บทที่ 767 ขวางทาง
จ้าวเฟิงดูคร่าวๆ ครู่หนึ่ง พื้นฐานของวายุอัสนีสามขั้นต้นไม่ได้ยากอะไรเลยสำหรับเขา
ด้วยเพราะในช่วงชีวิตก่อน เขาฝึกมรดกวายุอัสนีไปจนถึงระดับสุดยอดแล้ว
‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ใช้พลังของวายุอัสนีเป็นแกนกลางสำคัญ
ด้วยเหตุนี้พื้นฐานสามขั้นต้นจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ใช้เวลาสองชั่วยาม จ้าวเฟิงก็ลึกซึ้งและปรุโปร่งในสามขั้นแรกของ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’
เขามองออกว่าสามขั้นแรกนี้เป็นการกลั่นให้บริสุทธิ์และรวมตัวก่อนหน้า ‘วายุอัสนีพิฆาตสีม่วง’ ของมรดกวายุอัสนีในชีวิตก่อน
ไม่เพียงแต่เป็นการกลั่นให้บริสุทธิ์เท่านั้น ยังเพิ่มความแข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบที่เกินจะคาดถึงด้วย
“วิชาวายุอัสนีห้าสายที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปแล้วสูงส่งดังคาด ถึงจะเป็นพื้นฐานเหมือนกันแต่ก็สูงส่งกว่ามรดกวายุอัสนีช่วงต้นอย่างยิ่ง” จ้าวเฟิงอดจะชมเชยไม่ได้
แน่นอน ในฐานะที่เป็นพื้นฐานในขั้นต้น อานุภาพจึงไม่ได้ต่างกันมากนัก
ข้อดีที่สำคัญที่สุดของวิชาระดับสูงคือมีศักยภาพสูงกว่า
อย่างเช่น หากมีระดับพลังเดียวกัน ก็จะสิ้นเปลืองน้อยลงกว่าเดิม หรือไม่พลังฟื้นฟูหรือว่าระดับความบริสุทธิ์ของพลังดั้งเดิมก็มีข้อได้เปรียบบางอย่าง
แต่ว่าสำหรับจ้าวเฟิงที่มีพลังจักรพรรดิแล้ว จุดที่ทำให้เขาถูกใจยังเป็นภาพในอนาคตของมรดกวิชา
“สามขั้นต้น สามารถฝึกได้แล้ว” จ้าวเฟิงครุ่นคิด แต่กลับไม่ได้ฝึกตนในทันที
ก่อนที่จะฝึกเขามีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ
อย่างแรก เขาดื่ม ‘น้ำอมฤต’ จากภายในแหวนเหล็กโบราณเข้าไปอึกหนึ่ง
น้ำอมฤตสามารถเพิ่มอายุขัยได้พันปี แล้วยังมีผลเหมือนเกิดใหม่ สามารถพัฒนาร่างกายและเปลี่ยนแปลงระดับขั้นชีวิตได้
และที่สำคัญก็คือผลของน้ำอมฤตอ่อนโยนยิ่งนัก สอดคล้องกับสายเลือดที่จำเป็นต่อชีวิต
ถึงเป็นคนธรรมดาผู้หนึ่ง เมื่อดื่มน้ำอมฤตลงไปก็สามารถดูดซึมและย่อยสลายอย่างช้าๆ ตามวันเวลาที่เพิ่มขึ้น
จ้าวเฟิงย่อมไม่อาจให้น้ำอมฤตย่อยสลายอย่างเชื่องช้าเช่นนั้น
เขาจึงรีบกระตุ้นเจตจำนงและพลังในทันที เพื่อให้ผลของน้ำอมฤตกระจายไปทั่วทุกมุมของร่างกาย
พรสวรรค์ของร่างกายนี้เดิมก็ไม่เลวนัก สัดส่วนในการดูดซึมน้ำอมฤตจึงค่อนข้างสูง
สามวันต่อมา
แก่นแท้ร่างกายและชีวิตของจ้าวเฟิงล้วนแต่เพิ่มขึ้นราวติดปีก พื้นฐานได้หยั่งรากลึกไว้แล้ว
ในช่วงเวลาดังกล่าว ร่างกายของเขาก็ได้ขับเอาเมือกและของเสียออกมาหลายครั้ง
ยามนี้ หากจะเอ่ยแต่เรื่องสภาวะวิญญาณ พื้นฐานของจ้าวเฟิงก็อยู่เหนือขั้นนายเหนือแท้ เข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด
ในฐานะที่เป็นขั้นมนุษย์แท้ สวรรค์แรกในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง นี่ก็เป็นพื้นฐานและส่วนแฝงในพลังที่ล้ำหน้าไปแล้ว
อีกทั้งผลลัพธ์ของน้ำอมฤตก็ยังย่อยสลายไปเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
“ดีมาก! การฝึกตนใหม่ในครั้งนี้ ข้าจะต้องทำให้ส่วนแฝงและพื้นฐานสูงส่งล้ำลึกกว่าเดิม”
จ้าวเฟิงลอบผงกศีรษะ
ต่อจากนั้น เขาถึงเริ่มต้นฝึกฝน ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ นั้นอย่างเป็นทางการ
สามขั้นต้นเป็นพื้นฐานของวายุอัสนี สำหรับจ้าวเฟิงแล้วไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยแม้แต่น้อย
พลังดวงวิญญาณของเขาสอดประสานกับฟ้าดินได้อย่างสบายๆ ดึงเอาพลังวายุอัสนีหลอมรวมเข้าภายในร่าง ฝึกฝนร่างกาย แทรกซึมเข้าไปในเส้นลมปราณ
ด้วยเพราะขอบเขตพลังที่สูงส่ง จ้าวเฟิงจึงลึกซึ้งในพลังวายุอัสนีของโลกภายนอกที่บริสุทธิ์อย่างยิ่ง
คาดเดาได้ว่า พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงน่าจะอยู่เหนือพื้นฐานวายุอัสนีสามขั้นต้นไปแล้ว
ในด้านของทรัพยากร
ภายในแหวนเหล็กโบราณของจ้าวเฟิงยังมีสมบัติและหินผลึกอัสนีอีกส่วนหนึ่งที่เขาเคยทิ้งไว้จากช่วงชีวิตก่อน ซึ่งเป็นทรัพยากรส่วนน้อยที่ไม่เหมาะจะใช้ตอนนี้
เวลาเพิ่งจะผ่านไปครึ่งชั่วยาม
ภายในร่างของจ้าวเฟิงก็มีพลังที่แท้จริงของวายุอัสนีเส้นสายหนึ่งเกิดขึ้น คุณสมบัติของมันสูงส่งกว่าพลังที่แท้จริงในศาสตร์อัคคีภายในจุดตันเถียน
เจ้าของเดิมของร่างกายนี้ฝึกตนในศาสตร์อัคคี
แต่เพราะว่าระดับขั้นต่ำ พื้นฐานไม่ล้ำลึก จึงไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนักต่อการฝึกฝนอีกครั้งของจ้าวเฟิง
ในขณะที่เวลาผ่านไป
พลังที่แท้จริงของวายุอัสนีเส้นสายหนึ่งค่อยๆ หลอมรวมเข้าไปภายในจุดตันเถียน ทั้งยังกลมกลืนและชะล้างพลังที่แท้จริงในศาสตร์อัคคีที่มีมาแต่เดิมด้วย
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นขอบเขตของราชัน ภายในจุดตันเถียนก็จะกลายเป็นมิติปราณที่แท้จริงที่เป็นแก่นผลึก ปราณที่แท้จริงวายุอัสนีสีทองในระดับขั้นสูงก็ไม่อาจจะใช้วิธีการเช่นนี้ทำลายไปได้
เวลานั้น หากคิดจะฝึกตนอีกครั้งก็ต้องลบล้างปราณที่แท้จริงวายุอัสนีทิ้ง
นี่เปรียบได้กับหอคอยขนาดใหญ่ ยิ่งระดับขั้นต่ำเท่าไหร่ การแก้ไขปรับปรุงในตอนหลังก็จะยิ่งง่ายขึ้น
อีกทั้งร่างกายของ ‘จ้าวเฟิง’ ยังถือว่าอยู่ในระดับขั้นพื้นฐาน ถึงขั้นว่ายังไม่มีหน่อต้นกล้าของเสวียนอ้าวเกิดขึ้น การฝึกตนใหม่จึงไม่มีความยากใดๆ
ใช้เวลาเพียงสามวัน ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ของจ้าวเฟิงก็ฝึกฝนไปถึงขั้นที่หนึ่ง
ผ่านไปอีกครึ่งเดือน จ้าวเฟิงก็ประสบความสำเร็จในการก้าวย่างเข้าสู่ขั้นที่สอง
ในเวลาดังกล่าว พลังที่แท้จริงศาสตร์อัคคีภายในร่างกายของเขาก็ถูกขจัดออกไปแล้วมากกว่าเก้าสิบเก้าส่วน
ภายในแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณ พลังที่แท้จริงวายุอัสนีอยู่ในสภาวะของเหลวที่ใสกระจ่างราวน้ำพุ มีจุดนั้นเป็นแหล่งกำเนิด แล้วโคจรทั่วร่างกายไม่หยุดหย่อน
“พลังฝึกตนของข้าในตอนนี้เท่ากับขั้นมนุษย์แท้ในระดับสุดยอด แต่ว่าข้าไม่ต้องการให้หน่อของเสวียนอ้าวผุดขึ้นมา” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ
พลังของราชัน พลังจักรพรรดิ ไม่รู้ว่าสูงส่งกว่าหน่อเสวียนอ้าวกี่ระดับขั้น
แต่ว่าในการฝึกตนครั้งนี้ จ้าวเฟิงจะค่อยๆ ขัดเกลาพลังของตนเองตามขอบเขตพลังที่เพิ่มขึ้น
รอให้ถึงเวลาที่เขาฟื้นฟูพลังฝึกตนไปจนถึงขอบเขตปราณเทวะ แล้วในเวลานั้นพลังจักรพรรดิก็จะเหมือนกับโดนหลอมให้ร้อนระอุและตีใหม่ขึ้นอีกครั้ง ธาตุก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้องหนาแน่นและบริสุทธิ์กว่าเดิม
สรุปคือ การฝึกตนใหม่ในครั้งนี้จะทำให้ส่วนแฝงในพลังของจ้าวเฟิงยิ่งลึกซึ้งขึ้น หนทางเบื้องหน้าก็จะยาวไกลยิ่งขึ้น
เพียงชั่วพริบตาเดียว จ้าวเฟิงปิดผนึกฝึกตนเป็นเวลาสองเดือนแล้ว
ในเวลาดังกล่าว ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ของเขาฝึกไปจนถึงขั้นสองช่วงสุดยอด พลังฝึกตนแตะถึง ‘ขั้นผู้วิเศษแท้’
ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงแบ่งเป็นสามสวรรค์ ก็คือ ขั้นมนุษย์แท้ ขั้นผู้วิเศษแท้ และขั้นนายเหนือแท้
อัจฉริยะทั่วๆ ไปจะฝึกตนไปถึงขั้นผู้วิเศษแท้จะต้องใช้เวลาสิบปีขึ้นไป
ในกลุ่มนี้ คนในขั้นผู้วิเศษจะต้องลึกซึ้งในหน่อเสวียนอ้าวด้วย จึงทำให้คนในขั้นมนุษย์แท้ที่มีความลึกซึ้งไม่มากพอค้างอยู่จุดนี้ไปชั่วชีวิต
แต่ทว่า จ้าวเฟิงฝึกตนใหม่อีกครั้ง ใช้เวลาเพียงสองเดือนก็สามารถไปถึงขั้นผู้วิเศษแท้แล้ว
“ในด้านความเร็วยังเชื่องช้ากว่าการใช้เลือดคืนชีวิตของเด็กน้อยครึ่งเซียนครึ่งส่วน”
จ้าวเฟิงจำใจต้องยอมรับอย่างเสียไม่ได้
การใช้เลือดคืนชีวิตสามารถสร้างกายเนื้อที่เหมือนกับก่อนตายออกมาได้อย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งครึ่งเซียนคุนอวิ๋นที่ใช้เลือดบริสุทธิ์คืนชีวิต สืบทอดแก่นแท้ไอสวรรค์และสายเลือดของในชีวิตก่อน
ถึงจะเป็นเลือดเพียงหยดเดียวของครึ่งเซียน ก็ล้ำลึกกว่าพื้นฐานของจ้าวเฟิงเป็นร้อยเท่าตัว
แต่หลังครึ่งเซียนคุนอวิ๋นถือกำเนิดใหม่จากเลือดหยดเดียว ในด้านการฟื้นฟูพลังฝึกตนก็ยังเลือกเดินวิถีแบบเดิม
“กายสายฟ้าปฐพีทองที่ข้าฝึกใหม่ควบคู่ไปพร้อมกับวายุอัสนีห้าสายจะอยู่เหนือวิชาของครึ่งเซียนคุนอวิ๋น”
จ้าวเฟิงเข้าใจว่าต้องมีทั้งได้และเสียด้วย
คนอย่างเขาที่ชิงร่างถือกำเนิดใหม่เพื่อคลี่คลายคำสาปมรณะ แต่ว่ากลับสูญเสียสายเลือดเกล็ดมังกรเหมันต์ มีได้ก็ต้องมีเสีย
หลังจากปิดผนึกติดต่อกันเป็นเวลาสองเดือนแล้ว จ้าวเฟิงจึงออกจากการฝึกฝนบำเพ็ญ ไม่ได้ฝึกตนต่อไปอีก
ถ้าหากว่ายินยอมแล้วล่ะก็ จ้าวเฟิงปิดผนึกเพื่อฝึกตนต่อครึ่งปีในคราเดียว เขาจะไปถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเป็นอย่างน้อย
แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจะหลีกเลี่ยงการตื่นตระหนกของคนไม่ได้ ถึงจะประกาศศักดาแต่ก็ต้องมีขีดจำกัดด้วย
และนอกจากนี้ยังมีเหตุผลที่สำคัญอีก
จ้าวเฟิงยังต้องฝึก ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ควบคู่ไปด้วย วิชาทั้งสองนี้ไม่สามารถทิ้งระยะห่างจากกันได้มากนัก
แต่ว่า ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ เป็นวิชาในการฝึกร่างกาย ต้องอาศัยทรัพยากรสำหรับฝึกร่างส่วนหนึ่งด้วย เพื่อให้ผลลัพธ์ของมันดีเยี่ยมที่สุด ซึ่งของเหล่านี้จ้าวเฟิงยังไม่มีในครอบครอง
ที่จริงแล้ว จ้าวเฟิงฝึกเพียงแต่ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ อย่างเดียวก็ได้ เพราะจะไวกว่าเล็กน้อย
แต่ว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธความเย้ายวนของ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ได้เลย
หลังจากที่ฝึกกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์สำเร็จแล้ว ไม่เพียงจะมีร่างคงกระพัน ทว่ายังสามารถใช้วิธีการถือกำเนิดใหม่จากเลือดหยดหนึ่งดั่งเลือดครึ่งเซียนคุนอวิ๋น
และข้อได้เปรียบที่สุดก็คือกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์จะมีส่วนช่วยรับมือกับ ‘ด่านเคราะห์เซียน’ ในอนาคตอย่างยิ่ง
ด้วยเพราะจะทะลวงผ่านขอบเขตเซียนสวรรค์ ด่านเคราะห์เซียนเป็นภัยร้ายที่อันตรายที่สุดแล้ว
ในทันทีที่ฝึก ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ สำเร็จ ในอนาคตที่จ้าวเฟิงต้องรับมือกับพลังด่านเคราะห์อัสนีก็จะพอมีความหวังเพิ่มขึ้นอีกครึ่งขั้น ไม่แน่ว่าพอถึงเวลาดังกล่าวยังสามารถยืมด่านเคราะห์เซียนฝึกร่าง เพิ่มพลังได้ด้วย
ถึงแม้ว่าเรื่องพวกนี้จะเป็นเรื่องในอนาคตอีกยาวไกล แต่ว่าจ้าวเฟิงจะไม่คิดเรื่องพวกนี้ไม่ได้
ในขณะที่จ้าวเฟิงกำลังออกจากการเข้าฌาน ด้านนอกของที่พักอาศัยก็ปรากฎแขกหลายคน
ในนั้นยังมีขอบเขตแก่นก่อกำเนิดสองคนด้วย
“จ้าวเฟิง ได้ยินมาว่าเจ้ามี ’วิหคนิลกาฬ’ ที่ฝึกไว้เชื่องแล้ว พอจะแลกเปลี่ยนได้หรือไม่?”
หนึ่งในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลายผู้หนึ่งเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น
“ต้องขออภัยด้วย วิหคนิลกาฬไม่รับแลกเปลี่ยน” จ้าวเฟิงส่ายศีรษะ เอ่ยปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
แต่ว่ายังมีคนส่วนหนึ่งอาลัยอาวรณ์ ไม่ยอมถอดใจ
“จ้าวเฟิง! อาจารย์ของข้าเป็นรองเจ้าหอของหอเสวียนฝ่า มีแววว่าจะทะลวงผ่านไปยังขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันในขอบเขตปราณเทวะ หากว่าเจ้ายอมมอบ ‘วิหคนิลกาฬ’ ให้ ย่อมต้องส่งผลดีต่อเจ้าในอนาคตอย่างแน่นอน”
ชายหนุ่มรูปร่างค่อนข้างอ้วนผู้หนึ่งในนั้นเอ่ยอย่างมั่นใจและยโสโอหัง
จ้าวเฟิงรู้จักบุรุษหนุ่มร่างอวบอ้วนนี้ เขาเป็นลูกศิษย์คนสำคัญเช่นกัน มีนามว่า ‘หวังหยวน’
ด้วยพรสวรรค์ของจ้าวเฟิง ความจริงแล้วในยามที่เพิ่งเข้าร่วมสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ก็มียอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงจำนวนมากและครึ่งก้าวสู่ราชันผู้หนึ่งคิดที่จะรับเขาไว้เป็นศิษย์
แต่ว่าจ้าวเฟิงอยากจะใช้ความสามารถที่โดดเด่นของตนเข้าเป็นศิษย์ของราชันในอีกสองปีข้างหน้า
นี่ก็เป็นความประสงค์ของตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆาเช่นกัน
ตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆาเองก็มียอดผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง มีเพียงแต่การเป็นศิษย์ของราชันถึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงดวงชะตาของจ้าวเฟิงรวมไปถึงตระกูลของตนด้วย
“ไป ไป ไป…ถึงแม้จะเป็นราชัน ข้าก็ไม่มีวันแลกเปลี่ยนด้วย”
ในที่สุดจ้าวเฟิงก็อดรนทนไม่ไหว โบกมือพลางเอ่ย
ภาพนี้ทำให้ชายร่างอวบนามว่า ‘หวังหยวน’ ซึ่งอยู่ในกลุ่มคนมีสีหน้าพิลึกพิลั่น
“อยู่แค่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงก็เท่านั้น ยังบังอาจถึงเพียงนี้!”
รุ่นอาวุโสในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำของสำนักผู้หนึ่งเกรี้ยวกราดขึ้นทันใด
จ้าวเฟิงยิ้มเย็นไม่ตอบอะไร สะบัดมือครั้งหนึ่งก็ปรากฏควันเพลิงดุจเงาของวิหคนิลกาฬขึ้นด้านหน้าร่างกาย
พลังที่แข็งแกร่งของวิหคนิลกาฬกดดันคนหลายคนที่อยู่ใกล้เคียงจนต้องถอยออกห่าง
คนทั้งหลายมองจ้าวเฟิงนั่ง ‘วิหคนิลกาฬ’ ไปจนลับสายตา ขบฟันแน่นเพื่อไม่ให้ตะโกนด่าออกมา
จ้าวเฟิงจากไปไม่นาน เงาของศิษย์พี่ก่วงก็ปรากฏขึ้นในละแวกดังกล่าว แถมยังอยู่ร่วมกันกับชายรูปร่างท้วมอย่าง ‘หวังหยวน’ ด้วย
“เจ้าเด็กคนนี้โอหังกว่าที่คิดเอาไว้มาก” หวังหยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“จิจิ๊ เจ้าเด็กคนนี้มันมารยาทแย่ ครู่เดียวก็มีปัญหากับคนไปทั่ว นิสัยของเขาต่อให้มีตระกูลในระดับกลางคอยหนุนหลังอยู่ ก็เกรงว่าจะอยู่รอดในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นได้ไม่นานเท่าไหร่”
ศิษย์พี่ก่วงกลับทำท่าทีราวรอดูเรื่องสนุกอยู่อย่างนั้น
เป็นเขาที่จงใจป่าวประกาศเรื่องที่จ้าวเฟิงครอบครอง ‘วิหคนิลกาฬ’ เอาไว้
บ้านสกุลอินได้ตกปากรับคำกับเขาเอาไว้ ขอเพียงแค่ ‘จ้าวเฟิง’ ตายไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เขาก็จะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล
อีกทั้งจ้าวเฟิงเหมือนว่าจะได้โชคอะไรมา พลังฝึกตนรุดหน้าไปมาก แล้วยังได้ครอบครอง ‘วิหคนิลกาฬ’ ทำให้ศิษย์พี่ก่วงลอบอิจฉาริษยา
“วูบ!”
วิหคเพลิงทมิฬที่เป็นดั่งเงาร่อนลงยังป้อมปราการแลกเปลี่ยนซื้อขายแห่งหนึ่งในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
พื้นที่ของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นกว้างขวางอย่างยิ่ง
เพียงแค่ที่ตั้งของสำนักก็มีขนาดเท่ากับแคว้นเมฆาคล้อยหรือเท่ากับแคว้นเล็กๆ แห่งหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ จ้าวเฟิงจึงไม่จำเป็นต้องเดินทางออกจากสำนักก็สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ส่วนมากได้
นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่จ้าวเฟิงเลือกอยู่ที่ ‘สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น’ เป็นการชั่วคราว
รอให้เขาเติมเต็มความปรารถนาของเจ้าเด็กผู้นี้ที่อยากจะทะลวงผ่านขั้นราชันหรือขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันเป็นอย่างน้อยก่อน ถึงจะเดินทางไปที่ราชวงศ์แห่งดินแดนทวีป
ปราการที่อยู่ด้านหน้ามีรัศมีหลายสิบลี้ ลักษณะเหมือนตำหนักวิญญาณทะเลความว่างเปล่าขนาดย่อมๆ แห่งหนึ่ง ใช้เป็นที่แลกเปลี่ยนของสมาชิกภายในสำนักโดยเฉพาะ
จ้าวเฟิงเก็บวิหคนิลกาฬไป เจ้าแมวขโมยตัวน้อยนั่งบนบ่าของเขา นัยน์ตากลอกกลิ้งไปมา
หมดเวลาไปครึ่งค่อนวัน
จ้าวเฟิงจึงแลกเปลี่ยนเอาทรัพยากรส่วนหนึ่งที่มีส่วนช่วยในการฝึกร่างกายมา และในเวลาเดียวกัน เขายังขายทรัพยากรในช่วงชีวิตก่อนที่ไร้ประโยชน์ต่อตัวเขาในตอนนี้ออกไป
แน่นอนว่าทรัพยากรระดับสูงมากพอจะดึงดูดความสนใจของคนขั้นครึ่งก้าวสู่ราชันขึ้นไป จ้าวเฟิงยังไม่ได้เอาออกมาในทันที
“จ้าวเฟิง! หยุดอยู่ตรงนั้น!” จ้าวเฟิงเพิ่งจะเดินออกมาจากปราการแลกเปลี่ยนค้าขาย ก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งขวางเอาไว้
คนกลุ่มนี้ล้วนแต่เป็นลูกศิษย์หลัก ประกอบด้วย ‘หวังหยวน’ ผู้มีรูปร่างท้วมน้อยๆ เมื่อคราวก่อนซึ่งเป็นแกนนำ และยังมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนในกลุ่มนั้นที่ทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจ