บทที่ 732 ตำหนักเซียนพิณสวรรค์ (2)
“นายท่าน พวกเราเข้าไปภายใน ‘กลุ่มดินแดนเฉียนเซิ่ง’ แล้ว ใช้เวลาอีกไม่นานก็จะถึง ‘ตำหนักเซียนพิณสวรรค์’ แล้ว” เจ้าหอโครงกระดูกที่ควบคุมเรือหุ่นเชิดศพกล่าวรายงาน
ในใจของเขาเกิดความสงสัย จ้าวเฟิงมายังตำหนักเซียนพิณสวรรค์ ที่สุดแล้วมีเป้าหมายอะไรกันแน่?
จ้าวเฟิงเก็บเรื่องราวที่เกี่ยวข้องเหล่านี้เป็นความลับมาโดยตลอด
เขากวาดมือข้างหนึ่งเบาๆ ม่านสว่างสีฟ้าเย็นเยียบปรากฏขึ้นเบื้องหน้า ก่อนจะแสดงแผนที่ของกลุ่มดินแดน
ดินแดนหมู่เกาะเฉียนเซิ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่ มีดินแดนเกาะจำนวนมหาศาล ขนาดเป็นสองเท่าของกลุ่มดินแดนกู่ชิงและกลุ่มดินแดนเทียนหลู ที่นี่มีสำนักต่างๆ มากมาย หนำซ้ำยังมีมรดกประเภทศาสตร์ดนตรีอีกเยอะด้วย
“ตามข้อมูลของหมื่นปีก่อน เพียงแค่สำนักระดับสองดาวก็มีถึงห้าหกแห่ง ในนั้นมี ‘ตำหนักเซียนพิณสวรรค์’ เป็นสำนักสองดาวระดับสุดยอดแห่งศาสตร์ดนตรี”
จ้าวเฟิงดวงตาเป็นประกาย ในใจครุ่นคิดพิจารณา
สำนักสองดาวระดับสุดยอด ซ้ำยังเป็นสำนักดนตรีขนาดใหญ่อีก นี่ไม่ใช่ธรรมดาเลยจริงๆ
พูดได้ว่า ที่นี่คือแหล่งกำเนิดมรดกศาสตร์ดนตรีที่ใหญ่ที่สุดภายในดินแดนชางไห่ เมื่อหมื่นปีก่อน ตำหนักเซียนพิณสวรรค์แห่งนั้นเป็นสำนักอันดับหนึ่งของศาสตร์ดนตรี
ตามข้อมูลของแผนที่ ตำหนักเซียนพิณสวรรค์ตั้งอยู่ใน ‘ดินแดนพิณสวรรค์’ ตรงใจกลางกลุ่มดินแดน ซึ่งเป็นดินแดนเกาะที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด
แน่นอนว่าข้อมูลทั้งหมดที่จ้าวเฟิงรับรู้มาเป็นเรื่องราวเมื่อหมื่นปีก่อนจากคำบอกเล่าของเซียนจื่อเย่
ในวันนี้ สถานการณ์ที่แน่ชัดของตำหนักเซียนพิณสวรรค์ ตำแหน่งที่ตั้งยังอยู่ที่ ‘ดินแดนพิณสวรรค์’ หรือไม่ล้วนแต่ยังไม่อาจยืนยันได้
หลายวันผ่านไป
เบื้องหน้าปรากฏดินแดนเกาะที่ไอสวรรค์หนาแน่น ห้อมล้อมด้วยชั้นแสงระยิบระยับสีน้ำเงิน แดง และม่วง
เมื่อมองลงมาจากนอกดินแดน ดินแดนเกาะมีรูปร่างคล้ายกับพิณโบราณคันหนึ่ง ลำธารภูผาอันวิจิตรตระการที่อยู่ด้านในมองเห็นได้ไม่ชัดนัก
กลิ่นอายที่เกาะแห่งนี้นำมาให้จ้าวเฟิงช่างสงบเงียบอย่างยิ่ง ในประสาทสัมผัสราวกับได้ยินเสียงวิหคขับขาน บุปผาผลิบาน กลิ่นอายของน้ำหมึก และเสียงเสนาะของพิณ
ไม่เหมือนกับเกาะบางแห่งที่เต็มไปด้วยจิตสังหารและกลิ่นอายสับสนยุ่งเหยิง อย่างเช่นทวีปบุปผาคราม
“ไม่ผิดหรอก น่าจะเป็นที่นี่แหละ” จ้าวเฟิงพยักหน้าน้อยๆ
กลิ่นอายเช่นนี้น่าจะมาจากแหล่งกำเนิดศาสตร์ดนตรีที่แตกต่างจากสำนักธรรมดาทั่วไปโดยสิ้นเชิง
ฟิ้ว!
เรือหุ่นเชิดศพแล่นตรงไปยังมิติของขอบเขตภายใน ลากระลอกคลื่นอัสนีสีมืดออกเป็นทางยาว
ในตอนที่ผ่านขอบเขตด้านนอก ผิวของเรือทะเลปรากฏประกายไฟงดงามสว่างเจิดจ้า
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มดินแดนใด พื้นผิวของมันล้วนมีชั้นพลังที่ไร้รูปร่างอยู่
ผู้ฝึกตนชั้นล่างของภายในดินแดนเกาะ หากคิดจะบุกออกไปนอกดินแดนก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะอย่างน้อยที่สุดต้องอยู่ในขั้นนายเหนือแท้
ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่สามารถเดินทางไปมาในทะเลความความว่างเปล่านอกดินแดนจึงเป็นยอดฝีมือของพื้นที่ต่างๆ ที่พบเห็นบ่อยๆ เห็นจะเป็นขั้นขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงขึ้นไป และขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็ค่อนข้างพบเจอได้บ่อย
หลังจากเข้าไปภายในเขตมิติแล้ว
ความเร็วของเรือหุ่นเชิดศพจึงลดลง ด้วยเพราะปัจจัยจำพวกแรงกดดันในฟ้าดินหรือแรงต้านของอากาศ ซึ่งแตกต่างจากนอกดินแดนโดยสิ้นเชิง
อาณาเขตของดินแดนพิณสวรรค์มีขนาดเป็นสองสามเท่าของทวีปบุปผาคราม
จ้าวเฟิงไม่มีแผนที่ของขอบเขตภายในดินแดนเกาะ จึงยังต้องเสาะหาตำแหน่งของ ‘ตำหนักเซียนพิณสวรรค์’ อยู่
อีกอย่าง คนส่วนมากไม่มีทางล่วงรู้ตำแหน่งที่ตั้งของตำหนักเซียนพิณสวรรค์
นี่เหมือนกันกับตอนที่จ้าวเฟิงอยู่ในหมู่บ้านสกุลจ้าว เขาไม่รู้จักโลกของสำนักต่างๆ แม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่าต่อมาเขาจะเข้าร่วมสำนักจันทร์สลาย แต่ก็ยังไม่ล่วงรู้ตำแหน่งที่ตั้งแน่ชัดของสิบยอดสำนักเลย
นี่คือขีดจำกัดที่มาพร้อมกับระดับขั้น
“คงต้องหาผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงมาลองถามดู น่าจะดีที่สุด”
จ้าวเฟิงตัดสินใจ
เขาส่งห้วงคิดเซียนลอยล่องไปยังทิศทางที่มีกลิ่นอายของยอดฝีมืออยู่มาก
ภายในขอบเขตของดินแดน ไม่ว่าจะจ้าวเฟิงหรือว่าเรือหุ่นเชิดศพล้วนแต่ไม่อาจว่องไวได้เทียบเท่ากับยามที่อยู่ในดินแดนทะเลความว่างเปล่าด้านนอก
ครึ่งวันผ่านไป ผ่านแม่น้ำภูเขาและป่าไม้หลายแห่ง ระลอกคลื่นไอสวรรค์ทางด้านหน้าค่อยๆ รุนแรงขึ้นทีละน้อย
“เอ๊ะ!” ห้วงคิดเซียนของจ้าวเฟิงร่อนลงบนเกาะกลางทะเลสาบที่มีทิวทัศน์สวยงามแห่งหนึ่ง
เกาะกลางทะเลสาบแห่งนั้นมีกลิ่นอายของมนุษย์อยู่ไม่น้อย มีหลายคนที่บรรลุขั้นขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ถึงขนาดขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็ยังมีเช่นกัน
อีกทั้งจ้าวเฟิงยังมองเห็นผู้ฝึกตนในสำนักศาสตร์ดนตรีอยู่เป็นจำนวนมาก
เจอจุดที่เหมาะสมแล้ว!
จ้าวเฟิงมีสีหน้าดีอกดีใจ แล้วจึงบินไปยังทิศทางดังกล่าว
เรือหุ่นเชิดศพค่อนข้างตกเป็นเป้าสายตาของกลุ่มคน จ้าวเฟิงจึงให้เจ้าหอโครงกระดูกกลับเข้าไปในประคำหมื่นวิญญาณ และเก็บเรือไป
ฟิ้ว!
จ้าวเฟิงแปลงเป็นลำแสงวายุอัสนีสายหนึ่งพุ่งไปทางเกาะกลางทะเลสาบ
กลิ่นอายของราชันปราณเทวะมหาศาลอย่างยิ่ง พลังที่ยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าดิน จ้าวเฟิงจึงกดพลังฝึกตนไว้ที่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
และถึงจะเป็นเช่นนั้น พลังของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเมื่ออยู่ภายในดินแดนก็คือยอดฝีมือที่เรียกว่าเป็นผู้สูงศักดิ์เลยทีเดียว
ในเวลาดังกล่าว
เกาะกลางทะเลสาบกำลังจัดงานชุมนุมครั้งใหญ่ขึ้น กลุ่มคนในมีคนหนุ่มสาวมากพรสวรรค์ ที่พลังฝึกตนอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงเป็นอย่างน้อยส่วนหนึ่ง
“สมกับที่เป็น ‘งานชุมนุมแห่งศาสตร์ดนตรี’ ที่สิบปีจะจัดครั้งหนึ่ง และรวบรวมเอาบรรดาอัจฉริยะแห่งศาสตร์ดนตรีรุ่นใหม่ในกลุ่มดินแดนไว้”
“การชุมนุมเช่นนี้ ถึงแม้พวกเราไม่มีคุณสมบัติมากพอจะเข้าร่วม แต่ยังดีที่มีโอกาสเข้าชมอันหาได้ยากยิ่ง”
ผู้คนที่อยู่รอบนอกเอ่ยเสียงแผ่วเบา
ใจกลางงานชุมนุมแห่งศาสตร์ดนตรีเป็นสนามทรงกลมกว้างใหญ่ บริเวณรอบสนามมีอัฒจันทร์ที่นั่งเป็นระดับชั้นมากมาย ซ้ำยังสูงไปจนถึงชั้นที่สิบแปด
บริเวณใจกลางของสนามทรงกลม มีแท่นยกสูงขนาดใหญ่โตราวกับกระดานหมากรุกสองอัน
แท่นทั้งสองแต่ละอันยาวสิบลี้ อยู่ห่างกันไปหลายลี้ และประจันหน้าเข้าหากัน
ในเวลาดังกล่าว บนแท่นทั้งสองแบ่งฝั่งเป็นหญิงชุดดำกับสตรีใบหน้าสะสวย
หญิงในชุดดำเป่าขลุ่ย แต่ละท่วงทำนองปรากฏคลื่นเสียงศาสตร์ดนตรีซัดกระหน่ำออกมาเป็นชุดๆ ประดุจเสียงอินทรีสยายปีก ก่อให้เกิดพายุหมุนที่รุนแรงมุ่งปะทะไปยังสตรีผู้อยู่ฝั่งตรงข้าม
สตรีอีกนางนั่งสงบนิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยื่นมือที่สง่างามกรีดกรายบนพิณเบาๆ ระลอกคลื่นหลากสีที่นุ่มนวลกลายเป็นพลังไร้รูปร่าง ต้านทานการโจมตีของศาสตร์ดนตรีจากคนชุดดำไว้
“งานชุมนุมแห่งศาสตร์ดนตรี!”
จ้าวเฟิงล่องลอยอยู่ระหว่างเมฆ มองดูงานชุมนุมแห่งศาสตร์ดนตรีที่อยู่ด้านล่าง
พลังฝึกตนโดยพื้นฐานของอัจฉริยะที่เข้าร่วมงานชุมนุมศาสตร์ดนตรีล้วนอยู่เหนือขั้นผู้วิเศษแท้ขึ้นไป ขั้นนายเหนือแท้ก็มี แต่ผู้ที่ทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิดมีน้อยนิดนัก
ดูจากท่าทางแล้ว อัจฉริยะเหล่านี้น่าจะมาจากสำนักหนึ่งดาวหรือสองดาว
คนทั้งสองต่อสู้กันพักหนึ่ง ผลสุดท้ายเป็นคนในชุดดำที่มีพลังหลงเหลือไม่มากพอ จึงถูกลำแสงหลากสีแต่ละเส้นสายจากท่วงทำนององอาจของสตรีนางนั้น กระแทกจนกระอักเลือด
“ดีมาก!”
“สมกับที่เป็นศิษย์ผู้สืบทอดโดยตรงของตำหนักหกพิณ!”
หลังจากที่ผลแพ้ชนะออกมาแล้ว อัฒจันทร์รอบด้านมีเสียงถกเถียงทั้งในแง่ดีและแง่ร้ายดังขึ้น
อย่างไรก็ตาม
แววตาของผู้คนมากมายกลับจับจ้องไปยังคนทั้งสามบนอัฒจันทร์ ซึ่งเป็นอัจฉริยะศาสตร์ดนตรีที่ฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
อัจฉริยะแห่งศาสตร์ดนตรีทั้งสามแบ่งเป็นบุรุษหนึ่ง สตรีสอง แต่ละคนนั่งอยู่ในศาลาโบราณ
“ตำหนักเร้นสำเนียง ตำหนักหกพิณ ตำหนักเซียนพิณสวรรค์ …ลูกศิษย์ชั้นยอดทั้งสาม”
หนึ่งบุรุษและสองอิสตรีซึ่งนั่งอยู่ในศาลาโบราณตกเป็นเป้าสายตาของฝูงชน
ชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานอ่อนโยน ดูเฉียบแหลมด้านศิลปวรรณกรรม ส่วนสตรีทั้งสองนางบุคลิกสง่างามราวกับสาวงามในรูปวาดบทกวีโบราณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โฉมสะคราญที่นั่งอยู่หน้าพิณโบราณในศาลาตรงกลาง หากได้ยลเพียงเสี้ยวหน้าก็ยังราวต้องมนตร์
สตรีนางนั้นสวมชุดคลุมสีขาวราวหิมะ เรือนผมดำขลับยาวระพื้น ท่วงท่าทั้งสง่างามละสูงส่ง ผิวพรรณของนางเนียนละเอียดราวหยก ทั้งดวงตาและวงคิ้วราวกับบรรจงวาด บริสุทธิ์สะอาด ให้ความรู้สึกดั่งเซียนในภาพวาดพู่กัน
ในบรรดาเหล่าอัจฉริยะศาสตร์ดนตรีในที่แห่งนั้น สตรีนางนี้อยู่เหนือคนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าที่สง่างามเกินใครหรือว่าไอแห่งการฝึกตน
บุรุษหนุ่มจำนวนมากไม่อาจจะซ่อนความลุ่มหลงและตื่นตาตื่นใจในแววตาได้
“ฉินซิน…”
จ้าวเฟิงที่อยู่เหนือเมฆถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเห็นเงาด้านข้างของสตรีนางนั้น
สตรีชุดสีขาวปลอดประดุจหญิงงามในภาพวาดบทกวี นางนั่งอยู่ด้านหน้าพิณโบราณ กลิ่นอายศาสตร์ดนตรีสงบเงียบทับซ้อนกับภาพอันงดงามที่คอยตามแสวงหาในความทรงจำ
“การต่อสู้เมื่อครู่ เยี่ยเอ๋อร์ได้ชัยชนะเพราะโชคช่วยเอาไว้ หวังว่า ‘เสวี่ยฉินเซียนจื่อ’ (เซียนพิณหิมะ) จะชี้แนะสักเล็กน้อย”
โฉมงามที่ได้ชัยชนะมาแย้มยิ้มเล็กน้อย ถึงแม้ว่าคำพูดของนางจะพินอบพิเทา แต่ระลอกในแววตากลับออกจะเช็นชาไม่น้อย
จ้าวเฟิงมองออกว่าโฉมงามที่ได้ชัยไปเมื่อครู่ ไม่ว่าจะพลังหรือว่ากลยุทธ์ล้วนแต่อยู่เหนือสตรีชุดดำที่เป่าขลุ่ยผู้นั้นอย่างยิ่ง หนำซ้ำพลังฝึกตนของนางยังอยู่ในขอบเขตนายเหนือแท้ระดับสุดยอด
“หลินเยี่ยเอ๋อร์ ‘หกพิณเก้าสำเนียง’ ของเจ้ามีท่วงทำนองที่เสนาะหูตราตรึงใจ แต่ว่าในด้านการใช้ ‘เสียงหลบ’ ยังขาดความชำนาญไปมาก…”
สตรีผู้เงียบสงบที่ถูกขนานนามว่า ‘เสวี่ยฉินเซียนจื่อ’ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เพียงแค่น้ำเสียงนั้นก็ให้ความรู้สึกราวภาพวาดสายธารไหลระเรื่อยผ่านสะพานเล็ก
“ขนาดเสียงพูดยังผสานท่วงทำนองศาสตร์แห่งดนตรีเข้าไปภายใน เชื่อมโยงกับความลึกลับในฟ้าดิน…”
โฉมงามนางนั้นซึ่งแต่เดิมออกจะดูท้าทายไม่น้อยพลันเปลี่ยนสีหน้าไป
แววตาของนางที่มอง ‘เสวี่ยนฉินเซียนจื่อ’ เปล่งประกายสดใส ราวกับเงาของแสงจันทร์กระจ่างในน้ำ มีพลังอย่างหนึ่งที่ทะลวงผ่านดวงวิญญาณ
ความรู้สึกราวตนเองต่ำต้อยอย่างยิ่งเกิดขึ้นในใจนางอย่างเสียไม่ได้
ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์สืบทอดอันดับสองของ ‘ตำหนักหกพิณ’ เดิมทีนางอยากจะหาเรื่องประลองกับเสวี่ยฉินเซียนจื่อหรือหลีเสวี่ยอี้เพื่อทดสอบพลัง
แต่จะล่วงรู้ได้อย่างไรว่าความสามารถในศาสตร์ดนตรีของเสวี่ยฉินเซียนจื่อจะราวกับธรรมชาติสรรสร้างมาแต่กำเนิด ไม่เพียงแต่เผยจุดอ่อนของนางด้วยคำพูดเพียงเล็กน้อย แต่ยังทำให้นางร่วงลงไปยังขอบเขตแปลกประหลาดของศาสตร์ดนตรีจนยากจะถอนตัว
“ที่แท้ความสามารถในศาสตร์ดนตรีของหลีเสวี่ยอี้ก็บรรลุจนถึงระดับขั้นนี้ ทุกรอยยิ้ม ทุกเสียงหัวเราะ ทุกช่วงลมหายใจเข้าออก ล้วนแต่สาดซัดพลังของศาสตร์ดนตรีอันน่าพิศวงออกมา”
อัจฉริยะชั้นยอดทั้งสองผู้อยู่ในศาลาโบราณต่างตกอกตกใจ
“หลีเสวี่ยอี้ผู้นี้ได้รับสมญานามว่าเป็นอัจฉริยะในรอบพันปีของ ‘ตำหนักเซียนพิณสวรรค์’ ”
“การปรากฏกายของนางนำพาโชคชะตาที่ดีหลายอย่างมาแก่ตำหนักพิณที่ตกต่ำมายาวนาน ทำให้นางกลายเป็นความหวังของทั้งสำนัก” เสียงวิจารณ์อื้ออึงดังขึ้นจากด้านล่าง
จากคำวิจารณ์ไม่กี่ประโยคของหลีเสวี่ยอี้ ทำให้ ‘งานชุมนุมแห่งศาสตร์ดนตรี’ ในครั้งนี้เกิดคลื่นความโกลาหลขึ้น ด้วยเพราะว่าก่อนหน้านี้ เรื่องราวเกี่ยวกับความสามารและพรสวรรค์ของหลีเสวี่ยอี้เป็นเพียงแค่คำบอกเล่าเท่านั้น
อัจฉริยะชั้นยอดแห่งศาสตร์ดนตรีทั้งอีกสองคนที่เหลือนิ่งชะงักไปนาน
“หลีเสวี่ยอี้งั้นรึ ? นางไม่ใช่ฉินซิน!”
ในชั้นเมฆด้านบน จ้าวเฟิงชมการต่อสู้ของงานชุมนุม
รูปแบบในงานชุมนุมแห่งศาสตร์ดนตรีมีลักษณะคล้ายกับงานรวมตัวของยอดอัจฉริยะหรืองานน้ำชาเซียนมังกร
นี่เป็นงานชุมนุมครั้งใหญ่ที่อัจฉริยะศาสตร์ดนตรีจะได้ประลองแลกเปลี่ยนฝีมือและพูดคุยกัน
สตรีผู้มีนามว่า ‘หลีเสวี่ยอี้’ เป็นลูกศิษย์อันดับหนึ่งแห่งตำหนักเซียนพิณสวรรค์ พลังฝึกตนและฝีมือพิณกดดันทั่วสถานที่ดังกล่าว
ตามเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน
การประลองแลกเปลี่ยนฝีมือและวิจารณ์แต่ละรอบต่างปฏิบัติตามกฎและระเบียบ
ส่วนหลีเสวี่ยอี้ขึ้นประลองครั้งถึงสองครั้ง สง่างามราวเทพเซียน มือนวลเนียนดีดพิณโบราณเพียงเบาๆ พลังของเสียงอันไพเราะก็ดังกึกก้องไปทั่วฟ้า
ขนาดบุรุษหนุ่มท่วงท่าสง่างามผู้เป็นหนึ่งในสามยอดอัจฉริยะศาสตร์ดนตรี เมื่ออยู่เบื้องหน้าของหลีเสวี่ยอี้ก็ยังไม่อาจจะต้านทานได้นานเกินสิบช่วงลมหายใจ
“ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง! พลังฝึกตนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต้นช่วงปลายเท่านั้น ดีดพิณเล่นดนตรี แต่กลับปล่อยพลังโจมตีของขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ออกมาได้” จ้าวเฟิงอดชื่นชมไม่ได้
เหตุที่เขายังอยู่ในที่ดังกล่าว นั่นเป็นเพราะว่าหลีเสวี่ยอี้มีบุคลิกท่าทีเหมือนกับหลิวฉินซิน
ขนาดเพียงเสี้ยวเงาและอากัปกิริยายังดูๆ ไปแล้วคล้ายคลึงกันหลายส่วนอย่างน่าประหลาด
“เป็นคนของตำหนักเซียนพิณสวรรค์ บุคลิกคล้ายคลึงกับฉินซินถึงสี่ห้าส่วน แต่ว่าไม่เห็นฉินซินเลย”
จ้าวเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ห้วงคิดเซียนของเขาเคยกวาดไปทั่วสนามแล้ว แต่ก็ไม่พบหลิวฉินซิน
นี่ทำให้ใจจ้าวเฟิงเย็นเฉียบ
วันนี้อีกเจ็ดปีให้หลัง
ถ้าหากว่าหลิวฉินซินอยู่ในตำหนักเซียนพิณสวรรค์ ด้วยพรสวรรค์ทางดนตรีของนาง ย่อมต้องมีคุณสมบัติเข้าร่วม ‘งานชุมนุมแห่งศาสตร์ดนตรี’ ในครั้งนี้อย่างแน่นอน ถึงกระทั่งสามารถเป็นหนึ่งในสามยอดอัจฉริยะแห่งศาสตร์การดนตรีด้วย
แต่ว่าห้วงคิดเซียนของจ้าวเฟิงแผ่ปกคลุมไปทั่วสนามก็ยังไม่พบกลิ่นอายของหลิวฉินซิน