Skip to content

King of Gods 733

King Of Gods

บทที่ 733 ตำหนักเซียนพิณสวรรค์ (3)

จ้าวเฟิงอยู่ชั้นเมฆบนท้องฟ้า มองดูการชุมนุมด้านล่างมาโดยตลอด

เขาไม่ได้ไปไหนเพราะว่าเจอเบาะแสบางอย่างที่นี่แล้ว

ม่านของงานชุมนุมแห่งศาสตร์ดนตรีค่อยๆ ปิดฉากลง

หลีเสวี่ยอี้เป็นตัวหลักสำคัญเพียงผู้เดียวที่สาดแสงส่องประกายในงานชุมนุม อีกทั้งความสามารถในการเล่นพิณยังอยู่เหนืออัจฉริยะแห่งศาสตร์ดนตรีหลายยุคสมัยของกลุ่มดินแดนเฉียนเซิ่ง

ณ กลุ่มดินแดนเฉียนเซิ่ง อีกสองคนที่เหลือในบรรดาอัจฉริยะแห่งศาสตร์ดนตรีทั้งสาม เมื่ออยู่เบื้องหน้าของหลีเสวี่ยอี้คงทนได้ไม่ถึงแม้กระทั่งสิบช่วงลมหายใจ

ขนาดเหล่าผู้อาวุโสในศาสตร์ดนตรีทั้งหลายยังอับอายที่ด้อยกว่านาง

“เก่งกาจกว่าที่เคยได้ยินมาเสียอีก หลีเสวี่ยอี้ผู้นี้ถูกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในรอบพันปีของ ‘ตำหนักเซียนพิณสวรรค์’ เกรงว่ายังมีบางส่วนที่เก็บซ่อนไว้อยู่”

“สตรีนางนี้ยังแบกรับหน้าที่ในการฟื้นฟูตำหนักเซียนพิณสวรรค์ให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นกว่าเดิม”

เหล่ายอดฝีมืออาวุโสของสำนักแห่งศาสตร์ดนตรีแสดงท่าทีกังวลเล็กน้อย

เมื่อหมื่นปีก่อน

ตำหนักเซียนพิณสวรรค์เป็นสำนักแห่งศาสตร์ดนตรีของสำนักสองดาวระดับสุดยอด และยังมีช่วงหนึ่งที่เคยเข้าร่วมในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง

แต่ทว่าระยะเวลาหลายพันปีต่อมา สำนักสองดาวที่มีตำนานแห่งนี้ก็ค่อยๆ ตกต่ำลง จึงสูญเสียตำแหน่งต้นๆ ในสำนักศาสตร์แห่งดนตรีไป

งานชุมนุมจบลงแล้ว คนของสำนักบางส่วนกำลังสลายตัวจากไป

แต่หลีเสวี่ยอี้ผู้อยู่ในที่ดังกล่าว รอยยิ้มและสีหน้ายังดึงดูดใจคนมากมาย บุรุษหนุ่มทั้งหลายประหนึ่งสูญสิ้นดวงวิญญาณไป

อัจฉริยะแห่งศาสตร์ดนตรีส่วนหนึ่งรวบรวมความกล้าตรงเข้าไปพูดคุยกับ ‘เสวี่ยนฉินเซียนจื่อ’

และในเวลานี้เอง

วูบ แซ่ด!

ลำแสงเจิดจ้าที่น่าสะพรึงขวัญของวายุอัสนีฟาดลงมาจากบนฟากฟ้า

“เป็นใครกัน!”

“เซียนจื่อ ระวัง!”

อัจฉริยะบางส่วนที่อยู่ใกล้กับหลีเสวี่ยอี้พากันร้องเสียงหลง

ผู้เป็นเจ้าของของลำแสงวายุอัสนีมีความเร็วที่น่ากลัว และกลิ่นอายก็ไปถึงขั้นยอดผู้สูงศักดิ์

โชคดีที่หลังจากยอดฝีมือนิรนามนามผู้นั้นร่อนลงมาบนพื้นก็ไม่ได้ลงมือแต่อย่างใด

“เจ้าหัวขโมยที่ไหนมันกล้าล่วงเกิน ‘เสวี่ยฉินเซียนจื่อ’!”

อัจฉริยะแห่งศาสตร์ดนตรีกลุ่มหนึ่งสงบสติอารมณ์ สีหน้าเตรียมพร้อมระวังภัย จ้องมองไปที่บุรุษหนุ่มผู้มีวายุอัสนีล้อมรอบกาย

บุรุษหนุ่มผู้นั้นยืนเอามือไพล่หลัง ท่าทางโดดเด่นไม่ธรรมดา กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างไปถึงขั้นยอดผู้สูงศักดิ์!

อัจฉริยะที่อยู่ใกล้เคียงเสวี่ยฉินเซียนจื่อล้วนแต่ไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม

ในหมู่อัจฉริยะที่อยู่ในสนามประลอง หลีเสวี่ยอี้ผู้มีพลังฝึกตนสูงสุดก็ยังเป็นเพียงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายเท่านั้น

“เจ้าเป็นใครกัน?”

หลีเสวี่ยอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีท่าทีตกใจแต่อย่างใด น้ำเสียงอ่อนหวานราวสรรพเสียงจากธรรมชาติยังลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ

นางมองสำรวจบุรุษหนุ่มผู้นี้อย่างตั้งอดตั้งใจ พรสวรรค์และพลังฝึกตนเหนือกว่าอัจฉริยะในที่ดังกล่าวทั้งหมด

นอกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง อัจฉริยะในระดับนี้เกรงว่าจะหาได้ยากยิ่งในกลุ่มดินแดนอื่นๆ

“ผู้น้อยคือจ้าวเฟิง อยากจะเชิญแม่นางหลี่ไปชมจันทร์ด้วยกันสักหน่อย”

บุรุษหนุ่มยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เอ่ยเสียงเรียบเหมือนพูดเรื่องธรรมดาทั่วไป

ชมจันทร์?

เหล่าอัจฉริยะแห่งศาสตร์ดนตรีมากมายในที่ดังกล่าวพากันตื่นตกใจและโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง

ชายที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าผู้นี้ช่างใจกล้าเสียจริงๆ เรียกร้องความสนใจของเสวี่ยฉินเซียนจื่อต่อหาคนหมู่มากอีกต่างหาก

“แล้วถ้าหากข้าไม่ยินยอมล่ะ?” ดวงตาของหลีเสวี่ยอี้สุกสกาว สงบนิ่งดั่งผิวน้ำทะเลสาบ จนไม่อาจคาดเดาความคิดนางได้

“เจ้าจะไป” จ้าวเฟิงเผยยิ้มออกมาเล็กน้อย ค่อยๆ เดินไปทางหลีเสวี่ยอี้

ที่แท้ เขาหวังจะตามหาเบาะแสจากหลีเสวี่ยอี้

เนื่องด้วยสตรีคนดังกล่าวเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักเซียนพิณสวรรค์ ถ้าหากหลิวฉินซินก็อยู่ที่สำนักนี้ อีกฝ่ายย่อมต้องทราบข่าวคราวแน่

อนึ่งด้วยพรสวรรค์ของหญิงสาวผู้นี้ นางน่าจะเคยเข้าไปในมรดกเซียนพิณสวรรค์แล้วอย่างแน่นอน

และเพราะหลีเสวี่ยอี้มีบุคลิกลักษณะคล้ายคลึงกับหลิวฉินซินส่วนหนึ่ง จ้าวเฟิงจึงไม่ใช้วิชาศาสตร์วิญญาณใดๆ หรือบีบบังคับนาง

หลีเสวี่ยอี้ประเมินจ้าวเฟิงอย่างเงียบเชียบ ในแววตาฉายแววประหลาดใจ ความรู้สึกบอกนางว่าบุรุษหนุ่มผู้นี้ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อนาง

“หยุดเดี๋ยวนี้!”

“เจ้าคนชั่ว! อย่าคิดจะทำร้ายเสวี่ยฉินเซียนจื่อโดยเด็ดขาด”

อัจฉริยะชั้นยอดแห่งศาสตร์ดนตรีบางส่วนบนสนามต่างโมโหเดือดดาล ในขณะเดียวกันก็นึกดีใจ

บางทีนี่อาจเป็นโอกาสอันดีให้แสดงความสามารถต่อหน้าเซียนจื่อ

ถึงแม้ว่าพลังฝึกตนของบุรุษหนุ่มผู้นั้นจะสูงส่ง แต่ว่าอัจฉริยะศาสตร์ดนตรีในที่ดังกล่าวมีจำนวนมาก และยิ่งไปกว่านั้นยังมียอดฝีมืออาวุโสอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง

จ้าวเฟิงมองข้ามอัจฉริยะเหล่านี้ แล้วเดินตรงดิ่งไปหาหลีเสวี่ยอี้อย่างช้าๆ

ตุบ ตุบ ตุบ!

อัจฉริยะศาสตร์ดนตรีที่อยู่ใกล้ตัวจ้าวเฟิงโดนพลังไร้รูปร่างกระแทกจนกระเด็นร่วงลงบนพื้น แล้วกระอักเลือดออกมา

ดวงตาของหลีเสวี่ยอี้ฉายแววประหลาดใจพาดผ่าน

ระดับขั้นสำนึกรู้ของนางยังไม่อาจมองจ้าวเฟิงให้ทะลุปรุโปร่งได้

“ผู้เยาว์! เจ้ากล้ามาสร้างความโกลาหลในงานชุมนุมเชียวรึ!”

 

กลิ่นอายแกร่งกล้าของผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงถาโถมมาจากหลายทิศทาง

หนึ่งในนั้นมีอิสตรีในชุดสีแดงผู้อยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันด้วย

หนึ่งครึ่งก้าวสู่ราชันกับสามยอดผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงโผบินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ด้วยกังวลว่าจ้าวเฟิงจะทำร้ายหลีเสวี่ยอี้

จ้าวเฟิงยังคงทำเป็นมองไม่เห็น ค่อยๆ เดินไปหาหลีเสวี่ยอี้ ถึงขนาดยื่นมือข้างหนึ่งออกไปเพื่อชักชวนอย่างสุภาพบุรุษ

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้อิสตรีชุดแดงผู้เป็นหนึ่งในบรรดายอดฝีมืออาวุโสโกรธหนักขึ้นไปอีก

เจ้าเด็กไร้มารยาทผู้นี้ช่างกล้ามองข้ามทุกคน

“โครม——”

ทันทีที่เข้าใกล้จ้าวเฟิง ร่างของยอดฝีมืออาวุโสเหล่านั้นก็โดนพลังมหาศาลในฟ้าดินที่ไร้รูปร่างปกคลุมเอาไว้

“อะไรกัน!”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน…พลังมหาศาลของราชัน?” ร่างของอิสตรีในชุดแดงและยอดฝีมือคนอื่นถูกตรึงไว้กลางอากาศ จิตใต้สำนึกไม่อาจมีความคิดต่อต้านใดๆ ได้

ในแววตาของยอดฝีมืออาวุโสทั้งสี่คนฉายแววหวาดกลัวจนเกินจะเปรียบ

แล้วทั่วทั้งสนามประลองก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด

“เจ้า…”

ในที่สุดหลีเสวี่ยอี้ก็หน้าถอดสี จ้องมองไปที่จ้าวเฟิงด้วยแววตาไม่อยากจะเชื่อ

“ผู้อาวุโส! ท่านสร้างความลำบากใจแก่คนรุ่นหลังในศาสตร์ดนตรีเช่นนี้เพราะเหตุใดกัน”

อิสตรีชุดแดงสูดหายใจเข้าลึก พยายามขยับปากถาม

จนถึงตอนนี้ ยอดฝีมืออาวุโสราวกับตัวแข็งค้าง ต่างพากันไม่กล้าลงมือ

“ข้าเพียงต้องการพูดคุยกับนางก็เท่านั้น” จ้าวเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ลงมืออย่างพอเหมาะพอควร

“ท่านผู้อาวุโสเชื้อเชิญ เสวี่ยอี้จะไม่ปฏิบัติตามได้อย่างไร”

หลีเสวี่ยอี้ขบริมฝีปากแดง จ้องมองจ้าวเฟิงอย่างลึกล้ำแล้วเกิดความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง

จนถึงตอนนี้นางจะไม่รู้ระดับขั้นของจ้าวเฟิงได้อย่างไร

หนึ่งขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันและสามยอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวเฟิงล้วนแต่โดนตรึงเอาไว้

ถ้าหากต้องการแล้วล่ะก็ เพียงห้วงความคิดเดียวของอีกฝ่ายก็ตัดสินความเป็นตายของคนทั้งหลายได้

“ไปเถิด!”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะอย่างชื่นชม แล้วคว้ามือบอบบางอ่อนนุ่มของหลีเสวี่ยอี้ จากนั้นพลังมหาศาลของราชันก็กวาดผ่านฟากฟ้าในฉับพลัน

เพียงพริบตาเดียว จ้าวเฟิงและหลีเสวี่ยอี้ก็หายไปจากงานชุมนุมแห่งศาสตร์ดนตรี

แซ่ด!

เหล่ายอดฝีมือศาสตร์ดนตรีในที่นั้นพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่ อัจฉริยะบางส่วนก็ตะลึงจนพูดไม่ออก

“ราชันในขอบเขตปราณเทวะ!” ยอดผู้สูงศักดิ์อาวุโสที่ลงมือเมื่อครู่มีสีหน้าขมขื่น

“เกรงแต่ว่าจะไม่ใช่แค่ราชันธรรมดาเสียด้วย ยังดีที่คนผู้นั้นดูไปแล้วไม่มีเจตนาร้ายกับเสวี่ยอี้ หากเขาจะลงมือโจมตีจริงๆ พวกเราคงไม่มีผู้ใดอยู่รอดปลอดภัย”

อิสตรีในชุดแดงเหม่อมองไปยังทิศทางที่คนทั้งสองหายไป

ไม่นานหลังจากนั้น

บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปหลายพันลี้

จ้าวเฟิงและหลีเสวี่ยอี้ยืนอยู่ข้างกัน

“เมื่อครู่เขา…” หลีเสวี่ยอี้ดึงมือของจ้าวเฟิงออก ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่ออย่างที่เห็นได้ยาก

ในใจของนางรู้สึกโกรธ นอกจากจะอับอายแล้วยังมีความรู้สึกที่บอกไม่ถูก หัวใจเต้นระรัวเร็วอย่างประหลาด

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายเป็นถึงราชันที่อยู่เหนือคนในใต้หล้า สูงส่งเกินจะเอื้อมถึง

“ไม่ใช่” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ

ในตอนแรกเริ่ม จ้าวเฟิงมีความหวังว่าบางทีหลีเสวี่ยอี้จะเป็นผู้ ‘เปลี่ยนรูปลบความทรงจำ’ ไม่ว่าจะกลิ่นอายหรือรูปลักษณ์ภายนอกล้วนกลายเป็นคนใหม่

แต่หลังจากที่ยืนยันซ้ำไปมาและสัมผัสร่างกาย จ้าวเฟิงจึงมั่นใจได้ว่าหลีเสวี่ยอี้และหลิวฉินซินเป็นคนละคนกันอย่างสิ้นเชิง

“แม่นางหลี่ เจ้าเป็นคนของ ‘ตำหนักเซียนพิณสวรรค์’ ที่สำนักนั้นมี ‘มรดกเซียนพิณสวรรค์’ ที่เปิดเมื่อเจ็ดปีก่อนใช่หรือไม่?” จ้าวเฟิงถามออกมาตรงๆ

“มรดกเซียนพิณสวรรค์?”

 

หลีเสวี่ยอี้คิดทบทวนเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ “บางทีที่โลกภายนอกอาจจะเรียกเช่นนี้กระมัง ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเจ็ดปีก่อนเป็นเวลาที่สำนักศักดิ์สิธิ์ของข้าเปิด ‘ตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน’ (ทำนองสวดเก่าแก่)”

ตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน!

เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินคำนี้ ดวงตาเทพเจ้าก็กระตุกขึ้น

เมี้ยว เมี้ยว!

แมวขโมยตัวน้อยก็ปรากฏกายออกมาในทันใด ปาดน้ำลายที่บริเวณมุมปาก มันกอดไหสุราแล้วจึงดื่มไปอึกสองอึก

“แมวน้อยน่ารักเหลือเกิน” หลีเสวี่ยอี้อดมองเจ้าแมวตัวน้อยสักนิดไม่ได้

“ตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน? เป็นตำหนักอะไรกันแน่? เมื่อเจ็ดปีก่อนมีอัจฉริยะที่ไม่ใช่คนของสำนักเข้าไปภายในนั้นหรือไม่?”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม เขามั่นใจว่าตนเองค้นพบกุญแจสำคัญแล้ว

“ผู้อาวุโส ท่านถามคำถามข้ามากมายในเวลาอันสั้นเช่นนี้ ก่อนข้าตอบ ท่านพอจะตอบคำถามของเสวี่ยอี้หนึ่งข้อได้หรือไม่?”

หลีเสวี่ยอี้เอ่ยถามกลับ บนใบหน้าของนางปรากฏแววทะเล้นของเด็กสาวที่ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก

ดวงตาสุกสกาวราวจันทร์ ผิวแก้มแต่งแต้มไปด้วยสีแดงระเรื่อ จึงยิ่งทำให้น่าหลงใหลยิ่งขึ้น

บางทีอาจเป็นเพราะรู้สึกว่าจ้าวเฟิงผู้อยู่ในขั้นราชันไม่ถือตัว แล้วยังอายุไม่มากนัก ในใจของหลีเสวี่ยอี้จึงไม่หวาดกลัวแต่อย่างใด

จ้าวเฟิงชะงักไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย “เจ้าถามมาเถิด”

“ท่านผู้อาวุโส ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว? ข้ารู้สึกว่า ท่านไม่เหมือนกับราชันขอบเขตปราณเทวะที่อายุเป็นหลายพันปีพวกนั้นเลย” หลีเสวี่ยอี้เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

“ยี่สิบสี่ปี” จ้าวเฟิงพูดอย่างเรียบเฉย

“ยี่สิบ…สี่งั้นรึ?”

หลีเสวี่ยอี้นิ่งชะงักไป สีหน้าตื่นตกใจมากเกินกว่าจะเก็บงำเอาไว้ได้

นางคิดไม่ถึงเลยว่าราชันผู้อาวุโสคนนี้จะมีอายุพอๆ กับตนเอง

ในฐานะที่หลีเสวี่ยอี้เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งที่หาได้ยากในรอบพันปีของตำหนักเซียนพิณสวรรค์ ตัวนางเองก็มีคุณสมบัติครบถ้วน แล้วยังเป็นอัจฉริยะที่มีฝีมือสูงส่งในศาสตร์ดนตรี แต่ว่าบุรุษหนุ่มผู้มีอายุไล่เลี่ยกับนางตรงหน้านี้กลับบรรลุถึงระดับขั้นราชันไปแล้ว

“ตอนนี้เจ้าก็น่าจะตอบคำถามของข้าได้แล้วสินะ” จ้าวเฟิงยิ้มอย่างผ่อนคลาย มีท่าทีลำพองใจอยู่รางๆ

หลีเสวี่ยอี้ระงับความประหลาดใจเอาไว้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ แล้วจึงเริ่มตอบคำถามของจ้าวเฟิง

“ตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน ว่ากันว่ามีที่มาจากยุคบรรพกาลก่อนที่พสุธาจะถือกำเนิด จนเวลาล่วงเลยมาหลายหมื่นปีก่อน ผู้ก่อตั้งตำหนักเซียนพิณสวรรค์ถึงค่อยค้นพบ แล้วจึงให้ที่แห่งนั้นเป็นหัวใจสำคัญของมรดกสำนักข้า แต่ว่าความลับที่เกี่ยวข้องกับตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน ขนาดบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งซึ่งก้าวเท้าครึ่งหนึ่งล่วงเข้าไปในขอบเขตเทวาเร้นลับแล้วยังไม่อาจคลี่คลายได้…”

หลีเสวี่ยอี้เล่าประวัติความเป็นมาของตำหนักฟั่นหลุนกู่อินก่อน

จ้าวเฟิงขบคิดเล็กน้อย เช่นนั้นดูท่าทางแล้วงานชุมนุมเซียนมังกรในคราวก่อน อาจจะเป็นตำหนักฟั่นหลุนกู่อินนี่เองที่เป็นผู้เอาตัวของหลิวฉินซินไป

เนื่องจากมรดกดังกล่าวถือได้ว่าเป็นศาสตร์ดนตรีนอกรีต ปรากฏในประวัติศาสตร์เพียงน้อยนิด และไม่ได้รับความสนใจจากผู้คนนัก

“เช่นนั้นแล้วเมื่อเจ็ดปีก่อน มีผู้มาเยือนจากภายนอกเข้าไปในตำหนักฟั่นหลุนกู่อินใช่หรือไม่?”

จ้าวเฟิงเอ่ยถามต่อ

เมื่อฟังจบ หลีเสวี่ยอี้ก็หวนนึกถึงเรื่องในอดีตสักพัก

“ถ้าหากเจ้าถามผู้อื่นบางทีอาจจะไม่ได้คำตอบใดๆ แต่ว่าเมื่อเจ็ดปีก่อน ในขณะที่ข้าเข้าไปใน ‘ตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน’ ข้านำหน้าอัจฉริยะทุกคนไปไกล แต่ว่าตอนที่อยู่ชั้นสามสิบสองเห็นเงาเลือนรางร่างหนึ่ง”

หลีเสวี่ยอี้เอ่ยตอบเหมือนลังเลอยู่เล็กน้อย

ร่างเงาร่างหนึ่ง? ดวงตาสองข้างของจ้าวเฟิงจ้องมองไปที่หลีเสวี่ยอี้

“เมื่อเจ็ดปีก่อน เดิมข้าคิดไปเองว่านั่นอาจจะภาพหลอน ในตำหนักฟั่นหลุนกู่อินแบ่งออกเป็นสี่สิบเก้าชั้น ยิ่งสามารถขึ้นไปยังระดับชั้นที่สูงมากเท่าไหร่ นั่นก็แปลว่าพรสวรรค์ทางศาสตร์ดนตรีจะสูงส่งตาม และพลังแฝงก็จะมากขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งในตอนนั้น อัจฉริยะทั้งหมดในสำนักล้วนแต่ตามหลังข้า แล้วจะมีคนนำหน้าข้าเข้าไปสู่ระดับขั้นที่สูงกว่าได้อย่างไร?”

หลีเสวี่ยอี้กัดริมฝีปากเล็กน้อย

เมื่อเจ็ดปีก่อน เงาเลือนรางที่เคยเห็นนั้น นางคิดมาโดยตลอดว่าคงเป็นเพียงภาพลวงตา นางไม่เชื่อว่าจะมีคนที่มีพรสวรรค์ในศาสตร์ดนตรีสูงส่งกว่าตน

เป็นเพราะว่าไม่เชื่อและไม่อาจจะยอมรับได้ จิตใต้สำนึกของหลีเสวี่ยอี้จึงเห็นเรื่องดังกล่าวเป็นเพียงภาพลวงตา

เมื่อฟังถึงตรงนี้ จ้าวเฟิงจึงแทบจะแน่ใจว่าที่ที่หลิวฉินซินเข้าไปก็คือตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน

“พาข้าไปตำหนักเซียนพิณสวรรค์ที!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!