Skip to content

King of Gods 734

King Of Gods

บทที่ 734 ตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน

จ้าวเฟิงไม่ลังเลอีกต่อไป นำหลีเสวี่ยอี้บินออกไปเป็นระยะทางเกือบหมื่นลี้

ผ่านไปไม่นานนัก

เบื้องหน้าก็ปรากฏดินแดนแห่งภูเขาลำธารที่มีดอกไม้นานาพันธุ์ปลิวไสว เหมือนดั่งเแดนสุขาวดีที่เป็นเค้าโครงธรรมชาติในภาพวาด ทิวทัศน์ที่สวยงามตามธรรมชาติเช่นนั้น เงียบสงบ ไร้ซึ่งเสียงอึกทึกครึกโครม ห่างไกลจากความวุ่นวายทั้งปวง

ทิวทัศน์ที่สุขสงบและสวยงามดั่งภาพวาด ทำให้ผู้คนต่างตกอยู่ในภวังค์ ยากจะมีสติคืนขึ้นมาได้

จ้าวเฟิงร้อนใจขึ้นเล็กน้อย แล้วจึงค่อยๆ สงบอีกครั้ง

เส้นทางการเดินทางครั้งนี้ ไม่ว่าจะได้หรือเสีย เขาก็เริ่มทำใจยอมรับแล้วส่วนหนึ่ง ขอเพียงตนเองไม่นึกเสียใจในภายหลังเป็นพอ

“ถึงแล้ว!”

หลีเสวี่ยอี้พาจ้าวเฟิงบินมุ่งมาที่ภูเขาสีเขามรกตริมน้ำ ด้านบนมีหอที่เปี่ยมไปด้วยความเก่าแก่ตั้งตระหง่าน  แล้วยังมีเสียงพิณดังแว่วออกมารำไร

ที่นี่เป็นทางเข้าของตำหนักเซียนพิณสวรรค์อันเงียบสงบและตัดขาดจากโลกภายนอก

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายลี้ลับจากภายในตำหนักเซียนพิณสวรรค์ จึงเข้าใจในฉับพลันว่าเหตุใดตำหนักเซียนพิณสวรรค์ถึงค่อยๆ ตกต่ำลง

เพราะเหตุใด สำนักแห่งศาสตร์ดนตรีจึงยากจะก้าวขึ้นมาเป็นสุดยอดของยุคสมัย

นั่นเป็นเพราะว่าที่นี่สุขสงบมากเกินไป

ในสภาพแวดล้อมที่สงบสุขไร้ซึ่งเรื่องกังวล ไม่มีการแก่งแย่งชิงดี ทำให้ขาดความทะเยอทะยานในการจะแสวงหาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

“เสวี่ยอี้!”

“ศิษย์พี่หลี!”

ระหว่างทาง ศิษย์ตำหนักเซียนพิณสวรรค์ต่างทักทายหลีเสวี่ยอี้

ผู้คนเหล่านี้มองประเมินจ้าวเฟิงด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้

เมื่อมองเห็นจ้าวเฟิงบินเคียงคู่ไปกับหลีเสวี่ยอี้ ศิษย์ชายในสำนักส่วนหนึ่งอดจะมองอย่างไม่พอใจและริษยาไม่ได้

“ผู้คุ้มกฎทุกท่าน ท่านผู้นี้เป็นแขกที่ท่านอาจารย์เชิญมา” หลีเสวี่ยอี้เอ่ย

เมื่อได้ยินที่หลีเสวี่ยอี้เอ่ย คนในสำนักที่รับผิดชอบเป็นผู้คุ้มกฎจึงต่างพากันถอยออกมา

หลีเสวี่ยอี้ค่อนข้างมั่นใจ ผู้ที่มากับตนเป็นถึงราชันในขอบเขตปราณเทวะ ถ้าหากเกิดการปะทะกันขึ้นมา ย่อมไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แน่

ผ่านไปไม่นานนัก คนทั้งสองก็มาถึงด้านหน้าของตำหนักที่มีกอดอกบัวสีขาวสะอาดอยู่ตรงกลาง

“เจ้าตำหนักและยอดผู้อาวุโสล้วนกำลังเก็บตัวฝึกตนอยู่”

ด้านหน้าของตำหนัก มีลูกศิษย์ชายหญิงของตำหนักพิณเข้าขวางคนทั้งสองเอาไว้

จ้าวเฟิงทำความเข้าใจสถานการณ์ในขณะนี้ของตำหนักเซียนพิณสวรรค์จากหลีเสวี่ยอี้

ตำหนักพิณมีราชันขอบเขตปราณเทวะสองคน แบ่งเป็นเจ้าตำหนักและยอดผู้อาวุโส คนทั้งสองยังเป็นสามีภรรยากันด้วย

“เก็บตัวฝึกตน? คู่สามีภรรยาแห่งตำหนักพิณสองคนนี้คงไม่ได้ฝึกตนคู่หรอกกระมัง?”

จ้าวเฟิงอดจะคิดในแง่ร้ายไม่ได้

 

จากอายุที่มากขึ้น เขาเองก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ไร้เดียงสาอย่างในยามก่อน เข้าใจเรื่องระหว่างชายหญิงอย่างปรุโปร่งมากแล้ว

“ผู้อาวุโสจ้าว ท่านว่า…” หลีเสวี่ยอี้ลำบากใจเล็กน้อย เจ้าตำหนักและยอดผู้อาวุโสล้วนกำลังฝึกตน แต่จ้าวเฟิงเป็นถึงราชันในขอบเขตปราณเทวะ ไม่อาจจะเพิกเฉยได้

“รอไม่ได้หรอก” จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงต่ำด้วยตัดสินใจไว้แล้ว

การหยุดอยู่ที่ใดนานๆ จะทำให้อันตรายจากคำสั่งล่าสังหารเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

จะต้องรู้ว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมากลุ่มของจ้าวเฟิงปล้นสนามรบของสำนักสองดาวไป ส่วนเด็กหญิงผู้มีเนตรทำนายก็ไม่ใช่คนจิตใจดีงามอะไรนักหนา

โครม~

ทันใดนั้นเอง อานุภาพราชันที่ยิ่งใหญ่กดทับปกคลุมตำหนักที่อยู่เบื้องหน้าเขาดั่งภูเขาขนาดมโหฬาร

รอบๆ ตำหนักผุดดอกบัวแสงหลากสีขึ้นมา กลายเป็นค่ายกลป้องกันที่แข็งแกร่งยิ่งในฉับพลัน

“เจ้า..เจ้ายั้งมือก่อน!”

หลีเสวี่ยอี้สัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลของราชันที่ปรากฏขึ้นอย่างมืดฟ้ามัวดิน หน้าจึงถอดสีไป

จ้าวเฟิงควบคุมได้ดีนัก พลังมหาศาลของราชันจำกัดไว้เพียงแค่พื้นที่เล็กๆ เท่านั้น มิฉะนั้นแล้วเทือกเขาแห่งนี้อาจพังทลายลงก็เป็นได้

แกรก!

ดอกบัวแสงสีสวยตระการตารอบตำหนักเกิดรอยปริร้าวเป็นชั้น

ต้องรู้ไว้ว่า ระดับขั้นดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงไม่ได้ต่างจากจักรพรรดิปราณเทวะแม้แต่แต่น้อย ระดับพลังก็แข็งแกร่งเกินจะเปรียบ

“ใครกัน!”

“ราชันจากที่ใดมาบุกรุกตำหนักพิณของข้า”

ภายในตำหนักมีเสียงตะโกนและเสียงร้องตกใจของชายหญิงคู่หนึ่งดังลอดออกมา

จ้าวเฟิงยืนเอามือไพล่หลังพลางยิ้มเรียบๆ

หลีเสวี่ยอี้มองบุรุษหนุ่มตรงหน้าผู้อยู่ท่ามกลางชั้นแสงทรงพลังด้วยสีหน้าที่สับสนปนเปอย่างยิ่ง

หรือว่าราชันอายุน้อยผู้นี้ไม่กลัวจะทำผิดจนสร้างความโกรธเคืองต่อราชันทั้งสองแห่งตำหนักพิณ?

พรึ่บ! พรึ่บ!

เงาร่างของคู่ชายหญิงซึ่งอยู่ในแสงสว่างทรงอานุภาพปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าของคนทั้งสอง

หนึ่งในนั้นก็คือหญิงงามในชุดกระโปรงสีเขียวหยก ซึ่งก็คือเจ้าตำหนักพิณ

ส่วนชายวัยกลางคนท่วงท่าอาจหาญย่อมต้องเป็นยอดผู้สูงศักดิ์ของสำนักอย่างแน่นอน

“เสวี่ยอี้!”

หญิงามชุดเขียวและชายวัยกลางคนท่วงท่าอาจหาญยังคงงุนงงไม่หาย สายตาจับจ้องที่จ้าวเฟิงและหลีเสวี่ยอี้สลับไปมา

ดูๆ ไปแล้วจ้าวเฟิงและหลีเสวี่ยอี้มีท่าทีที่เป็นมิตรต่อกัน ไม่ได้มีท่าทางผิดใจกันแต่อย่างใด

ราชันทั้งสองผ่อนลมหายใจ อดสงสัยในความสัมพันธ์ระหว่างจ้าวเฟิงและหลีเสวี่ยอี้ไม่ได้

“หรือว่าเสวี่ยอี้จะหาว่าที่สามีซึ่งอยู่ในขั้นราชันได้?”

แววตาของหญิงงามชุดเขียวเหมือนมีแววขบขัน หลี่เสวี่ยอี้หน้าแดงขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อล่วงรู้ได้ว่าอาจารย์ของตนเกิดเข้าใจผิดเสียแล้ว

เจ้าตำหนักพิณและยอดผู้สูงศักดิ์ไม่ได้ซักถามด้วยความโมโหแต่อย่างใด ทว่ากลับมองจ้าวเฟิงอย่างประเมินก่อน

ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือแห่งศาสตร์ดนตรี จึงทำให้พวกเขาสำรวมจิตใจ มารยาทต่างๆ ดีเยี่ยมนัก

อีกทั้งในฐานะที่เป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งยังมีอายุน้อยเพียงนี้ มาเยือนที่ตำหนักเซียนพิณสวรรค์แล้วลงมือเขย่าขวัญพวกเขา แต่ไม่ได้ทำร้ายต้นไม้ใบหญ้าใดๆ แม้แต่นิดเดียว ก็ยังพอจะมองผ่านไปได้

ราชันทั้งสองสบตากันเล็กน้อย พวกเขามั่นใจว่าไม่รู้จักราชันปราณเทวะผู้นี้

“ข้าน้อยนามจ้าวเฟิง มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่ที่ไกลแสนไกล มีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง จึงตั้งใจมาถึงตำหนักเซียนพิณสวรรค์เป็นพิเศษเพื่อเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสทั้งสองโดยเฉพาะ” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างสำรวมท่าที

“เชิญ!” ราชันแห่งศาสตร์ดนตรีทั้งสองเกิดความประทับใจต่อจ้าวเฟิงผู้มีกิริยามารยาทสำรวม ไม่มีท่าทีหยิ่งยโสเหมือนคนในวัยเดียวกัน

เจ้าตำหนักพิณสวรรค์ก็ยินดีหากจ้าวเฟิงและหลีเสวี่ยอี้มีความสัมพันธ์หรือพัฒนาไปในด้านนั้น เพราะอย่างไรก็ยากจะพบเจอกับราชันที่มีอายุน้อยเช่นนี้ พลังปราณเทวะของเขาเหมือนจะอยู่เหนือราชันทั้งสองอยู่เล็กน้อยอีกด้วย

ในโถงรับแขกที่ตกแต่งวิจิตรสวยงามห้องหนึ่ง

คู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณเดินเข้ามาภายใน

จากนั้นจึงเป็นจ้าวเฟิงและหลีเสวี่ยอี้เข้ามาตามลำดับ

ในขณะที่สนทนากัน จ้าวเฟิงจึงเอ่ยเจตนาที่มาอย่างตรงไปตรงมา

“ตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน? เสวี่ยอี้ เจ้าเห็นเงานั้นเมื่อเจ็ดปีก่อนจริงหรือ?”

สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณล้วนแต่ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง

ตำหนักฟั่นหลุนกู่อินเป็นการค้นพบของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตำหนักพิณสวรรค์ แล้วจึงสร้างมรดกใจกลางของสำนักตามโครงสร้างดังกล่าว ทว่าในตอนนี้กลับรู้ความจริงเรื่องหนึ่งว่าเคยมีคนจากภายนอกเข้าไปตำหนักฟั่นหลุนกู่อินมาก่อน

“เงาของหญิงสาวผู้นั้นกับคนจากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสจ้าวเฟิงคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าในตอนนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา จะพอเหมาะพอเจาะอะไรเช่นนั้น” หลีเสวี่ยอี้เอ่ย

จากที่นางพูดคุยแลกเปลี่ยนกับจ้าวเฟิงเมื่อครู่ เงาที่นางเคยเห็นเมื่อเจ็ดปีก่อนกับหลิวฉินซินที่จ้าวเฟิงเล่า คล้ายกันอย่างยิ่ง

“มีเรื่องแบบนี้ด้วย! มิน่าในตอนนั้นตำหนักฟั่นหลุนกู่อินจู่ๆ ก็เปิดขึ้นมาเอง”

คู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณตกใจอย่างยิ่ง คนทั้งสองมองตาสื่อสารกัน และตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว

“จะต้องหาความจริงของเรื่องนี้” สีหน้าของสามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณเคร่งขรึม

ตำหนักฟั่นหลุนกู่อินนี้เป็นถึงมรดกสำคัญของตำหนักเซียนพิณสวรรค์ แต่บุคคลภายนอกกลับเข้าไปโดยไม่มีผู้ใดรู้เรื่อง

สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณยากจะนิ่งนอนใจกับเรื่องเช่นนี้

หรือจะพูดได้อีกอย่างว่านี่ถือเป็นภัยร้ายที่แฝงอยู่ของตำหนักเซียนพิณสวรรค์

ทำให้คู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณตัดสินใจจะสืบหาความจริงออกมาให้ได้ ถ้าหากว่าภายในมรดกมีช่องโหว่อะไรจะได้รีบแก้ไขให้ทันท่วงที

ทั้งสองฝ่ายเปิดเผยตรงไปตรงมา แล้วจึงตัดสินใจร่วมมือกันค้นหาความจริงของเรื่องนี้

จ้าวเฟิงผงกศีรษะอย่างยินดี สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณถือได้ว่ามีศีลธรรมอยู่ ไม่มีเจตนาจะขับไล่จ้าวเฟิงแม้แต่น้อย

เป้าหมายของทั้งสองฝ่ายแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งเดียวกัน

จ้าวเฟิงต้องการแน่ใจเรื่องความเป็นตายของคู่หมั้น คู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณเองก็ต้องการค้นหาช่องโหว่ของมรดกเช่นกัน

ครึ่งชั่วยามต่อมา

คู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณจึงเรียกรวมคนระดับสูงของตำหนักเซียนพิณสวรรค์ ผู้อาวุโสที่เข้าร่วมงานชุมนุมครั้งนี้ฝึกตนอยู่ในขั้นยอดผู้สูงศักดิ์ระดับสุดยอดเป็นอย่างน้อย

เนื่องจากต้องใช้วิธีที่ ‘ไม่ปกติ’ ในการเข้าไปภายในมรดก ตามหลักการแล้วนี่เป็นการฝ่าฝืนกฎของสำนัก

การกระทำเช่นนี้ต้องให้ผู้อาวุโสทั้งเก้าร่วมกันตัดสินใจอย่างเป็นธรรม

เมื่อผู้อาวุโสทั้งเก้าเข้าใจใน ‘ความหนักหนาสาหัส’ ของเรื่องนี้ก็อนุญาตจนหมดสิ้น

มรดกที่สำคัญถูกคนนอกบุกรุกเข้าไปโดยไม่มีใครรู้เห็น นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะทนนิ่งดูดายได้

เวลาผ่านไปไม่นานนัก

เหล่าคนระดับสูงของตำหนักเซียนพิณสวรรค์ก็มาถึงเขตต้องห้ามของสำนักอย่างอึกทึกครึกโครม

ม่านน้ำตกขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยแสงเมฆหมอกหลากสีปรากฏขึ้นในครรลองสายตา

ดวงตาข้างซ้ายของจ้าวเฟิงมองเห็นตำหนักหลังใหญ่ที่เก่าแก่ลี้ลับได้รางๆ ตำหนักหลังนั้นสวยงามโอ่อ่า มีถึงสี่สิบเก้าชั้น ปกคลุมด้วยแสงสีสันต่างๆ จนรางเลือน

แต่จ้าวเฟิงมองออกว่าตำหนักโบราณนั้นมีรูปร่างเป็นวงล้อขนาดยักษ์ พื้นที่ตรงกลางน่าจะเป็นความว่างเปล่า

สายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณของจ้าวเฟิงสั่นสะท้านเล็กน้อย ดวงตาเทพเจ้าของเขาก็เต้นกระตุกน้อยๆ ถึงแม้ว่าตำหนักฟั่นหลุนกู่อินแห่งนี้มีค่ายกลที่ลี้ลับผนึกเอาไว้เป็นชั้นๆ แต่จ้าวเฟิงก็ยังรู้สึกถึงกลิ่นอายของยุคบรรพกาลอยู่

กลิ่นอายยุคบรรพกาลคล้ายคลึงกับกลิ่นอายห้วงฝันบรรพกาลอยู่หลายส่วน จ้าวเฟิงสัมผัสได้เลยว่า ตำหนักฟั่นหลุนกู่อินแห่งนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ตำหนักเซียนพิณสวรรค์จะควบคุมได้

ตำหนักแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ค้นพบโดยบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตำหนักเซียนพิณสวรรค์ เกรงว่าถึงจะเป็นยอดฝีมือศาสตร์ดนตรีซึ่งก้าวเข้าสู่ความเป็นเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับไปครึ่งหนึ่ง ก็ไม่อาจคลี่คลายความลี้ลับของตำหนักดนตรีโบราณได้

วิ้ง ~

คู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณและเหล่าอาวุโสใหญ่หลายคนร่วมกันโบกธงค่ายกล เมฆหมอกหลากสีกลางปราการน้ำหมุนวนอย่างรวดเร็ว แล้วกระจายตัวออกไปรอบทิศ จนปรากฏโครงร่างของตำหนักกู่อินออกมา

ถึงแม้ว่าหมอกควันจะกระจายออกไปแล้ว แต่ว่าตำหนักระดับสูงสุดในศาสตร์ดนตรีหลังนี้ก็ยังคงให้ความรู้สึกลี้ลับเลือนราง

 

ทว่ากลิ่นอายของยุคบรรพกาลสาดซัดออกมารุนแรงอย่างยิ่ง จนทำให้คนที่อยู่ในสถานที่ดังกล่าวเกิดความรู้สึกเหมือนเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เงยหน้ามองผู้ยิ่งใหญ่

สวบ สวบ สวบ!

คู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณนำคนทั้งหมดเก้าคนเข้าไปภายในปราการน้ำลึก มีคนในระดับสูงของสำนักหลายคน รวมทั้งจ้าวเฟิงและหลีเสวี่ยอี้

นอกจากหลีเสวี่ยอี้แล้ว พลังฝึกตนของคนอื่นล้วนอยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงสุดช่วงยอดเป็นอย่างน้อย

ต่อจากนั้น สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณและจ้าวเฟิงซึ่งเป็นราชันทั้งสามร่วมมือกันฝืนเปิดตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน

ถึงแม้ว่าตำหนักพิณจะควบคุมค่ายกลเอาไว้ แต่ว่าการเปิดผนึกอย่าง ‘ไม่ปกติ’ ก็ยังทำให้เกิดแรงต้านทานที่รุนแรงอยู่ดี

ในพริบตาเดียว

พลังมหาศาลของราชันทั้งสามแทรกซึมเข้าไปในป้ายคำสั่งพิเศษสีเงินเก่าแก่แผ่นหนึ่งที่ด้านหน้าตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน

คู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณล้วนเป็นราชันในระดับลึกซึ้ง พลังของพวกเขาย่อมสูงส่ง

พลังของราชันที่จ้าวเฟิงปลดปล่อยออกมาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าคู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณแม้แต่น้อย นั่นแปลว่าอย่างน้อยสำนึกรู้ราชาของเขาจะต้องเหนือกว่าขั้นราชันระดับลึกซึ้ง

วิ้ง!

ป้ายคำสั่งเงินโบราณเปล่งแสงหลากสีพุ่งทะลวงขึ้นฟ้า สั่นระริกน้อยๆ แล้วทะยานขึ้นด้านบนอย่างยากเย็น

ในเวลาเดียวกัน

โครม เพล้ง ตูม ~

ประตูสีทองเก่าแก่ที่ด้านหน้าตำหนักฟั่นหลุนกู่อินค่อยๆ เปิดอ้าออก

ในทุกครั้งป้ายคำสั่งกู่อินขึ้นไปสูงเท่าไหร่ ประตูก็จะอ้าออกเท่านั้น

ประตูใหญ่สีทองเปิดออกได้หนึ่งในสามส่วนก็หยุดค้างไป

ด้วยเพราะการเปิดที่ไม่ปกติเช่นนี้ สามารถเปิดได้ถึงหนึ่งในสามส่วน กว้างเท่ากับความสูงของคนผู้หนึ่ง ก็นับว่าไม่เลวแล้ว

“เร็วเข้า!” คู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณตะโกนด้วยน้ำเสียงร้อนรน

แซ่ด เปรี๊ยะ! จ้าวเฟิงแปลงกายเป็นแสงวายุอัสนีสีชาด แล้วตรงดิ่งเข้าไปภายในตำหนักฟั่นหลุนกู่อินเป็นคนแรกด้วยความเร็วสูงสุด

ตามมาด้วยคู่สามีภรรยาเจ้าตำหนักพิณที่นำหลีเสวี่ยอี้มุดเข้าตำหนักพร้อมกัน จากนั้นจึงปิดท้ายด้วยผู้อาวุโสอีกหลายคน

ในชั้นแรกของตำหนักฟั่นหลุนกู่อิน

ใต้ฝ่าเท้าเป็นขั้นบันไดคดเคี้ยวที่มองไม่เห็นปลายทาง บนแผ่นหินเบื้องหน้าคือผนังที่มีรูปวาดโบราณติดต่อกัน

แล้วจึงเกิดความผิดปกติขึ้นเบื้องหน้า

คนในรูปวาดฝาบนผนังโบราณเหล่านั้นหรือกระทั่งเสียงข้างในพากันกระโดดออกมา แล้วปรากฏขึ้นเบื้องหน้าอย่างมีชีวิตชีวาสมจริง

จ้าวเฟิงค้างฝีเท้าไว้เมื่อเจอกับแรงต้านทานกลุ่มหนึ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!