บทที่ 77 : ขั้นเจ็ดแห่งหนทางผู้ฝึกตน วิชาเซียน
ในเสี้ยวพริบตา เหล่ยเฮาและจ้าวเฟิงก็ได้ปะทะกันหลายครั้ง พลังจากการปะทะนั้นทำให้ผู้ที่อยู่รอบข้างต้องถอยหนีในทันใด
ดรรชนีดารา!
จ้าวเฟิงพุ่งเข้าไปหาแทนที่จะล่าถอยเมื่อดวงตาซ้ายของเขาสามารถจับความเปลี่ยนแปลงของพลังภายในและโลหิตได้
ตูม! ตูม! ตูม!
ดรรชนีดาราของเด็กหนุ่มได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับสี่ และเขาสามารถยิงดรรชนีออกไปได้นับสิบในเสี้ยววินาที เส้นแสงสีครามลอยลิ่วไปทั่ว ทุกๆ ดรรชนีล้วนถูกส่งออกด้วยความสมบูรณ์แบบและพลังทำลายที่มากล้น
ในชั่วระยะเวลาสั้นๆ จ้าวเฟิงและเหล่ยเฮานั้นเท่าเทียมกัน เหล่ยเฮามีข้อได้เปรียบในด้านพลังฝึกตนที่สูงกว่า ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้การโจมตีวงกว้างได้ ในขณะที่จ้าวเฟิงนั้นมีดรรชนีเหนือดาราที่เทียบเท่าได้กับการโจมตีของผู้ฝึกตนขั้นเจ็ด
ในด้านของความเร็วการโจมตีนั้น จ้าวเฟิงรวดเร็วกว่าและได้เป็นผู้ที่จู่โจมก่อน
วายุสุดท้ายทลายฟ้า!
ฝ่ามือของเหล่ยเฮาระเบิดออกและส่งม่านสายลมไปทางจ้าวเฟิง
“ฝ่ามือลมลี้ลับ!”
จ้าวเฟิงพลันหลอมรวมเข้ากับภาพของเด็กสาวในความทรงจำ การต่อสู้ทั้งหมดที่เขาได้ผ่านมาทำให้ฝ่ามือนี้กระทั่งแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อน ฝ่ามือทั้งสองเข้าปะทะกัน ทว่าฝ่ามือสีครามของจ้าวเฟิงนั้นราวกับกลืนกินสายลมทั้งหมดและสลายการโจมตีของอีกฝ่าย
“เป็นวิชาประเภทใดกัน…?”
เหล่ยเฮาชะงักงัน วิชาที่เขาเพิ่งจะใช้ออกนับเป็นหนึ่งในวิชาที่ดีที่สุดของเขา
กระบวนท่าลมเคลื่อน!
ร่างของจ้าวเฟิงพลันกลายเป็นคล่องแคล่วว่องไว เขานั้นราวกับร่ายรำไปกับสายลม บางครั้งใช้ออกด้วยฝ่ามือลมลี้ลับ บางครั้งใช้ออกด้วยดรรชนีดารา
ตูม! ฟิ้ว ปัง!
การปะทะของทั้งสองส่งคลื่นอัดอากาศออกไปบดขยี้ทุกสิ่งรอบทิศ
สิบกระบวนท่า ยี่สิบกระบวนท่า สามสิบกระบวนท่า…
พลังภายในและวิชาของจ้าวเฟิงถูกลับให้แหลมคมขึ้นเรื่อยๆ การเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ได้ช่วยกระตุ้นความสามารถที่ซ่อนอยู่ภายในของเด็กหนุ่ม ดรรชนีดาราของเขาได้เข้าไปอยู่ในขั้นสุดยอดของขั้นสี่อย่างเต็มที่และวิชากำแพงเหล็กของเขาก็ได้เข้าสู่ขั้นปลายของระดับห้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทั้งหมดทำให้เขาสามารถปะทะกับจอมยุทธ์ได้โดยตรงโดยไม่พ่าย
หลังจากกระบวนท่าที่หนึ่งร้อยหรือประมาณนั้น ทั้งสองจึงเริ่มเหนื่อยหอบ จ้าวเฟิงรู้สึกว่าพลังภายในของเขากลายเป็นบริสุทธิ์ขึ้นและมีความรู้สึกพลุ่งพล่านอยู่ภายใน
“นี่…”
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ว่าพลังฝึกตนของเขาได้ก้าวไปอีกขั้นและเริ่มที่จะทะลวงกำแพงสุดท้ายแล้ว
“การประลองของวันนี้จบลงตรงนี้”
ร่างของจ้าวเฟิงพลันจากไปจากลานประลองและกลับไปยังห้องไม้ของเขา เหล่ยเฮาไม่ได้ได้เปรียบในการประลองแม้แต่น้อยและเขารู้สึกเหนื่อยอ่อนเล็กๆ เช่นกัน เขาตระหนักว่านั่นเป็นเพราะว่าพลังฝึกตนของเขายังไม่คงที่
ในบ้านไม้ที่ห่างไกล เฟิงฮันเยว่ยืนมองไปทางลานประลอง
“ศิษย์พี่เฟิง ท่านคิดเช่นไรเกี่ยวกับการประลอง?” หนึ่งในเด็กหนุ่มเอ่ยถาม
“เหล่ยเฮาเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นเจ็ดและเขานั้นค่อนข้างไร้ประโยชน์ ส่วนสำหรับจ้าวเฟิง เขาอาจจะคุกคามข้าได้หากเขาเข้าสู่ขั้นเจ็ด” สีหน้าของเฟิงฮันเยว่สงบนิ่ง
ในตอนนั้น กลิ่นอายของเขานั้นใกล้เคียงกับขั้นสุดยอดของขั้นเจ็ด มันชัดเจนว่าเขาได้พัฒนาขึ้นจากภารกิจครั้งนี้
ภายในห้องไม้
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิและเริ่มโคจรพลังภายในของเขา ในระหว่างการประลองนั้นความสามารถของเขาได้ถูกกระตุ้น ในตอนนี้เขากระทั่งรู้สึกว่าพลังภายในของเขานั้นกำลังคำรามอย่างทรงพลังขณะที่มันไหลเวียนไปทั่วร่าง ทั้งปริมาณและคุณภาพเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คืนนั้นพลังภายในของเด็กหนุ่มได้พยายามที่จะไหลออกจากร่างของเขาและในที่สุดเขาก็สามารถควบรวมมันได้ เป็นเพราะว่าเขามีประสบการณ์ในการทำให้พลังภายในของเขาออกไปจากร่างด้วยดรรชนีดารา เขาจึงสามารถทะลวงขั้นได้สำเร็จ
“มันใช้ได้!”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกและคลายฝ่ามือออก แสงสีเขียวส่องประกายผลุบออกจากฝ่ามือจากนั้นจึงกลับเข้าไปภายในร่างของเขา ในเสี้ยววินาที เขาลำบากเพียงคิดในการระเบิดพลังภายในของเขาออกและส่งร่างของผู้ฝึกตนให้กระเด็นลอยออกไป มีเพียงตอนนี้ที่จ้าวเฟิงได้ตระหนักว่าผู้ฝึกตนขั้นเจ็ดนั้นแข็งแกร่งเพียงใด เด็กหนุ่มใช้เวลาเพียงหนึ่งวันในการควบคุมพลังของเขาได้อย่างสมบูรณ์ กระทั่งเหนือกว่าเหล่ยเฮา
หากเขาใช้ดรรชนีดารา พลังของมันจะอยู่ในระดับใหม่โดยสิ้นเชิง และเมื่อพลังฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้น วิชากำแพงเหล็กจึงได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นห้าเช่นกัน
วิชากำแพงเหล็กนั้นแบ่งออกเป็น 7 ระดับ และระดับ 6 นั้นคือการสร้างม่านพลังป้องกันโดยใช้พลังภายในซึ่งแม้กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นเจ็ดและขั้นแปดก็ไม่อาจทำลายได้โดยง่าย จากรายละเอียดที่เขียนไว้ในตำรานั้น หากคนผู้หนึ่งสามารถเข้าสู่ระดับ 7 ได้ ร่างกายของพวกเขาจะสมบูรณ์แบบ
เมื่อคิดถึงมันในตอนนี้ จ้าวเฟิงก็คิดว่าบางอย่างนั้นผิดพลาดเพราะเมื่อถึงระดับนั้น มันจะเหนือกว่าขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์เว้นเสียแต่มันจะมีช่องว่างระหว่างระดับ 6 และระดับ 7 ดวงตาของจ้าวเฟิงเปล่งประกายระยับยามที่คิดถึงผู้เป็นปู่ของจ้าวหยูเฟ่ย ชายชราแขนเดียว
เมื่อพวกเขาแลกเปลี่ยนกันนั้น ชายชราเองก็ได้เปลี่ยนแปลงบางสิ่งบนวิชากำแพงเหล็ก เช่นเดียวกับที่เขาเก็บข้อมูลส่วนหนึ่งไว้ เขาไม่ได้คิดถึงปัญหาเหล่านี้มากเพราะเขาได้ทะลวงเข้าสู่ขั้นเจ็ดแล้วและสามารถเลือกรางวัลของเขาได้
“วิชาเซียน! ดูเหมือนว่านี่จะเป็นสิ่งที่สวรรค์ต้องการมอบให้ข้า…” จ้าวเฟิงพยายามกดความตื่นเต้นเอาไว้
วันนี้เป็นวันที่เขาต้องให้คำตอบแก่องครักษ์สาม
ณ ตึกใจกลางลาน
“เจ้าตัดสินใจเลือกวิชาเซียน?” องครักษ์สามรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ ยามที่จ้องไปยังเด็กหนุ่มเบื้องหน้า
เขาไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นเจ็ดและกลายเป็นจอมยุทธ์ได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงนี้
“ขอรับ” น้ำเสียงของจ้าวเฟิงแน่วแน่
“ได้ ตามข้ามา” กองกำลังกว่านจวินหนุ่มไม่ได้เอ่ยอันใดมากขณะที่เขานำทางเด็กหนุ่มไปยังคลังสมบัติ
คลังสมบัตินั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักกว่านจวิน มักจะมีจอมยุทธ์ขั้นเก้าสองคนคอยเฝ้าดูสถานที่แห่งนี้ และการที่จะเปิดหอตำราวิชาเซียนนั้นจอมยุทธ์ขั้นเก้าทั้งสองต้องตกลง
“เปิดหอตำราวิชาเซียน?” ทั้งสองผงะไปชั่วครู่
ในตำหนักกว่านจวินนั้น คนผู้นั้นต้องได้รับคำอนุญาตจากเจ้าเมืองกว่านจวินเสียก่อน
“เปิดหอตำราวิชาเซียน” องครักษ์สามนำตราสีทอง เงิน และดำออกมา
คำสั่งจากเจ้าเมืองกว่านจวิน!
สองจอมยุทธ์ขั้นเก้าพลันค้อมคำนับ ตราสีเงินและทองนั้นแทนตัวของเจ้าเมืองกว่านจวิน นอกจากนั้นองครักษ์สามนั้นยังเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของกองกำลังกว่านจวินและดูแลกองพันองครักษ์ฟ้าเพราะเจ้าเมืองกว่านจวินได้ปิดด่านฝึกตนอยู่
สถานะของเขานั้นสามารถมองเห็นได้จากตราที่เขานำออกมา ผู้ฝึกตนขั้นเก้าทั้งสองนำทางไปยังสิ่งก่อสร้างสีเงินอมดำเหล็ก ทั้งตัวสิ่งก่อสร้างนั้นไม่มีหน้าต่าง มันมีเพียงประตูสีดำสนิทซึ่งมีรูอยู่ที่ใจกลาง
องครักษ์สามเดินไปยังประตูและทาบตราของเจ้าเมืองกว่านจวินลงไป
วิ้ง
ประตูสีดำสนิทค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ และเผยทางเข้าสู่ด้านใน
“เจ้าสามารถเลือกวิชาเซียนได้หนึ่งวิชา”
องครักษ์สามนำจ้าวเฟิงเข้าไปด้านในก่อนจะปิดประตูลง
ในห้องมืดนั้นปรากฏแผ่นหยกส่องประกายราวๆ 20 อัน พวกมันปรากฏชื่อของวิชาสลักอยู่
วิชาวายุมายา ฝ่ามือโลหิตเซียน กรงเล็บมารสวรรค์ เงื้อมมือทลายฟ้า วิชากำแพงเงิน…
“แผ่นหยกทุกๆ อันเป็นตัวแทนของวิชาเซียน เมื่อเจ้าตัดสินใจได้ว่าเจ้าต้องการวิชาใด เจ้าสามารถนำมันออกมาและยืมได้เป็นเวลาเจ็ดวันจากนั้นจึงส่งกลับ สิ่งที่เจ้าจะได้รับนั้นขึ้นอยู่กับความใจและภูมิความรู้ของเจ้า” กองกำลังกว่านจวินหนุ่มเอ่ยบอก
จ้าวเฟิงรู้ว่าแผ่นหยกเหล่านี้เป็นเพียงส่วนสรุปของวิชา วิชาจริงๆ นั้นต้องไปนำมาจากที่อื่น แม้กระทั่งวิชาเซียนเองก็มีไม่มากในห้องนี้ ทว่าทั้งหมดนั้นสมบูรณ์
วิชาวายุมายา: ร่างของผู้ฝึกกลายเป็นสายลมและสร้างร่างปลอมขึ้นได้ ขั้นสูงสามารถสร้างร่างปลอมได้ 9 ร่าง ระดับพลังฝึกตนที่ต้องการ: ขั้นเจ็ด
ฝ่ามือโลหิตเซียน: เปลี่ยนเนื้อของศัตรูให้กลายเป็นของเหลวและสามารถสร้างพิษร้ายขึ้นได้
กรงเล็บมารสวรรค์: กรงเล็บมารที่สามารถฉีกกระชากเหล็กให้กลายเป็นชิ้นได้ เมื่อฝึกฝนจนเข้าขั้นสุดยอดสามารถทำลายได้ทุกสิ่ง
หัวใจของจ้าวเฟิงสั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้เมื่ออ่านคำอธิบาย เมื่อเทียบกับพวกมันแล้ว วิชาที่เขาฝึกฝนมาก่อนหน้านั้นราวกับการละเล่นของเด็ก
หืมมมม?
ทันใดนั้น จ้าวเฟิงก็เห็นแผ่นหยกที่สลักไว้ว่า วิชากำแพงเหล็ก
“วิชากำแพงเหล็ก?”
ความยินดีของเด็กหนุ่มท่วมท้นขึ้น วิชากำแพงเหล็กของเขานั้นสามรารถเรียกได้ว่าเป็นฉบับอย่างง่ายของวิชากำแพงเงิน
วิชากำแพงเงิน: วิชาเสริมกายาที่เพิ่มแรงและพลังป้องกันของผู้ฝึก เมื่อฝึกฝนจนเข้าขั้นสุดยอด ร่างกายจะไม่ละลายในเปลวเพลิงและเหนือกว่าขีดจำกัดของมนุษย์
เมื่ออ่านคำอธิบาย วิชากำแพงเหล็กนั้นใกล้เคียงกับวิชากำแพงเงิน ทว่าอย่างหลังนั้นทรงพลังกว่า
เหนือกว่าขีดจำกัดร่างกายมนุษย์! ความคิดเช่นนั้นคืออันใดกัน?
จากสิ่งที่จ้าวเฟิงรู้ หากร่างกายของคนผู้หนึ่งพัฒนาสู่จุดสูงสุด พวกเขาสามารถก้าวเข้าสู่หนทางแห่งเซียนได้ด้วยร่างกายเพียงอย่างเดียว มันคล้ายกับขั้นสุดยอดของระดับห้าของวิชากำแพงเหล็ก เพียงตามัดกล้ามเนื้อของพวกเขาก็สามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนขั้นห้าขั้นหกได้
วิชากำแพงเงินนั้นเหมือนกัน คนผู้นั้นสามารถใช้เพียงร่างกายในการต่อสู้กับผู้ฝึกตนในหนทางแห่งเซียนได้
“ไม่แปลกใจเลยที่มันจะเป็นวิชาเสริมกายาระดับเซียน…” จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกและหันไปมองแผ่นหยกอื่นๆ