บทที่ 68 : เฟิงฮันเยว่
จ้าวเฟิงผงกศีรษะและมุ่งตรงไปยังห้องไม้ซึ่งเคยเป็นของลีชางเฟิงก่อนพบว่าด้านในนั้นไม่ได้กว้างมากนัก มีเพียงเตียงหนึ่งเตียงและโต๊ะหนึ่งตัวด้านใน ทว่าความแตกต่างระหว่างมันกับกระโจมนั้นราวกับราชวังและห้องน้ำ
เขาคิดก่อนที่จะตัดสินใจมอบมันให้จ้าวหยูเฟ่ยเมื่อนางต้องการมันมากกว่า
“นี่เป็นห้องที่ศิษย์น้องเฟิงได้มาด้วยความแข็งแกร่ง ข้าไม่อาจไปอยู่ในนั้นแทนได้ วันหนึ่งข้าจะใช้พลังของข้าในการนำมันมา…” จ้าวหยูเฟ่ยกัดฟัน และไม่ว่าจ้าวเฟิงจะพยายามโน้มน้าวนางเท่าใด เด็กสาวก็ไม่ยอมตกลง
นอกจากนั้น กฎนั้นได้กล่าวไว้ว่ามีเพียงสิบองครักษ์ฟ้าที่สามารถเข้าไปได้ ดังนั้นแล้วจ้าวเฟิงจึงทำได้เพียงช่วยอีกฝ่ายวางกระโจมไว้ข้างๆ ห้องของเขา
“ข้าหวังว่าศิษย์น้องเฟิงจะช่วยดูแลข้าสักหน่อย” คำกล่าวของฮวงชี่ปรากฏความเคารพมากกว่าแต่ก่อน
กฎนั้นสนับสนุนการต่อสู้ และผู้แข็งแกร่งกว่าจะได้รับการดูแลที่ดีกว่า ผู้ที่ไม่มีผู้ที่แข็งแกร่งคอยดูแลจะถูกทำลายลง จ้าวเฟิงไม่ปฏิเสธและเข้าไปยังห้องของเขาเพื่อฝึกตนอีกครั้ง ตั้งแต่เขาเข้าสู่ขั้นหก จ้าวเฟิงก็รู้สึกได้ว่าการพัฒนาของมันนั้นเชื่องช้าลง หากเขาสามารถทะลวงไปได้อีกขั้น เข้าจะกลายเป็นจอมยุทธ์พร้อมด้วยพลังในระดับที่เหนือกว่าเดิม
เขาไม่เคยเห็นจอมยุทธ์ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ในเมืองประกายอรุรณเลยแม้แต่คนเดียว
สองชั่วโมงต่อมา แสงสีเขียวอมฟ้าในมิติในดวงตาซ้ายของเขาก็ยังคงมีขนาดที่ 6.3 ฟุต เท่าเดิม
“ด้วยความเร็วระดับนี้ ข้าต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีในการทะลวงเข้าสู่ขั้นเจ็ด” จ้าวเฟิงคิดก่อนที่จะนำสมุนไพรพันปีทั้งสามออกมา
ราตรีนั้น เขากินพฤกษาโลหิตพันปีเข้าไป มันเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์สำหรับกระทั่งผู้ฝึกตนขั้นเจ็ด
หลังจากที่กินมันเข้าไป จ้าวเฟิงก็พยายามซึมซับพลังงานให้ได้มากที่สุด เป็นเพราะว่าวิชากำแพงเหล็กของเขาเข้าสู่ระดับห้าแล้ว ร่างกายของเขาจึงแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับพลังงานของพฤกษาโลหิตพันปี การหลอมรวมเข้ากับดวงตาซ้ายเองก็ได้เปลี่ยนแปลงร่างกายและโลหิตของเขาเช่นกัน ดังนั้นแล้วเด็กหนุ่มจึงสามารถดูดซึมพลังงานได้มากกว่าผู้อื่น
สองชั่วโมงถัดมา จ้าวเฟิงได้ดูดซึมพลังงานส่วนมากเข้าไป ภายในดวงตาซ้ายของเขา แสงสีเขียวได้ขยายเป็น 6.6 ฟุต
“ข้าจะสามารถเข้าสู่ขั้นปลายของขั้นหกได้หากกินเข้าไปอีกต้น”
จ้าวเฟิงคิดทว่ามันไม่ใช่เรื่องดีที่จะกินสมุนไพรเหล่านี้เข้าไปติดต่อกันเมื่อมันยังคงมีความเป็นพิษอยู่ เมื่อกินมากเกินไปมันจะจำกัดความสามารถของพวกเขาแทน
เช้าวันที่สอง จ้าวเฟิงเดินออกจากห้อง เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน ไม่ช้าก็มีข้ารับใช้นับอาหารมาส่งให้เขา เหล่าข้ารับใช้นั้นสุภาพอย่างมาก
ตามกฎของกองพันองครักษ์ฟ้านั้น เด็กหนุ่มจะได้รับเงิน 10,000เงิน และยาจำนวนหนึ่ง โชคดีนักที่วันนี้เป็นวันสุดท้ายของเดือนและเด็กหนุ่มจะได้รับของเหล่านั้น
เงิน10,000นั้นได้รับเฉพาะสิบองครักษ์ฟ้าเท่านั้น แน่นอนว่ายิ่งอันดับสูงเท่าใดก็จะได้รับเงินมากขึ้นอันดับล่ะ 1,000 เงิน
ยาและทรัพยากรที่เขาได้รับนั้นไม่มีประโยชน์กับเขาเท่าใดเมื่อเขาได้เข้าสู่ขั้นปลายของขั้นหกแล้ว ดังนั้นเขาจึงมอบพวกมันให้กับจ้าวหยูเฟ่ย
“ฮี่ฮี่ เด็กใหม่ ส่งของของเจ้ามาซะ” ไม่ไกลจากห้องไม้เท่าใดนัก เด็กหนุ่มค่อนข้างหล่อเหลาผู้หนึ่งเดินมา
เด็กหนุ่มผู้นี้ดูบริสุทธิ์และหล่อเหลายิ่งนัก มันช่างยากที่จะเชื่อได้ว่าเขาเป็นผู้ที่พูดคำเหล่านั้นออกมา
“อันดับห้าของสิบองครักษ์ฟ้า ลู่เซียวเหลียน”
“ลู่เซียวเหลียนมักจะบังคับเอาทรัพยากรจากผู้ที่อันดับต่ำกว่าอยู่เสมอ”
เด็กหนุ่มสาวใกล้ๆ ซุบซิบ จ้าวเฟิงเองก็พินิจลู่เซียวเหลียนผู้นี้ เขาอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปี ไม่แก่กว่าเขาเท่าใดนัก แต่ว่ากลับเข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นหกแล้ว
“หากเจ้ามีความสามารถที่จะทำเช่นนั้น” จ้าวเฟิงยิ้มในใจ
“เด็กใหม่ อย่าได้คิดว่าเจ้าเก่งเพียงเพราะเจ้าเอาชนะลีชางเฟิงได้ ลีชางเฟิงนั้นไม่อาจแม้แต่จะรับมือข้าได้ถึงสามกระบวนท่า” ลู่เซียวเหลียนเอ่ยอย่างช้าๆ และเมื่อเขามองไปยังจ้าวเฟิงนั้นก็เชิดหน้าขึ้น
แน่นอนว่าในสายตาของเขานั้น จ้าวเฟิงไม่ต่างจากลีชางเฟิง เพียงยุงตัวเล็กๆ สองตัว มันมีความแตกต่างของความแข็งแกร่งในระดับหนึ่งในแต่ล่ะอันดับ
“แล้วมันมีอันใดเกี่ยวข้องกันข้า?” จ้าวเฟิงเอ่ยเยาะและเดินไปอีกทาง
“หากเจ้าต้องการสู้ก็สู้ หากไม่ก็ไปไกลๆ!”
อันใดกัน!?
สีหน้าของลู่เซียวเหลียนแปรเปลี่ยนเป็นทะมึนทึม อีกฝ่ายดูถูกเขา ตลอดมามีเพียงเขาที่ดูถูกผู้อื่น วันนี้เขากลับได้รับการกระทำเช่นเดียวกัน ความกราดเกรี้ยวพุ่งสูงขึ้นในใจ
“หึ!” ร่างของลู่เซียวเหลียนเลือนรางลงก่อนจะหายไป
วูบ!
จ้าวเฟิงรู้สึกได้เพียงลมที่พัดจากด้านของเขา เร็วยิ่ง!
ในพริบตาเดียว ลู่เซียวเหลียนก็ได้ขวางทางของเด็กหนุ่มไว้ การที่เขารวดเร็วถึงเพียงนี้ย่อมหมายความว่าวิชาเคลื่อนไหวระดับสุดยอดของเขานั้นเข้าสู่ขั้นสูงแล้ว
ย่างก้าวเสี้ยวพริบตา!
จ้าวเฟิงทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลังขณะที่เขาหลบการโจมตีของอีกฝ่าย
“ดูเหมือนว่าเจ้าไม่ได้ไร้ค่าเพียงนั้น!”
ลู่เซียวเหลียนรู้สึกตะลึงเล็กๆ เพราะว่าวิชาระดับสุดยอดของเขานั้นเข้าสู่ขั้นสูงแล้ว และนอกจากอันดับหนึ่ง เฟิงฮันเยว่ ก็ไม่มีผู้สามารถเอาชนะเอาในด้านความเร็วได้อีก แต่เขากลับพบว่าวิชาเคลื่อนไหวระดับสูงของจ้าวเฟิงนั้นได้เข้าสู่ขั้นหลอมรวมและประสิทธิภาพของมันกระทั่งเหนือกว่าของเขา
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ร่างทั้งสองเข้าปะทะกัน แต่ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชัยเหนืออีกฝ่ายได้
“หมัดสายฟ้า!”
ลู่เซียวเหลียนพลันใช้วิชาระดับสุดยอดออกกะทันหัน และขณะที่เขาทำเช่นนั้นท้องฟ้าก็คำราม
ดรรชนีดารา!
จ้าวเฟิงพลันใช้ดรรชนีดาราของเขาออก และในเวลาเดียวกันเขาก็ได้ใช้เพิ่มพลังให้วิชากำแพงเหล็กจนเกือบเข้าระดับห้า แต่แม้กระนั้นเขาก็ยังไม่อาจป้องกันหมัดสายฟ้าได้อย่างสมบูรณ์
ตูม
เสียงหมัดของลู่เซียวเหลียนดังขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่พลังฝึกตนขั้นหกของเข้าได้เปรียบ จ้าวเฟิงได้จำกัดพลังฝึกตนของเขาไว้ที่ขั้นสุดยอดของขั้นห้า ดังนั้นแล้วเด็กหนุ่มจึงไม่อาจเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายได้ตรงๆ
เพียงแค่จ้าวเฟิงคิดว่าเขาจะเผยไพ่บนมือส่วนหนึ่งนั้นเอง
“หยุด!”
เสียงสั่งดังขึ้นจากด้านข้าง เจ้าของเสียงนั้นเป็นชายหนุ่มหัวโล้นแต่งกายด้วยชุดสีเงินที่เปล่งประกายภายใต้แสงอาทิตย์
“นั่นอันดับสอง เหล่ยเฮา” ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้คนโดยรอบ
การต่อสู้ของทั้งสองหยุดชะงักลง
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงความหวาดระแวงและหวาดกลัวในแววตาของลู่เซียวเหลียน เด็กหนุ่มหัวโล้นนั้นมีพลังฝึกตนที่ขั้นสุดยอดของขั้นหกและได้แตะชายขอบของขั้นเจ็ดแล้ว
เขาคืออันดับสองในบรรดาสิบองครักษ์ฟ้า เหล่ยเฮา เมื่อเผชิญหน้ากับเขา ทั้งจ้าวเฟิงและลู่เซียวเหลียนต่างรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากอีกฝ่าย
“เหล่ยเฮา เหตุใดเจ้าจึงหยุดการต่อสู้ของเรา?” ลู่เซียวเหลียนเอ่ยถาม
เหล่ยเฮาส่ายศีรษะ
“ผู้ดูแลได้สั่งให้สิบองครักษ์ฟ้าไปรวมตัวกันเพื่อปรึกษาบางอย่าง”
รวมตัวสิบองครักษ์ฟ้า?
ความสงสัยและตื่นตะลึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน กองพันองครักษ์ฟ้านั้นไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน พวกเขาต้องการพูดคุยกันใดกัน?
ไม่ช้า
จ้าวเฟิงได้ตามเหล่ยเฮาไปยังสิ่งก่อสร้างใจกลางลาน มันเป็นตึกเพียงหนึ่งเดียวบนลานนี้และในเวลาเดียวกัน มันเป็นที่อยู่ของผู้ดูแล เมื่อเข้าไปภายในก็พบว่ามีเด็กหนุ่มจำนวนหนึ่งรออยู่ ทั้งหมดล้วนเข้าสู่ขั้นหกแล้ว
ผู้คนที่ปรากฏตัวนั้นล้วนเป็นหนึ่งในสิบองครักษ์ฟ้า
“ไอ้เด็กเหลือขอนั่นใคร?” เด็กหนุ่มคนสองคนดูเหมือนจะไม่ยอมรับจ้าวเฟิง
“เขาเอาชนะลีชางเฟิงและกลายเป็นหนึ่งในสิบองครักษ์ฟ้า…” ลู่เซียวเหลียนเอ่ยสีหน้าไร้อารมณ์
เขาเอาชนะลีชางเฟิง? ไอ้เด็กเหลือขอนั่นก็เป็นหนึ่งในสิบองครักษ์ฟ้า?
เหล่าเด็กหนุ่มที่ปรากฏตัวล้วนเก็บความหยิ่งยโสของตนกลับไป
ไม่ช้า คนเก้าคนรวมทั้งจ้าวเฟิงก็ได้มาถึง โดยเหล่ยเฮามีพลังฝึกตนสูงที่สุด
“เหตุใดเฟิงฮันเยว่จึงไม่มา?” คนผู้หนึ่งเอ่ยถาม
“แม้ว่าเขาจะขี้เกียจ แต่เขาควรจะมา”
เฟิงฮันเยว่นั้นเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งสิบองครักษ์ฟ้า
เพียงแค่พวกเขากำลังตั้งคำถาม เด็กหนุ่มผู้งดงามพร้อมด้วยเส้นผมสีเงินก็เดินเข้ามาด้านใน
คราแรกนั้นจ้าวเฟิงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นสตรี แต่วินาทีที่อีกฝ่ายปลดปล่อยกลิ่นอายของเขาออกมา เด็กหนุ่มพลันรู้สึกว่าอากาศนั้นอึดอัดขึ้น
ทุกๆ การกระทำของเด็กหนุ่มผู้งดงามนั้นกระทำส่งกลิ่นอายทรงพลังออกมาราวกับว่าพลังภายในของเขาสามารถล้นทะลักออกมาได้เพียงแค่คิด
เฮือก!
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเย็นเยียบ
เฟิงฮันเยว่ผู้นี้เข้าสู่ขั้นเจ็ดแล้ว!
ขั้นเจ็ด!
คนอื่นๆ อีก 9 คน ไม่กล้าที่จะมองเข้าไปในตาของอีกฝ่าย
“แข็งแกร่งยิ่ง! เขาไม่แม้แต่จะอายุสิบหกทว่ากลายเป็นจอมยุทธ์ไปแล้ว”
จ้าวเฟิงไม่อาจอธิบายถึงความตกใจของเขาได้ จากประสบการณ์ของเขาในเมืองประกายอรุณนั้น ผู้ฝึกตนส่วนมากไม่อาจทะลวงเข้าสู่ขั้นเจ็ดได้และต้องอยู่กับพลังฝึกตนขั้นหกไปชั่วชีวิต
ตัวอย่างเช่น แม้ผู้ที่ถูกเรียกว่าสิบองครักษ์ส่วนมากจะอยู่ที่ขั้นหก พวกเขาก็อาจจะอยู่เช่นนี้ไปนับสิบปีหรือตลอดไป
สามารถเห็นได้ถึงความยากลำบากในการเป็นจอมยุทธ์ ทว่าบางคนในกองพันองครักษ์ฟ้ากลับกลายเป็นจอมยุทธ์ทั้งที่อายุเพียงสิบหกปี!
เมื่อเฟิงฮันเยว่มาถึง เขาก็กวาดตามองทุกคนอย่างสบายๆ และจ้องตรงไปยังหน้าใหม่นานกว่าหน่อย แต่ไม่ได้กระทำสิ่งใด
ในสายตาของเขา กระทั่งอัจฉริยะเช่นเหล่ยเฮาและลู่เซียวเหลียนไม่อาจนับเป็นอันใดได้