บทที่ 660 มิติมายามาร
ในขณะที่เมิ่งซีเพียรพยายามอยู่คนเดียว จ้าวเฟิงถอดใจจากการช่วงชิงเลือดครึ่งเซียนเป็นการชั่วคราว แล้วถอยออกไปก้าวหนึ่ง
ดวงตาข้ามระยะทางของเขาจะได้เปรียบมากกว่าเมื่ออยู่ในที่ห่างไกล
“แต่ว่าดวงตาข้ามระยะทางของข้าจะใช้ได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อตกอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ”
จ้าวเฟิงออกไปไกลจากตำหนักหย่างซินขึ้นทุกที
ในฟากของตำหนักหย่างซินมีเจ้าแมวขโมยตัวน้อยหลบซ่อนอยู่ จ้าวเฟิงสามารถ มองเห็นทุกอย่างผ่านดวงตาของมัน
หรือจะเรียกได้ว่า ทุกๆ การเคลื่อนไหวในตำหนักหย่างซิน จ้าวเฟิงมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ชั่วเวลาจิบชาครึ่งถ้วยผ่านไป
ด้านหน้ามีเสียงแหวกอากาศมากับพลังราชันที่คุ้นเคย
“หนานกงเซิ่ง!”
ผู้ที่อยู่ไกลๆ อย่างจ้าวเฟิงมองเห็นบุรุษหนุ่มในชุดสีดำ ท่าทางสง่าองอาจ คนผู้นั้นก็คือหนานกงเซิ่ง
ส่วนทิศทางที่เขาเดินทางไปคือตำหนักหย่างซิน
“ที่นี่มีเรื่องสนุกให้ดูเสียแล้ว” จ้าวเฟิงพึงพอใจยิ่งนัก
ในมือของหนานกงเซิ่งมีกระบี่โบราณที่มีกลิ่นอายน่าหวั่นเกรง ทำให้ทุกหนแห่งที่เดินผ่านฟ้าดินปั่นป่วน
กระบี่ฟ้าดิน!
สีหน้าของจ้าวเฟิงค้างแข็ง หอกจักรพรรดิเหมันต์ที่หลอมรวมเข้าไปภายในสายเลือดสั่นสะเทือน
ที่แท้หนานกงเซิ่งผู้นี้ได้รับการยอมรับจาก ‘กระบี่ฟ้าดิน’ จึงสามารถใช้มรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในขั้นต้นได้
ถึงอย่างไรพลังฝึกตนของเขาก็ไม่ได้ต่างจากราชันที่แท้จริงเลย
หนานกงเซิ่งใช้เวลาและพลังไปมากโข เพื่อที่จะได้รับการยอมรับให้ควบคุม ‘กระบี่ฟ้าดิน’
มิฉะนั้น ด้วยพลังของอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งดินแดนศักด์สิทธิ์ ไปที่ใดย่อมทำลายล้างที่นั่นให้ราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว
หนานกงเซิ่งแหวกอากาศมา เหลือบมองจ้าวเฟิงอย่างไร้ความรู้สึก ไม่ได้พูดอะไร ทว่าตรงดิ่งไปยังทิศทางของตำหนักหย่างซิน
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง
เบื้องหน้าก็ปรากฏร่างเงาที่คุ้นเคย
“ศิษย์น้องจ้าว!” ผู้มาเยือนก็คือเฉินอี้หลินและพวกเจียงฟาน
“พวกเจ้าเตรียมตัวไปที่ ‘ตำหนักหย่างซิน’ กันล่ะสิ การต่อสู้ที่นั่นดุเดือดอย่างยิ่ง…”
จ้าวเฟิงบอกสถานการณ์คร่าวๆ เมื่อเอ่ยจบเขาก็จากไป
เฉินอี้หลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “จ้าวเฟิงผู้นี้ถึงตำหนักหย่างซินก่อนเราเสียอีก ตอนนี้กลับกำลังถอย”
คนหลายคนยังงุนงงกับการเดินทางของจ้าวเฟิง
ว่ากันตามหลักเหตุผลแล้ว พลังของจ้าวเฟิงเป็นรองก็เพียงแต่หนานกงเซิ่งและเมิ่งซีในการแย่งชิงสายเลือดครึ่งเซียน
จ้าวเฟิงสนใจแต่เรื่องของตนเอง จึงตรงดิ่งไปยังที่อื่นในอุทยาน
ดูๆ ไปแล้วเขาเหมือนยอมแพ้ในการช่วงชิงเลือดครึ่งเซียน แต่ในความเป็นจริง จ้าวเฟิงกลับแบ่งความสนใจส่วนใหญ่ไปที่ฝั่งของตำหนักหย่างซินต่างหาก
“หาสถานที่เงียบสงบห่างไกลก่อนแล้วกัน”
จ้าวเฟิงคัดเลือกข้อมูลที่เกี่ยวข้องของอุทยานครึ่งเซียน แล้วมองจากด้านบนโดยใช้ดวงตาข้ามระยะทาง
จ้าวเฟิงยืนยันจุดหมายปลายทางได้อย่างรวดเร็ว
“ห้องเก็บตำรา!”
จ้าวเฟิงรู้มาว่าภายในอุทยานครึ่งเซียนมีห้องเก็บตำราแห่งหนึ่ง
ห้องเก็บตำรา ความจริงแล้วถูกใช้เป็นห้องอ่านหนังสือเล็กๆ ตอนที่ครึ่งเซียนยังมีชีวิตอยู่
ภายในห้องเก็บตำราแห่งนั้นยังซุกซ่อนตำราโบราณส่วนหนึ่งไว้ แต่ว่ากันว่าที่แห่งนี้ไม่มีมรดกของครึ่งเซียนอยู่เลย
สาเหตุการตายของครึ่งเซียนผู้นั้นมาจาก ‘ด่านเซียน’ เป็นหลัก เหมือนกับไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมมรดกที่สมบูรณ์พร้อมจริงๆ
แต่ว่าจ้าวเฟิงเลือกไปห้องเก็บตำราเพราะความเงียบสงบเป็นหลัก นอกจากนี้ยังคิดจะสอดส่องสักหน่อย
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่เคยมีคนศึกษา ‘อุทยานครึ่งเซียน’ มาก่อน รู้สึกว่ามีสถานที่ส่วนหนึ่ง หรือไม่ก็โอกาสอะไรบางอย่างที่ไม่เคยมีใครรู้รอให้ไปเก็บเกี่ยวอยู่
ห้องเก็บตำราก็เป็นหนึ่งในนั้น
เป็นถึงห้องหนังสือที่ครึ่งเซียนเคยใช้ แต่แทบจะไม่เคยมีโอกาสอันดีใดๆ ปรากฏขึ้นมาก่อน และตัวของมันเองก็แปลกประหลาดอยู่บ้าง
ในขณะที่จ้าวเฟิงเดินเข้าใกล้อุทยานครึ่งเซียนทีละก้าวๆ สถานการณ์ที่ตำหนักหย่างซินก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่
“เลือดครึ่งเซียนจะต้องเป็นของข้าเท่านั้น!”
หนานกงเซิ่งลอยลงมาจากฟ้า เข้าไปภายในตำหนักหย่างซิน พลังมหาศาลของราชันหมุนวนในอากาศเหนือสระน้ำ
วูบ!
เมื่อลำแสงสีเงินสว่างวาบ หนานกงเซิ่งก็เข้ามาใกล้ ‘เลือดครึ่งเซียน’
“หนานกงเซิ่ง!”
เมิ่งซีมีสีหน้าตึงเครียด มองดูเลือดครึ่งเซียนที่อยู่ไกลจากมือนางเพียงหนึ่งสองฉื่อเท่านั้น
สัตว์อสูรขั้นราชันร้องเสียงดัง กลุ่มเพลิงอัสนีสีม่วงที่น่ากลัวพุ่งไปหาหนานกงเซิ่ง
นี่คือการโจมตีของระดับราชัน
ถ้าหากภายในอุทยานครึ่งเซียนไม่ได้มีที่ว่างมากมาย เกรงว่าคงจะปกคลุมเต็มบริเวณไปหมดแล้ว
“เหอะ!”
บนร่างของหนานกงเซิ่งปรากฏพลังมหาศาลของราชันในขั้นต้น ผิวกายเกิดแสงสีเงินประหนึ่งระลอกคลื่นวารี
ตูม บึม!
การโจมตีของสัตว์อสูรในขั้นราชันเหมือนกับทำให้ตกลงไปในความว่างเปล่า
เมี้ยว~
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่อยู่ในมุมใดมุมหนึ่งมีสีหน้าแปลกไป
“ความสามารถทางมิติ! ไม่เสียทีที่เป็นผู้ครอบครองร่างกายชั้นยอดอย่าง ‘กายจิตว่าง’ และ ‘กายจิตวิญญาณฟ้า’ ”
จ้าวเฟิงรับรู้ทุกอย่างผ่านเจ้าแมวขโมยตัวน้อย
เปรี้ยง~
พลังที่ยิ่งใหญ่ของราชันทั้งสองปะทะเข้าหากันเหนือสระน้ำ ดวงวิญญาณสั่นน้อยๆ
“แย่แล้ว…”
ในบริเวณใกล้เคียงสระน้ำ อัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่งยืนไม่ติดกันแล้ว
การปะทะกันของคนในขั้นราชันทำให้เกิดแรงระเบิดน่าพรั่นพรึง ต่อให้อยู่ภายในอุทยานครึ่งเซียนก็สามารถเก็บกวาดได้เป็นระยะครึ่งลี้
พื้นหินหยกใต้ฝ่าเท้าแตกเป็นชั้นๆ แต่อิฐทุกก้อนกระเบื้องทุกแผ่นในอุทยานล้วนแต่ไม่ธรรมดา
วิ้ง!
อาคารหรือถนนหนทางที่โดนทำลายด้วยพลังแปลกประหลาดพิสดารยังคงสภาพเอาไว้ได้
เพราะว่าอุทยานครึ่งเซียนคือมิติที่ครึ่งเซียนผู้นั้นสร้างขึ้นด้วยตนเอง
ในที่แห่งนี้ พลังครึ่งเซียนก็คือเซียนที่สามารถทำได้ทุกอย่าง
“ครึ่งเซียน ขอบเขตเซียนสวรรค์ ที่สุดแล้วเป็นระดับขั้นแบบไหนกันแน่…” ใจของจ้าวเฟิงอดคาดหวังไม่ได้
ดวงตาซ้ายของเขา ตัวเจ้าของคือดวงวิญญาณเทพบรรพกาล แน่นอนว่าจะต้องเป็นขอบเขตเซียนสวรรค์ขึ้นไป
“เก็บกวาด!”
หนานกงเซิ่งพูดเสียงดัง แล้วบนมือของเขาก็ปรากฏหลุมดำว่างเปล่า ขอบรอบด้านเป็นระลอกลำแสงสีเงินสว่าง
วูบ!
แรงดึงดูดของมิติแปลกประหลาดเล็งเป้าหมายไปที่เลือดครึ่งเซียน
จากจุดนี้จึงเห็นได้ชัดเจนเลยว่า หนานกงเซิ่งผู้นี้ต้องการใช้เคล็ดวิชามิติเก็บเอา ‘เลือดครึ่งเซียน’ ไป
วิ้ง! โครม…
เลือดครึ่งเซียนมีชีวิตจิตใจ มันสาดซัดพลังเซียนที่รุนแรงออกมาต้านทานแรงดึงดูดของหลุมดำนั้นในทันที
“ไม่ผิดคาด!”
จ้าวเฟิงไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย
พรสวรรค์มิติดังกล่าวและความสามารถจัดเก็บสิ่งของที่แข็งกล้าของหนานกงเซิ่งมีระยะใกล้ ความสามารถในด้านนี้แข็งแกร่งกว่าวิชา ‘เคลื่อนย้ายมิติ’ ของจ้าวเฟิง
เมื่อบวกกับพลังมหาศาลของหนานกงเซิ่งที่เข้าใกล้ขั้นราชัน เลือดครึ่งเซียนถึงแม้ว่าจะดิ้นรนอย่างยิ่ง แต่ก็เข้าใกล้เขามาเรื่อยๆ
“ฝันไปเถอะ!”
เมิ่งซีใช้กิเลนหยกสีม่วงในมือควบคุมสัตว์อสูรขั้นราชันให้ลงมือโจมตีหนานกงเซิ่ง
ตัวของนางใช้พลังในการควบคุมสัตว์อสูรถึงห้าส่วนเป็นอย่างน้อย
“มิติมายามาร!”
เรือนผมราวเส้นไหมของเมิ่งซีพลิ้วไหวราวกับน้ำตก
วินาทีนั้นเอง ในรัศมีหลายสิบจั้งถูกล้อมรอบไปด้วยลำแสงสีม่วง
เพียงแค่พริบตาเดียว
ฝูงชนในละแวกใกล้เคียงก็ตกอยู่ในมิติแปลกประหลาดราวห้วงมายาที่เลือนราง
ห้วงมิติแห่งนี้เดิมมีโครงสร้างเป็นบริเวณสระน้ำของตำหนักหย่างซิน
แต่ว่ากลิ่นอายของมิติกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน เหมือนกับถูกกลิ่นอายของอีกมิติหนึ่งทะลวงผ่าน
เพียะ เพียะ เพียะ!
ผมยาวราวม่านน้ำตกของเมิ่งซียาวขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว แล้วรัดทั่วร่างของ ‘หนานกงเซิ่ง’ เอาไว้
“เป็น ‘มิติมายามาร’ นี้อีกแล้ว!”
หนานกงเซิ่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเมื่อตนเองตกเป็นฝ่ายถูกโจมตี
ภายในมิติมายามารไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถของคนอื่นมากนัก แต่ว่ากับเมิ่งซีแล้ว พลังของนางเพิ่มขึ้นอย่างมาก
“รายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณลำดับที่สองร้อยสามสิบเก้า…‘เผ่ามายามาร’ เป็นสายเลือดศาสตร์วิญญาณที่พบเห็นได้ยาก นางเอามิติมายามารหลอมรวมเข้ากับความเป็นจริงจนส่งผลกระทบต่อโลกแห่งความจริงด้วย” บุรุษหนุ่มหยางกวงเอ่ยพึมพำ
พลังของวิชาลวงตานี้สามารถส่งผลถึงโลกแห่งความจริง นับว่าเป็นความน่ากลัวของสายเลือดประเภทนี้
“จุดสูงสุดของวิชาลวงตา ก็คือการเปลี่ยนภาพมายาเป็นความจริง สายเลือดของนางแตะถึงระดับนี้แล้ว” จ้าวเฟิงตกตะลึง
เนตรคุกลวงตาของเขายังต้องดึงสตินึกคิดของฝ่ายตรงข้ามเข้ามาภายในมิติคุกลวงตาที่ตนสร้างขึ้น
ทว่าเมิ่งซีจัดการหลอมรวมมิติมายามารเข้ากับโลกแห่งความจริง จึงส่งผลกระทบได้จริง!
ในสถานการณ์เช่นนี้ พลังของนางสามารถทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เกิดขึ้นได้
ยกตัวอย่างเช่น เรือนผมของเมิ่งซี ในโลกความเป็นจริงแล้วน่าจะยาวประมาณตัวคน แต่ว่าในมิติมายามารสามารถทำให้ยาวกว่าเดิมหลายเท่าตัว เหมือนดั่งจินตนาการในห้วงความฝัน
แน่นอนว่าพลังของเมิ่งซีที่ส่งผลกระทบต่อโลกความจริงก็มีขีดจำกัดเช่นกัน
ในละแวกสระน้ำ
พลังของเมิ่งซีเพิ่มขึ้นอย่างยิ่ง ลำแสงมายาขมุกขมัวอยู่ทั่วทิศทาง แตกต่างจากบริเวณอื่นๆ ของตำหนักหย่างซิน
ในตอนนั้น
หนานกงเซิ่งซึ่งตกอยู่ในสถานการณ์ตั้งรับ หลุมดำมืดมิดในมือค่อยๆ หายไป
“รอยแยกเวหามายา!”
หนานกงเซิ่งสะบัดมือ เกิดรอยแยกสีเงินขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะทะลักกลิ่นอายต้องห้ามออกมา
“ร่างมายามาร!”
ร่างกายของเมิ่งซีปรากฏลำแสงเลือนรางราวภาพฝัน เกิดเป็นร่างเงาบิดเบี้ยวแปลกประหลาด
วูบ โครม!
‘รอยแยกเวหามายา’ ที่รุนแรงมากพอจะสังหารครึ่งก้าวสู่ราชัน ปะทะไปบนร่างของเมิ่งซี แต่นางกลับไม่บาดเจ็บแต่อย่างใด
หนึ่งคือเกราะป้องกันร่างกายนางทรงพลังมากพอที่จะต้านทานได้ถึงสามสิบส่วน
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ในมิติมายามาร พลังจินตนาการของนางสามารถส่งผลต่อความเป็นจริงได้
ลองคิดดู ถ้าหากว่าตนเองถูกสังหารในห้วงฝัน ก็จะไม่ตายในความเป็นจริง
แต่มิติมายามารของเมิ่งซีสามารถแทรกซึมผลลัพธ์นี้ผ่านไปถึงความเป็นจริง การป้องกันที่ออกมาสู่โลกความเป็นจริงจึงเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่าตัว!
“ไม่เสียทีที่เป็นสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ ช่างแปลกประหลาดเสียจริง มิติมายามารนี้ถ้าหากฝึกฝนได้ก็เท่ากับโกงได้”
วิญญาณของจ้าวเฟิงเต้นระทึก
แต่เขาเองก็รู้เต็มอกว่าพลังสายเลือดพิเศษเช่นนี้ยากจะลอกเลียนแบบได้
ในระยะเวลาสั้นๆ จ้าวเฟิงยังไม่มีแผนว่าจะลงมือ
“กระบี่ฟ้าดิน!” หนานกงเซิ่งเรียกมรดกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนั้น
กระบี่ฟ้าดินแหวกอากาศออกมา ให้ความรู้สึกสั่นสะเทือนไปทั่วทุกที่ ขนาดมิติมายามารก็ยังเกิดการสั่นไหวรุนแรงและอ่อนแรงลง
“หนานกงเซิ่งคนนี้ที่แท้ได้กระบี่ฟ้าดินมาแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะใช้พลังได้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่กลับทำให้ ‘มิติมายามาร’ ของข้าไม่เสถียร ลดทอนกำลังลงไปมาก” เมิ่งซีใจชาวาบ
หนานกงเซิ่งผู้นี้ไม่เสียทีที่เป็นคู่ต่อสู้ตามชะตาของนาง
โครม เปรี้ยง!
การต่อสู้ของหนานกงเซิ่งและเมิ่งซี สะเทือนเลือนลั่นไปถึงใจและกาย ทะลวงผ่านโลกรูปธรรม โลกนามธรรม หรือกระทั่งในโลกมายามาร
บรรดาอัจฉริยะที่เหลืออยู่ถอยออกไปไกลเป็นร้อยจั้ง
เฉินอี้หลิน เจียงฟาน และคนอื่นๆ ที่เร่งรุดมาตกใจจนกัดลิ้นตัวเอง
“หรือบางทีการจากไปของจ้าวเฟิงอาจเป็นตัวเลือกที่ชาญฉลาดยิ่งนัก”
เฉินอี้หลินเอ่ยพึมพำ
นอกเสียจากพลังของหนานกงเซิ่งและเมิ่งซีจะลดลงไปกึ่งหนึ่ง คนอื่นก็อย่าหวังจะเข้าไปสอด
อัจฉริยะทั้งสองตกอยู่ในสถานการณ์ไม่เพลี่ยงพล้ำ ผลแพ้ชนะยากที่จะรู้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ
แต่ว่าในเวลาเดียวกัน พลังเซียนที่เลือดครึ่งเซียนสาดซัดออกมา จิตที่แฝงอยู่ค่อยๆ ลดลงช้าๆ
“สู้กันไปเถอะ ถ้าหากคนทั้งสองอยู่ในสภาวะสุดยอด ข้าก็มีความหวังไม่เท่าไหร่แล้ว”
บุรุษหนุ่มหยางกวงยืนอยู่บนยอดอาคาร มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ
ครึ่งชั่วยามจากนั้น
ณ อุทยานครึ่งเซียน เขตเรือนพักที่เต็มไปด้วยมวลบุปผาส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล มีเรือนหนังสือหลังหนึ่งที่ทำจากไม้ไผ่
ในขณะที่จ้าวเฟิงก้าวเข้าไปภายใน พลันเกิดฝนเม็ดเล็กโปรยปรายไม่หยุด
“ประหลาดนัก”
จ้าวเฟิงเหมือนได้ยินเสียงเอ่ยช้าๆ อย่างชัดเจนมาพร้อมกันกับพิรุณเม็ดเล็กๆ ที่โปรยปรายในเขตเรือนพัก แต่ทว่าข้างนอกกลับไม่มีฝนตก
จ้าวเฟิงทายว่า นี่เป็นสถานที่ของเจ้าของอุทยาน ฤดูที่ละอองฝนโปรยปราย อากาศเย็นชื้น นั่งอ่านตำราอยู่ภายในห้องหนังสือที่เงียบสงบ
ที่แห่งนี้ก็คือห้องเก็บตำราของครึ่งเซียน
จ้าวเฟิงหอบเอาความระลึกถึงในวัยเด็ก รวมไปถึงความเคารพนับถือที่มีต่อครึ่งเซียน สาวเท้าเข้าไปภายในห้องเก็บตำรา