Skip to content

King of Gods 757

King Of Gods

บทที่ 757 ฐานะของราชัน

“จงหว่านเอ๋อร์”

หญิงใบหน้าสะสวยนางนั้นคือศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักมารจันทราชาดที่มีฝีมือเท่าเทียมกับ ‘เย่หยานหยู’ ของสำนักจันทร์กระจ่าง และเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ซากปรักหักพังสือเฉิง

เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี จงหว่านเอ๋อร์ก็ทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิด

ในครั้งนี้นางตามผู้อาวุโสของสำนักมาที่ทวีปบุปผาครามเพื่อให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนลัทธิมารจันทราชาด ซึ่งถือเป็นภารกิจหนึ่งของสำนัก

“เอ๋?” เมื่อได้ยินคนตะโกนเรียกชื่อของตน จงหว่านเอ๋อร์ชะงัก สายตามองไปยังบุรุษหนุ่มผมสีม่วงที่อยู่ในฝูงชนโดยไม่ทุกข์ไม่ร้อน

เวลาหลายปีที่ผ่านมา ท่าทางและรูปลักษณ์ภายนอกของจ้าวเฟิงเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวินาทีนี้ที่เขายังอยู่ในสภาวะป่วยด้วยเล็กน้อย

“เป็น…เป็นเจ้า!”

ใบหน้างดงามเหนือใครของจงหว่านเอ๋อร์ฉายแววตกใจจนพูดไม่ออก

จิตใจที่หวาดกลัวเช่นนั้นเป็นเหมือนภาพจากความทรงจำส่วนลึกที่สะท้อนกลับไปมา

ในวันนั้น

จ้าวเฟิงซึ่งอยู่ภายในซากปรักหักพังสือเฉิงลึกซึ้งใน ‘เนตรพิฆาตผ่านอากาศ’ สังหารสิ้นทั้งแปดทิศเหมือนเป็นเทพมรณะ

ภายในความทรงจำ ยอดฝีมืออย่างลู่เทียนอี้ ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น และปรมาจารย์อิ๋นคงล้วนแต่ตายอยู่ภายในสนามรบที่เป็นดั่งฝันร้ายนั้น

ยามนี้ ‘ฝันร้าย’ ในความทรงจำเหมือนประชิดเข้ามาใกล้

‘บุรุษหนุ่มผมสีม่วง’ ผู้มีท่าทีไม่แยแสสิ่งใดมองมาที่ตนเองด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“จ้าวเฟิง! เขา…เหตุใดเขาจึงมาปรากฏตัวที่นี่?” จงหว่านเอ๋อร์สีหน้าซีดขาว หวาดกลัวอย่างยิ่ง

ในเวลานี้นางเหลือเพียงความคิดเดียวเท่านั้น ต้องหนี!

เนตรพิฆาตผ่านอากาศของจ้าวเฟิงในกาลก่อน ขณะอยู่ในซากปรักหักพังสือเฉิงสามารถ ‘ฆ่าล้าง’ ทั้งหมด

แล้วด้วยเวลาที่ผ่านไปหลายปี นางไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าจ้าวเฟิงจะพัฒนาไปจนถึงระดับใด

“ท่านผู้อาวุโสอู่! รีบถอยเร็ว…”

จงหว่านเอ๋อร์รีบร้อนเอ่ย แล้วบินไปในอากาศอย่างลนลานเพื่อไปรวมตัวกับผู้เฒ่าลึกลับในชุดจันทร์สีเลือดตัวยาว

“หืม? เรื่องอะไรกัน?” ผู้เฒ่าชุดจันทร์สีเลือดชะงักค้างไปชั่วขณะหนึ่ง เขาไม่เคยเห็นจงหว่านเอ๋อร์หวาดกลัวแบบนี้มาก่อน

ภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าดึงดูดความสนใจของผู้อาวุโสเสวี่ยลี่และคนอื่นๆ

สตรีสูงส่งในขั้นยอดผู้สูงศักดิ์กลับโดนคำพูดของจ้าวเฟิงทำให้ตกใจอย่างหนักเช่นนี้

“เหอะเหอะ คิดจะหนีงั้นรึ?”

จ้าวเฟิงยิ้มเอ่ยเชิงหยอกเย้า ก้าวเท้าเพียงครั้งหนึ่งก็ไปปรากฏตัวเบื้องหน้าผู้เฒ่าจันทราเลือด ขวางทางไปของจงหว่านเอ๋อร์ไว้

เขากำลังอยากหาเรื่อง ‘ตำหนักมารจันทราชาด’ พอดี แต่ไม่คิดว่าจะหาเหตุผลได้ไวเช่นนี้

“เจ้าเป็นใครกัน?” ผู้เฒ่าจันทราเลือดเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ในทุกอิริยาบถทุกช่วงลมหายใจของบุรุษหนุ่มเบื้องหน้า ล้วนแต่มีสำนึกรู้ที่ไร้รูปร่างคอยกดดันเขาเอาไว้อย่างหนักหน่วง

ความรู้สึกแบบนี้เขาเคยพบเจอจากบนร่างผู้อาวุโสสูงสุดของตำหนักมารจันทราชาดเท่านั้น

หมับ!

จ้าวเฟิงค่อยๆ ยื่นมือกดไปบนไหล่ขาวนวลเนียนที่เผยออกมาของจงหว่านเอ๋อร์

ใช้เพียงกลิ่นอายพลังของสายเลือดและร่างกายก็ปิดผนึกสายเลือดกับปราณที่แท้จริงของนางไปในทันที

“เจ้า…”

จงหว่านเอ๋อร์เดี๋ยวหน้าแดงเดี๋ยวหน้าซีดเผือดสลับกันไป ร่างแบบบางสั่นสะท้าน ไม่มีแรงโต้กลับใดๆ เสียด้วยซ้ำไป

บุรุษหนุ่มในครรลองสายตากับฝันร้ายในความทรงจำทับซ้อนกันอย่างสมบูรณ์

“ยั้งมือก่อน!”

ผู้เฒ่าจันทราเลือดร้องอย่างตื่นตระหนก พลังมหาศาลของยอดผู้สูงศักดิ์ส่งผลให้สภาพแวดล้อมในบริเวณดังกล่าวบิดเบี้ยวไปมา

ด้านล่าง

ฝั่งอาณาจักรและลัทธิจันทราชาดที่เพิ่งจะประมือกัน ก็สัมผัสได้ถึงพลังในฟ้าดินที่ไม่อาจบรรยายได้ แต่ละคนล้วนแต่ยากจะหายใจ

“ขั้นยอดผู้สูงศักดิ์?” จ้าวลัทธิหงและผู้อาวุโสเสวี่ยลี่หยุดมือเช่นกัน

จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวมีสีหน้ายินดี จ้าวเฟิงเพิ่งจะปรากฏตัวก็ทำให้ผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งตกใจจนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างแล้ว

ทันทีที่ยื่นมือออกมา เขาก็ควบคุมผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง ทำให้ผู้อาวุโสจันทราเลือดในขั้นยอดผู้สูงศักดิ์หน้าถอดสี

ในขณะนี้ จ้าวเฟิงเผชิญหน้ากับการจู่โจมของผู้สูงศักดิ์อย่างผู้เฒ่าจันทราเลือด แต่เขาทำเพียงแค่ส่งเสียงเย้ยเยาะออกมาเท่านั้น

วินาทีนั้นเอง พลังมหาศาลในฟ้าดินที่ไร้รูปร่างปกคลุมไปทั่วร่างของผู้เฒ่าจันทราเลือด

อ๊าก!

ผู้เฒ่าจันทราเลือดกระอักโลหิตออกมา แล้วจึงสัมผัสได้ว่าปราณที่แท้จริงทั่วร่างถูกผนึกเอาไว้ สตินึกคิด ไม่อาจจะต่อต้านได้

“ที่แท้แล้วเจ้าคือ…” ใบหน้าของผู้เฒ่าจันทราเลือดประหวั่นพรั่นพรึง สีหน้าหวาดกลัวยิ่งกว่าจงหว่านเอ๋อร์เสียอีก

บนใบหน้าของเขาปรากฏแววไม่อยากเชื่อมากยิ่งขึ้น

“นี่…นี่มันเรื่องอะไรกัน!”

วีรบุรุษยอดฝีมือของอาณาจักรนภาและลัทธิจันทราชาดล้วนแต่ตะลึงลาน

จ้าวเฟิงไม่ได้ลงมืออะไร เพียงแค่แค่นเสียงออกมาเบาๆ เท่านั้น ก็สามารถทำให้ผู้เฒ่าจันทราเลือดในขั้นยอดผู้สูงศักดิ์กระอักเลือดออกมา

พลังมหาศาลที่ไร้รูปร่างกลุ่มนั้นมีอยู่แค่ในอาณาเขตเล็กๆ เท่านั้น

จ้าวเฟิงทำเช่นนี้เพราะไม่อยากจะใช้ดวงวิญญาณเป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงพึ่งพาสำนึกรู้เสียมากกว่า และใช้ดวงวิญญาณเพียงเล็กน้อย

ถึงแม้เขาจะต้อง ‘คำสาปมรณะ’ แต่ว่าสำนึกรู้ที่ลึกซึ้งของเขาไม่สูญหายหรือล่าถอยไป

นี่ก็เปรียบได้กับเด็กน้อยครึ่งเซียนที่มีสำนึกรู้สูงส่ง

ผลข้างเคียงของคำสาปมรณะ ส่วนที่เสื่อมถอยเร็วที่สุดก็คือพลังชีวิตอายุขัย ตามด้วยปราณที่แท้จริง ดวงวิญญาณ สายเลือด และร่างกาย

ส่วนที่ช้าที่สุดก็คือพลังของจักรพรรดิ

ด้วยตัวของพลังนั้นมีสำนึกรู้หนาแน่น ซ้ำยังยืนหยัดอยู่บนพื้นฐานของพลังดวงวิญญาณ

“เป็นไปได้อย่างไร…” เมื่อผิวหนังสัมผัสกัน จงหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ในระยะประชิดสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดบนร่างจ้าวเฟิง

“เจ้าเด็กชั่วนั้น…รีบหนีเร็ว!”

ผู้อาวุโสเสวี่ยลี่รู้สึกกระวนกระวายอย่างมาก ขนาดผู้อาวุโสของตำหนักมารจันทราชาดเผชิญหน้ากับจ้าวเฟิงแล้วยังไม่มีกำลังจะโต้กลับ

สวบ!

เขากลายร่างเป็นลำแสงสีเลือดดิ่งลึกลงไปในน้ำ

“เหอะ!” จ้าวเฟิงจ้องมองไปทางผู้อาวุโสเสวี่ยลี่ปราดเดียวอย่างเฉยเมย

โครม!

พลังมหาศาลทะลวงผ่านฟ้าดิน เหมือนดั่งอัสนีศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์ฟาดลงไปบนร่างของผู้อาวุโสเสวี่ยลี่

“อ๊าก!” ผู้อาวุโสเสวี่ยลี่ร้องอย่างเจ็บปวด ดวงวิญญาณสูญสลายไปในทันใด แล้วร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศ

ตุ้บ!

ศพของผู้อาวุโสเสวี่ยลี่ร่วงลงในป่าเขาด้านล่าง

ทำให้คนทั้งสองฝ่ายที่เห็นเหตุการณ์อกสั่นขวัญแขวน ฝั่งของลัทธิจันทราชาดหวาดกลัวจับใจ

“เพียงห้วงความคิดเดียวก็สามารถสังหารผู้สูงศักดิ์ได้แล้ว”

พวกของจ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวล้วนแต่อึ้งไปชั่วขณะ

วิธีการความสามารถเช่นนี้ เกรงว่าทั่วทั้งทวีปไม่อาจหาได้แม้แต่คนเดียว

ถึงจะเป็นจ้าวลัทธิจันทราชาดก็คงทำไม่ได้เช่นนี้ นอกเสียจากว่าจะเลื่อนระดับขึ้นเป็นราชันในขอบเขตปราณเทวะ

“หรือว่า…” จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวมองสบตากัน พลันเกิดการคาดเดาที่เกินจะจินตนาการได้อย่างหนึ่ง

“นายท่านผู้เป็นราชัน…เป็นเพราะพวกข้าโง่เง่าไม่รู้ความ ขอให้ท่านอภัยด้วย”

ผู้เฒ่าจันทราเลือดเอ่ยด้วยอาการกลัวลนลาน

จงหว่านเอ๋อร์ไม่กล้าทำอะไรทั้งสิ้น ฝันร้ายในห้วงความทรงจำขึ้นไปจนถึงระดับขั้น ‘ไร้เทียมทาน’ เสียแล้ว

ราชันปราณเทวะ!

นี่ถ้าเป็นที่ชังไห่อันยิ่งใหญ่แล้วล่ะก็ เขาจะเป็นตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด ทั้งยังสูงส่งจนไม่อาจเอื้อมได้

สำหรับทวีปบุปผาคราม ราชันปราณเทวะอยู่ในบันทึกตำนานเท่านั้น

“ราชัน! ที่แท้จ้าวเฟิงเข้าสู่ขั้นราชันแล้ว”

“หรือว่าเพียงความคิดเดียวของรองจ้าวลัทธิจ้าวก็สังหารผู้อาวุโสของลัทธิจันทราชาดได้แล้ว”

ในฝั่งของอาณาจักรนภาเริ่มครึกครื้นขึ้นจากตอนนั้น

จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวมองตากัน แววตาตื่นตกใจของทั้งสองเผยความยินดีอย่างยิ่งออกมา

จะต้องรู้ว่า ทั่วทั้งทวีปบุปผาครามยังไม่มีราชันในขอบเขตปราณเทวะแม้แต่คนเดียว

แต่ว่าในลัทธิโลหะเลือดกลับมีราชันในขอบเขตปราณเทวะถือกำเนิดขึ้น นี่เป็นเกียรติยศในระดับไหนกัน?

จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวอดดีใจไม่ได้ที่เลือกให้ความสำคัญกับจ้าวเฟิงตั้งแต่แรกเริ่ม

การถือกำเนิดของราชันผู้หนึ่งมากพอจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของทั้งทวีป หนำซ้ำมิใช่สิ่งที่พละกำลังใดๆ จะสามารถต้านทานได้

“ราชัน…”

ฉินหวางเฟยตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะเหมือนตกลงในห้วงความฝัน ยากเกินจะเชื่อในสิ่งที่เห็น

ส่วนบรรดาวีรบุรุษและสมาชิกต่างๆ ของลัทธิมารจันทราชาด แต่ละคนล้วนตกอยู่ในห้วงความสิ้นหวัง เมื่ออยู่ภายใต้ราชันแล้ว แม้แต่ความกล้าจะวิ่งหนีของพวกเขายังไม่มี…ผู้อาวุโสเสวี่ยลี่เป็นตัวอย่างที่มีชีวิตให้ดูแล้ว

“ท่านราชัน ท่านจะเอาอย่างไร มีเงื่อนไขอะไร ก็ว่ามาได้เลย” ผู้เฒ่าจันทราเลือดเอ่ยอย่างขมขื่น

ในเวลาดังกล่าว จ้าวเฟิงเรียกพลังมหาศาลในขอบเขตปราณเทวะกลับไปแล้ว

ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ผู้เฒ่าจันทราเลือดและจงหว่านเอ๋อร์ก็ไม่กล้าแม้แต่จะมีความคิดใดทั้งสิ้น

“จงหว่านเอ๋อร์รั้งอยู่ก่อน! เจ้ากลับไปถ่ายทอดคำพูดแก่ ‘ตำหนักมารจันทราชาด’ ภายในร้อยวันนี้ ถ้าหากว่าไม่มีอะไรมามอบให้ข้า ข้าจะสังหารนางเสีย แล้วจะทำให้ชื่อของตำหนักมารจันทราชาดหายไปจากชังไห่”

จ้าวเฟิงค่อยๆ เปิดปากเอ่ย

เมื่อได้ยิน ผู้เฒ่าจันทราเลือดใจเต้นรัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคสุดท้ายที่ว่าจะลบชื่อตำหนักมารจันทราชาดออกจากชังไห่

เมื่อเผชิญหน้ากับน้ำเสียงเด็ดขาดเย็นชาของจ้าวเฟิง ผู้เฒ่าจันทราเลือดรู้สึกลนลาน ไม่กล้าสงสัยในความสามารถของจ้าวเฟิงอีก

ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยความสามารถของจ้าวเฟิง ต่อให้ลดลงไปอยู่ในขั้นที่ต่ำกว่าราชัน หากคิดจะล้มล้างตำหนักมารจันทราชาดก็ไม่ยากเย็นอะไร เพราะว่าสำนึกรู้ของเขาจะไม่สูญหายไป การถดถอยของพลังจักรพรรดิถือได้ว่าค่อนข้างล่าช้า

แล้วยิ่งไปกว่านั้น จากการคาดเดาของจ้าวเฟิงน่าจะต้องใช้เวลาเดือนถึงสองเดือนถึงจะร่วงลงไปต่ำกว่าขอบเขตปราณเทวะ เพราะระหว่างขอบเขตปราณเทวะและขอบเขตแก่นก่อกำเนิดมีความแตกต่างที่ชัดเจนอย่างยิ่ง

“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ หวังว่าท่านราชันจะไม่ทำร้ายหว่านเอ๋อร์” ผู้เฒ่าจันทราเลือดสูดลมหายใจเข้าลึก

เขาเข้าใจว่าตนเองอยู่เบื้องหน้าราชันในขอบเขตปราณเทวะแล้วไม่มีคุณสมบัติจะต่อรองอะไรทั้งนั้น

สวบ!

ผู้เฒ่าจันทราเลือดกลายเป็นกลุ่มเมฆแสงจันทร์สีเลือด จากนั้นบินตรงดิ่งไปยังทะเลความว่างเปล่าภายนอกดินแดนด้วยความรีบร้อนยิ่ง

ใบหน้างามของจงหว่านเอ๋อร์ซีดขาว สีหน้าอับจนหนทางเป็นที่สุด

นางไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าอนาคตที่รอคอยตนเองอยู่จะเป็นอย่างไร

แต่นางรู้ว่าโชคชะตาชีวิตของตนจะต้องกลายเป็นหมากในการเดิมพันระหว่างราชันปราณเทวะ

ต่อจากนั้น

ยอดฝีมือของลัทธิมารจันทราชาดที่อยู่ด้านล่างล้มหายตายจากไป

การสู้รบที่เดิมทีสามารถสะเทือนฟ้าดินได้ กลับพลิกผันหยุดลงกลางคันเพียงเพราะห้วงความคิดของราชันผู้หนึ่ง

ส่วนงานที่ต้องจัดแจงจากนั้น จ้าวเฟิงไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว

“พลังลดน้อยถอยไปไม่น้อย…”

จ้าวเฟิงอดจะตกใจไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาในตอนนี้ยังมีกำลังรบของจักรพรรดิอยู่ แต่ว่าร่างกายดวงวิญญาณ สายเลือดและปราณที่แท้จริงล้วนถดถอยลงไปไม่น้อย

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้ว ใบหน้าของจ้าวลัทธิหงและพวกเถี่ยหมัวเกร็งกระตุก

จงหว่านเอ๋อร์ทุกข์ทนจนไม่สามารถบรรยายได้ อับอายอย่างยิ่ง

อันที่จริงแล้วจ้าวเฟิงในตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสภาวะสุดยอด

จ้าวเฟิงเองก็คร้านจะอธิบาย การค่อยๆ ถดถอยของพลังทำให้เขายิ่งเข้าใจชัดแจ้งในจุดมุ่งหมายของการมาเยือนทวีปบุปผาครามครั้งนี้

ทันใดนั้น จ้าวเฟิงจึงเอ่ยปากร่ำลาจ้าวลัทธิหงกับเถี่ยหมัว

“เจ้าเมืองหลิว!”

สายตาของจ้าวเฟิงหยุดลงบนร่างของเจ้าเมืองหงหู จากนั้นนำเขาและจงหว่านเอ๋อร์ไปยังหอคอยลิ่วอู

ระหว่างทาง จงหว่านเอ๋อร์อยู่ในฐานะแรงงานหลัก เรียกสัตว์วิเศษที่มีปีกของตนเองออกมาให้คนขี่โบยบินไป

สายตาของเจ้าเมืองหงหูที่ทอดมองจ้าวเฟิงสับสนอย่างยิ่ง

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าบุรุษผมสีม่วงที่ถูก ‘บังคับให้แต่งงาน’ ในยามก่อนจะกลายเป็นราชันซึ่งคล้ายกับในตำนานเสียแล้ว

นี่จึงทำให้เขามีความหวังเกี่ยวกับความเป็นตายของหลิวเซินเฉิงเพิ่มขึ้นหลายส่วน

หลายชั่วยามต่อมา

ในเขาลึกปรากฏหอคอยสูงทรงหกเหลี่ยมมืดสนิท

ขณะที่จ้าวเฟิงมาถึง ชั้นสี่สิบเก้าที่สูงสุดของหอยคอยลิ่วอูมีผู้เฒ่านิ่งสงบราวห้วงราตรียืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่

เมี้ยว~

เจ้าแมวขี้เกียจตัวใหญ่สีเงินเข้มปรากฏกายบนขอบๆ ของหอคอย จุดสีดำที่ขยายใหญ่ออกอย่างช้าๆ ปรากฏขึ้นในครรลองสายตา

“มีแขกมาเยือนแล้ว”

ปราชญ์ลิ่วอูเปิดปากเอ่ยช้าๆ มีท่าทีราวกับว่ารอคอยอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานแล้ว

สวบ!

เวลาเดียวกัน สัตว์วิเศษตัวหนึ่งโบยบินมาแล้วร่อนลงเบื้องหน้าหอคอยปราชญ์ลิ่วอู

“เจ้ารออยู่ด้านล่าง” จ้าวเฟิงเอ่ยกำชับให้จงหว่านเอ๋อร์รออยู่ด้านล่างหอคอย

จงหว่านเอ๋อร์รู้สึกอับอายอย่างยิ่ง ยอดหญิงงามในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดคนหนึ่งกลับต้องมาเป็นเหมือนเด็กเลี้ยงม้าหรือคนเฝ้าประตู

ความจริงแล้วจ้าวเฟิงเพียงไม่อยากให้จงหว่านเอ๋อร์ล่วงรู้ความลับของตนเอง

“เชิญนายท่าน!” นักบวชหญิงผู้มีวงหน้างามดั่งจันทร์เพ็ญของหอคอยลิ่วอูเอ่ยปากเชื้อเชิญจ้าวเฟิงให้ขึ้นไปด้านบน

เมี้ยว~

เมี้ยว เมี้ยว!

บนชั้นที่สี่สิบเก้าบนหอคอยสูง เจ้าแมวขโมยตัวน้อยและเจ้าแมวขี้เกียจตัวใหญ่ต่างร้องเสียงเย็นใส่กัน

นัยน์ตาที่คล้ายเต็มไปด้วยหยดน้ำของปราชญ์ลิ่วอูหยุดลงบนร่างของจ้าวเฟิง สว่างขึ้นวาบหนึ่ง ก่อนเผยแววตื่นตกใจออกมา

“คำ…สาป…มรณะ”

ปราชญ์ลิ่วอูเอ่ยด้วยน้ำเสียงขมขื่นเล็กน้อย เหมือนว่าจะเอ่ยแต่ละคำออกมาอย่างตะกุกตะกักด้วยซ้ำไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!