บทที่ 683 การประลองศาสตร์อัสนี (1)
บนอากาศเหนือยอดเขาจิตวิญญาณหลัก
จักรพรรดิปราณเทวะจำนวนไม่น้อยมองหน้ากันจากระยะไกลๆ แล้วในที่ดังกล่าวก็ตกอยู่ในภวังค์ไปครู่หนึ่ง
ห้วงคิดเซียนที่รวมตัวอยู่ในที่นั้นสื่อสารกันอย่างลับๆ
“จักรพรรดิวายุอัสนีได้ขโมยแก่นวิชาศาสตร์อัสนีของ ‘สำนักหมื่นอัสนี’ ไปในยามก่อน แล้วนับตั้งแต่นั้นก็สร้างศาสตร์วายุอัสนีของตนเองขึ้นมา…”
จ้าวเฟิงเพิ่งจะได้รู้ความจริงก็ในตอนนี้
จักรพรรดิวายุอัสนีเมื่อหมื่นปีก่อนประพฤติตนต่ำช้า มีพฤติกรรมเลวทราม แถมยังชอบขโมยของเสียด้วย
ห้วงความคิดเซียนทั้งหลายในที่แห่งนั้นไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้
ขนาดเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงก็ยังไม่คัดค้านแต่อย่างใด
นี่คือเรื่องจริง
มิน่าเล่าสำนักหมื่นอัสนีถึงกล้ามาถามหาความผิด
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ เมื่ออยู่ในสถานการณ์สงบ เหตุผลยังสำคัญเป็นที่หนึ่ง
อีกอย่างพวกจักรพรรดิอัสนีทมิฬทั้งสามคนยังมีสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
และที่บังเอิญยิ่งไปกว่านั้นคือ ตวนมู่ชิงเป็นจักรพรรดิที่กำลังจะออกจากสำนัก การสนับสนุนที่สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินมีต่อเขาย่อมไม่เหมือนเมื่อก่อน
“เป็นแผนการที่วางมาอย่างยาวนานและตั้งใจอย่างยิ่ง” จ้าวเฟิงเคร่งขรึม
แต่ว่าก็มีข้อสงสัยใหม่มาอีกแล้ว
ทำเช่นนี้มีประโยชน์อะไรต่อสำนักหมื่นอัสนี?
“พูดมาสิ ตกลงพวกเจ้ามีเป้าหมายอะไรกันแน่ หรือว่าพวกเจ้ากล้าแตะต้องศิษย์สำนักศักดิ์สิทธิ์ของข้า เป็นศัตรูกับข้าตวนมู่ชิง” ตวนมู่ชิงพูดด้วยเสียงเย็นเฉียบ
พลังยิ่งใหญ่ในขั้นจักรพรรดิบนร่างเขาทะลวงผ่านฟ้าดิน ต่อเนื่องกันไม่มีสิ้นสุด ลึกล้ำจนไม่อาจคาดคะเน
“แน่นอนว่าพวกข้าไม่คิดจะเป็นศัตรูกับท่านจักรพรรดิตวนมู่อยู่แล้ว” หญิงสาวงามเฉิดฉายยิ้มเยาะ
แววตาของจ้าวเฟิงเป็นประกายสว่างวาบ
เห็นได้ชัดว่าที่สำนักหมื่นอัสนีมาถามหาความผิดครั้งนี้มีเป้าหมายอื่นจริงๆ
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม จ้าวเฟิงเองก็เป็นลูกศิษย์สืบทอดของสำนักสามดาว เบื้องหลังยังมีผู้อาวุโสระดับจักรพรรดิ
ต่อให้เป็นสำนักหมื่นอัสนีก็ไม่ยอมผิดใจกับจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะเป็นแน่
“ขอเพียงจ้าวเฟิงส่งศีรษะอำนาจเทวะและมรดกวายุอัสนีมา พวกเราก็จะปล่อยเรื่องนี้ไป นี่น่าจะพอให้อภัยได้แล้วกระมัง?” ผู้เฒ่าหน้าดำเปิดปากเอ่ยเรียบๆ
ยอดฝีมือส่วนหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินพลันกระจ่างแจ้ง
พูดมาตั้งนาน จุดหมายที่แท้จริงของสำนักหมื่นอัสนีก็คือศีรษะครึ่งเซียนนี่เอง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
จ้าวเฟิงเข้าใจชัดเจน มูลค่าของศีรษะครึ่งเซียนต่อสำนักวิชาอัสนีอันดับหนึ่งไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดใดมาบรรยายเลย
อีกทั้ง ‘มรดกวายุอัสนี’ นั่นยังสามารถทำให้เป็นจักรพรรดิผู้มีความเร็วเป็นอันดับหนึ่ง การโจมตีและความเร็วอยู่ในขั้นสุดยอด
ของทั้งสองสิ่งมีแรงดึงดูดใจต่อสำนักหมื่นอัสนีอย่างยิ่ง
“เงื่อนไขนี้เป็นวิธีการแก้ปัญหาโดยสงบ มิเช่นนั้นแล้วสำนักหมื่นอัสนีของข้าก็คงจะเป็นศัตรูกับสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินไปแล้ว”
จักรพรรดิอัสนีทมิฬเอ่ยเสียงเย็น
เหล่าจักรพรรดิและราชันของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินหน้าเปลี่ยนสี
“สำนักหมื่นอัสนีกลับใช้สิ่งนี้มาคุกคามได้…” จักรพรรดิกู่หลัวและจักรพรรดิหมีคงมองสบตากัน หัวใจหนักอึ้ง
ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ สำนักหมื่นอัสนีเป็นสำนักสองดาวที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งเป็นรองก็แต่สำนักสามดาวเท่านั้น
สำนักแห่งนี้มีความหวังที่จะเลื่อนเป็นสำนักสามดาวมากที่สุด
แต่ว่าที่ผ่านมา สำนักหมื่นอัสนีรักษาความเป็นกลางมาเสมอ อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของพันธมิตรสำนักสองดาวส่วนหนึ่ง
หากว่าสำนักหมื่นอัสนีเอนเอียงไปทางสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดาย ย่อมไม่เป็นผลดีต่อสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินอย่างถึงที่สุด
ยามนั้น
คนระดับสูงของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจินเกิดคลื่นความตกใจ
“ไร้สาระ!”
เสียงหัวเราะเย็นเยียบดังขึ้นแทรกกลางระหว่างจักรพรรดิหลายคน
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ร่างเรือนผมสีม่วงปรากฏขึ้นด้านล่างของจักรพรรดิตวนมู่และคนอื่น
“จ้าวเฟิงออกมาแล้ว!” แววตาและห้วงคิดเซียนของฝูงชนจับจ้องไปยังร่างของบุรุษหนุ่มที่เย็นชาไม่สะทกสะท้าน
“ผู้เยาว์ เจ้ายังจะเถียงข้างๆ คูๆ อีกรึ”
จักรพรรดิอัสนีทมิฬพูดเสียงเย็นเยียบ พลังรุนแรงมหาศาลของศาสตร์อัสนีสาดซัดออกมาจนทำให้อากาศสั่นไหว
จ้าวเฟิงเข้าใจดีว่าพลังของตนเองแทบไม่มีแรงต่อต้านอะไรเมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจของขั้นจักรพรรดิ
จักรพรรดิยืนอยู่ในจุดสูงสุด ถือได้ว่าเป็นระดับสุดยอดในช่วงบริบูรณ์ของขอบเขตปราณเทวะ
หากไม่เช่นนั้นแล้ว ขอบเขตปราณเทวะก็คงจะไม่มีการแบ่งแยกระหว่างจักรพรรดิและราชัน
“อันดับแรก จักรพรรดิวายุอัสนีตายไปแล้ว ความแค้นที่เขามีกับสำนักหมื่นอัสนีในคราก่อนน่าจะแตกกระสานซ่านเซ็นไปเช่นกัน อีกทั้งข้าและเขาก็ไม่ได้เป็นมิตรหรือศัตรูอะไรทั้งนั้น”
จ้าวเฟิงทำท่าทีราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนอีกต่อไป
หากจ้าวเฟิงและจักรพรรดิวายุอัสนีมีความสัมพันธ์เป็นอาจารย์และลูกศิษย์ หรือว่าพ่อกับลูก เช่นนั้นก็คงไม่เหมือนกันแล้ว
แต่จ้าวเฟิงเป็นแค่ลูกศิษย์ของตวนมู่ชิง
“เถียงข้างๆ คูๆ!”
จักรพรรดิหน้าดำผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “ ‘มรดกวายุอัสนี’ ที่เจ้าฝึกฝนมีที่มาจากสำนักหมื่นอัสนีของข้า สำนักข้ามีสิทธิ์ที่จะยึดคืนได้”
“ผิดแล้ว” จ้าวเฟิงเอ่ยปฏิเสธ
ผู้คนในที่แห่งนี้ล้วนแต่ตกตะลึง
“ ‘มรดกวายุอัสนี’ ของจักรพรรดิวายุอัสนี ไม่ได้เป็นศาสตร์อัสนีที่บริสุทธิ์อีกต่อไป มรดกนี้เกินเลยศาสตร์ของสำนักหมื่นอัสนีไปแล้ว!” จ้าวเฟิงเอ่ยโดยไม่รู้ร้อนรู้หนาว
เกินเลยศาสตร์ของสำนักหมื่นอัสนีไปแล้ว!
ดวงตาของพวกจักรพรรดิตวนมู่ทั้งสามเป็นประกาย
ถูกต้องแล้ว
จุดนี้เป็นจุดที่สำคัญอย่างยิ่ง!
ในโลกนี้เคล็ดวิชาลับแต่ละประเภทจะมีส่วนเหมือนกันอยู่บ้าง
ถ้าหากมรดกวายุอัสนีเกินศาสตร์ของสำนักหมื่นอัสนีไปแล้ว เช่นนั้นก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องกันมากนัก
“แน่นอน มรดกวายุอัสนีไม่ใช่ศาสตร์อัสนีที่บริสุทธิ์อีกต่อไป”
“จักรพรรดิวายุอัสนีในอดีต ถึงแม้จะประพฤติตนแย่ แต่ก็ถือว่าสามารถสร้างสำนักเล็กๆ ขึ้นมาใหม่ได้”
ห้วงคิดเซียนสนทนากันกลางอากาศ
“เหอะ!” จ้าวเฟิงมีสีหน้าเยาะเย้ย “จักรพรรดิวายุอัสนีเป็นเหมือนลูกศิษย์ที่อยู่เหนืออาจารย์ของตนเอง หลอมรวมศาสตร์วายุและอัสนีทั้งสอง สรรสร้างวิชาแขนงใหม่ แล้วกลายมาเป็นจักรพรรดิที่มีความเร็วเป็นอันดับหนึ่ง!”
เป็นลูกศิษย์ที่เหนือกว่าอาจารย์!
จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ผู้เยาว์คนนี้…”
จักรพรรดิทั้งสามคนกลางอากาศโกรธจนตัวสั่นเทิ้ม ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
แต่ว่านี่ก็เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้
นึกถึงเมื่อคราวก่อน สำนักหมื่นอัสนีส่งยอดฝีมือจำนวนมากไป แต่ไม่อาจทำอะไรจักรพรรดิวายุอัสนีได้
จนกระทั่งจักรพรรดิวายุอัสนีเลื่อนขั้นเป็นจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะ สำนักหมื่นอัสนีก็พ่ายแพ้ย่อยยับ ทำได้เพียงถอนกำลังกลับไปด้วยความเคียดแค้น
เรื่องราวในตอนนั้นเป็นความอัปยศของสำนักหมื่นอัสนี!
“สำนักหมื่นอัสนีของพวกเจ้าอยากให้เรื่องบรรลุตามใจปรารถนา หาข้ออ้างดีๆ มาบังหน้าเพื่อจะขโมยผลความสำเร็จของคนอื่นอย่างมรดกวายุอัสนีและศีรษะอำนาจเทวะ”
จ้าวเฟิงพูดดังๆ ออกมาทีละคำ เพิ่มความหนักแน่นในน้ำเสียงขึ้นเรื่อยๆ
พูดถึงตอนสุดท้าย จักรพรรดิของสำนักหมื่นอัสนีทั้งสามคนก็มีสีหน้าเหลือจะรับ
“ฮ่าฮ่าฮ่า…พูดได้ดี!”
“สำนักหมื่นอัสนี ที่แท้ก็ใช้วิธีสกปรก หวังจะขโมยผลสำเร็จของคนอื่น”
จักรพรรดิตวนมู่รวมไปถึงจักรพรรดิและราชันจำนวนมากของสำนักศักดิ์สิทธิ์ต่างพากันหัวเราะลั่น
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาเมื่อไหร่ กระโดดโลดเต้นโบกธงสีขาวแล้วกู่ร้องตะโกน
“ผู้เยาว์! เจ้าว่าร้ายใส่ความ!”
จักรพรรดิทั้งสามเสียงสั่น รู้สึกอับอายอย่างยิ่งท่ามกลางสายตาห้วงคิดเซียนของยอดฝีมือจำนวนมาก
พวกเขาอยากจะปลดปล่อยความโกรธเกรี้ยวออกมา
แต่ว่าราชันและจักรพรรดิทั้งหลายของสำนักเสวียนเจิน เพียงแค่พวกของตวนมู่ชิงก็ทำให้พวกเขาสงบนิ่งลงได้แล้ว
ที่นี่คือสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน และเป็นถิ่นของสำนักใหญ่สามดาว
ต่อให้พวกเขามีความกล้านับหมื่นก็ไม่กล้าจะลงมืออย่างผลีผลาม
“ท่านทั้งสามควรรีบออกไปจากที่นี่ อย่าได้ขายหน้าคนเขาอีกเลย”
ตวนมู่ชิงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าจะฝั่งไหนก็ย่อมมีเหตุผลทั้งนั้น
แต่กลับปรากฏข้อโต้แย้ง!
คนทั้งสองฟากต่างมีข้ออ้างของตัวเอง
ทว่าจักรพรรดิทั้งสามของสำนักหมื่นอัสนีวางกลอุบายมาตั้งนาน จะให้ยอมแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร?
จักรพรรดิอัสนีทมิฬและพวกมีสีหน้าอับอายดูไม่ได้ แต่กลับลอบปรึกษาหารือกันอย่างลับๆ
“ถึงแม้ว่าข้าจะต่อกรกับตวนมู่ชิงได้ แต่เขาว่าคือจักรพรรดิในแขนงพฤกษา สามารถควบคุมอัสนีของพวกเราได้” จักรพรรดิอัสนีทมิฬเอ่ยพึมพำ
“ไม่สู้ทำเช่นนี้…”
คนทั้งสามถกเถียงกันแล้วจึงได้แผนการออกมาอย่างรวดเร็ว
ไม่กี่ลมหายใจถัดมา
“ผู้เยาว์! เจ้าเพิ่งจะพูดว่าจักรพรรดิวายุอัสนีเป็นศิษย์ผู้อยู่เหนืออาจารย์ มรดกของเขาก็เหนือกว่าวิชาของสำนักหมื่นอัสนี” หญิงสาวงามเฉิดฉายกล่าว
“ไม่ผิด” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างไม่ลังเล
นี่เป็นหัวใจสำคัญของเหตุผลที่เขาใช้โต้กลับ
“เช่นนั้นแล้ว ก็ให้พวกข้าได้เห็นสักหน่อยว่ามรดกวายุอัสนีของเจ้าจะอยู่เหนือกว่ามรดกของสำนักหมื่นอัสนีจริงหรือไม่”
หญิงสาวผู้งดงามมุมปากยิ้มเยาะ
“ช้าก่อน! เขาเป็นเพียงผู้เยาว์คนหนึ่ง! พวกเจ้าอยากจะประลองฝีมือก็ให้ข้าเป็นเพื่อนเล่นแล้วกัน” ตวนมู่ชิงกล่าว
จักรพรรดิทั้งสามสั่นศีรษะ พวกเขาย่อมไม่ต่อสู้กับตวนมู่ชิง
ตวนมู่ชิงนั้นเป็นยอดฝีมือชั้นสูงในบรรดาจักรพรรดิ อีกทั้งเขาเป็นจักรพรรดิที่ลึกซึ้งในศาสตร์พฤกษา ซึ่งควบคุมศาสตร์อัสนีได้พอดี
จักรพรรดิทั้งสามไม่กล้าต่อกรกับตวนมู่ชิงอย่างแน่นอน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะให้อัจฉริยะอันดับหนึ่งของสำนักเราทดสอบจ้าวเฟิงที่มี ‘มรดกวายุอัสนี’ ดูว่าที่เขาพูดมาทั้งหมดเป็นจริงหรือไม่?” จักรพรรดิอัสนีทมิฬค่อยๆ เปิดปากพูด
พวกเขาล้วนแต่เป็นจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะ จะมาประลองฝีมือกับเด็กหนุ่มที่อายุยี่สิบกว่าปีก็ออกจะเกินไปหน่อย
“อืม นี่ถือว่าเป็นวิธีการที่ไม่เลวเหมือนกัน”
“ในเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างก็มีข้อโต้แย้ง เช่นนั้นก็ให้อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของทั้งสองสำนักสู้กันเพื่อตัดสินแพ้ชนะ”
ห้วงคิดเซียนในที่แห่งนั้นพากันคล้อยตาม
เจ้าของห้วงคิดเซียนพวกนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นจักรพรรดิและราชันของสำนักต่างๆ ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ในเวลานี้ใครจะปฏิเสธละครสนุกๆ ได้
“จ้าวเฟิง เจ้าว่าอย่างไร?” จักรพรรดิตวนมู่เอ่ยถาม
“ย่อมได้” จ้าวเฟิงพยักหน้า
เมื่อเห็นจ้าวเฟิงผงกศีรษะ มุมปากของพวกจักรพรรดิอัสนีทมิฬปรากฏรอยยิ้ม
เวลาไม่นานนัก
ชายเท้าเปล่าร่างกายกำยำสูงใหญ่ ใบหน้ามอมแมมผมเผ้ายุ่งเหยิง ด้านหลังแบกกระบี่เล่มใหญ่ ก็มาถึงยังสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน
“เหลยเจิ้น” จ้าวเฟิงมองไปที่ชายผู้นั้น ไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด
เหลยเจิ้นผู้นี้ฝึกฝน ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ มีคุณสมบัติกายจิตวิญญาณอัสนี เชี่ยวชาญวิชาศาสตร์อัสนีมากมายในฟ้าดิน
“พลังของเจ้านี่ก็แข็งแกร่งมากขึ้นแล้ว”
สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน ลูกศิษย์สืบทอดส่วนหนึ่งทอดมองไปที่เหลยเจิ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว
ตอนอยู่ที่อุทยานครึ่งเซียน เหลยเจิ้นยอมแพ้ต่อการแย่งชิงเลือดครึ่งเซียน แต่ก็ยังเก็บเกี่ยวไปได้ไม่น้อย
“จ้าวเฟิง การประลองฝีมือในครั้งนี้เจ้าใช้ได้เฉพาะมรดกวายุอัสนี หากชนะด้วยวิธีอื่นก็จะไม่นับ”
หญิงสาวงามเฉิดฉายกล่าวยิ้มๆ
“นี่มันไม่ยุติธรรม!” ตวนมู่ชิงเปลี่ยนสีหน้า
ตามที่นางพูดมา จ้าวเฟิงจะไม่สามารถเอาชนะด้วยจุดเด่นของสายเลือดดวงตาและระดับชั้นวิญญาณ
‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ และคุณสมบัติกายจิตวิญญาณอัสนีของเหล่ยเจิ้น ทั้งควบคุมศาสตร์อัสนี ดูดซับพลังสายฟ้า หากอาศัยแค่มรดกวายุอัสนีจะต่อสู้อย่างไร?
“เจ้าจะพิสูจน์ว่ามรดกวายุอัสนีเป็นดั่งศิษย์ที่เหนือกว่าอาจารย์และอยู่เหนือมรดกสำนักหมื่นอัสนี เช่นนั้นก็จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
จักรพรรดิอัสนีทมิฬพูดพร้อมยิ้มเย็น
ทันทีที่เอ่ยออกมา ทุกคนก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก
ข้อพิพาทของทั้งสองฝ่ายขึ้นอยู่กับว่ามรดกวายุอัสนีจะเหนือกว่าสำนักหมื่นอัสนีหรือไม่
ถ้าหากจ้าวเฟิงใช้วิธีอื่นชนะก็จะไม่นับ
“เหอะ เหอะ อีกทั้งเจ้าจะต้องชนะเหล่ยเจิ้น ถึงเสมอก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามรดกวายุอัสนี ‘เหนือ’ กว่ามรดกของสำนักหมื่นอัสนี”
จักรพรรดิหน้าดำยิ้มเจ้าเล่ห์ เอ่ยคำว่า ‘เหนือกว่า’ อย่างหนักแน่น
ห้วงคิดเซียนของคนจำนวนมากตื่นตะลึง
คนของสำนักหมื่นอัสนีผู้นี้ก็ไร้ยางอายเกินไปแล้วกระมัง
มรดกวายุอัสนีมีจุดเด่นที่สุดคือความเร็ว ต่อให้เป็นจ้าวเฟิงก็ทำอะไรกายจิตวิญญาณอัสนีของเหลยเจิ้นไม่ได้ แต่หากนับตามความเร็วก็ยังพอมีโอกาสจะเสมอได้
ทว่านี่ไม่น่าใช่เรื่องกะทันหัน
สำนักหมื่นอัสนีได้คาดการณ์ล่วงหน้าไว้นานแล้ว
“ความต้องการของพวกข้าก็สมเหตุสมผลดี ถ้าไม่เป็นเช่นนี้จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่ามรดกวายุอัสนีเหนือกว่าวิชาของสำนักหมื่นอัสนี” จักรพรรดิทั้งสามมีสีหน้าลำพองใจ
จ้าวเฟิงเองก็ไร้คำพูด จักรพรรดิสามคนนี้มีเล่ห์เหลี่ยมไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
แต่ทว่า คำพูดที่เขาเพิ่งเอ่ยไปก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
“จ้าวเฟิง ถ้าหากเจ้าแพ้หรือเสมอจะต้องมอบศีรษะอำนาจเทวะและมรดกวายุอัสนีให้พวกข้า”
จักรพรรดิอัสนีทมิฬเอ่ยเสียงเรียบ
“เหอะเหอะ ถ้าเช่นนั้น ‘หาก’ ข้าชนะล่ะ?” จ้าวเฟิงยิ้มขบขัน
เขาพูดคำว่า ‘หาก’ ออกมาอย่างหนักแน่น
จักรพรรดิทั้งสามชะงักไป พวกเขาก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าบีบจ้าวเฟิงมาจนถึงขั้นนี้แล้ว ฝั่งตรงข้ามยังมีความเป็นไปได้ที่จะชนะ
“เอาแบบนี้แล้วกัน ถ้าหากข้าเอาชนะได้ พวกท่านจะต้องมอบ ‘วิชาหมื่นอัสนีห้าสาย’ มาให้ข้า”