คำคุยโวโอ้อวดแต่อย่างใด ต่อให้ไม่มีพวกของเฉินอี้หลินเข้าร่วม จ้าวเฟิงก็มีหวังถึงเก้าส่วนที่จะเอาชนะพวกของถูจิ่วเซิน
“จะหนีไปไหน!” เฉินอี้หลินและเจียงฟานร่วมมือกันจะสังหารถูจิ่วเซิน
อีกทั้งจ้าวเฟิงยังยิ้มเรียบๆ รอคอยอยู่บริเวณตีนบันได
“รวมร่างมาร!”
ในขณะที่ถูจิ่วเซินกำลังเผชิญหน้ากับแรงกดดันและความอันตราย เขาตะเบ็งออกมาเสียงดัง เกิดหมอกควันอึมครึมไปทั่วกาย จนทำให้ร่างทับซ้อนบิดเบี้ยวกลายเป็นเงามารร่างใหญ่ ทะลวงผ่านเหนือศีรษะไป
พริบตาเดียว
เฉินอี้หลินและเจียงฟานโดนกลิ่นอายรุนแรงของสายมารผลักออกไป
เมื่อใช้เคล็ดวิชาสายเลือดนั้น กำลังรบของถูจิ่วเซินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นเท่าสองเท่า
ในเวลาดังกล่าว ต่อให้เป็นครึ่งก้าวสู่ราชันสองสามคนก็ยากจะรับมือกับเขาได้
“ทั้งหมดตายซะ!”
พลังของถูจิ่วเซินครอบคลุมทั่วทั้งอาณาบริเวณ
ในเวลาดังกล่าว ไม่ว่าจะเฉินอี้หลิน เจียงฟาน หรือกระทั่งจ้าวเฟิง ล้วนแต่ไม่สามารถรับแรงปะทะของเขาได้ตรงๆ ทำได้อย่างมากคือเอาชีวิตรอดไปเท่านั้น
“ตายซะ!”
ถูจิ่วเซินหัวเราะอย่างโหดเหี้ยม ตรงดิ่งมาหมายสังหารจ้าวเฟิง ด้วยเพราะเขาเกลียดชังอีกฝ่ายเป็นที่สุด อีกทั้งจ้าวเฟิงยืนขวางอยู่ที่ตีนบันไดด้วย
“แสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้าง!”
ลำแสงสีฟ้าสว่างพุ่งแหวกโลกใต้น้ำ สะเก็ดแหลมคมเย็นเยียบนับไม่ถ้วนกระจายออกมา
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงทอแสงสีเงินยวงราวแสงจันทร์
โครม!
เพลิงมารที่ปกคลุมทั่วร่างของถูจิ่วเซิน รวมไปถึงเงามารที่ทะลวงฟ้าและดินร่างนั้น พลันกระจายออกไปในทันที
แสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้างนั้นเรียกได้ว่าเป็นวิธีทำลายฟ้าดิน ทะลวงสิ้นทั้งหมดทั้งมวล
แสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้างของจ้าวเฟิงลอกเลียนมาจากตระกูลจินหยาง ถึงแม้จะไม่บริสุทธิ์ที่สุด แต่ด้วยพลังดวงตาและวิญญาณที่สูงส่งของเขาในวันนี้ ทำให้ใกล้จะสมบูรณ์แล้ว
“ที่แท้จ้าวเฟิงยังมีวิชาดวงตาประเภทแบ่งแยกทำลายด้วย” เฉินอี้หลินและคนอื่นๆ ตกตะลึง
‘แสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้าง’ ทำลาย ‘รวมร่างมาร’ ของถูจิ่วเซินไปสองสามส่วน
“เป็นถึงสิบอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ วิชามรดกสายเลือดสูงส่งกว่านอกดินแดนหลายระดับขั้นนัก” จ้าวเฟิงลอบถอนใจ
ถ้าหากเป็นเคล็ดวิชาเพิ่มสภาวะธรรมดา แสงศักดิ์สิทธิ์ทำลายล้างของจ้าวเฟิงคงทำลายให้แตกกระจายได้ในครั้งเดียว
“ลำแสงจิตวิญญาณเหมันต์!”
ลำแสงเหมันต์กึ่งโปร่งแสงตรงดิ่งไปหาถูจิ่วเซิน
ร่างของถูจิ่วเซินสั่นไหว ดวงวิญญาณสั่นสะท้าน ค่อยๆ แข็งทื่อไปทีละน้อย
ในเวลาเดียวกัน เฉินอี้หลินและเจียงฟานก็เรียกวิชาสายเลือดไม้ตายออกมาโจมตีเขาจากเบื้องหลัง
อึก!
ถูจิ่วเซินกระอักเลือดออกมา ร้องคำรามเสียงดัง ก่อนจะกลายเป็นเงามารร่างหนึ่ง พุ่งไปยังจ้าวเฟิงที่อยู่บริเวณบันได