บทที่ 773 วายุอัสนีห้าสาย
จ้าวเฟิงมีทรัพยากรล้ำค่าในครอบครองจำนวนหนึ่งแล้ว จึงทุ่มเทความตั้งใจไปที่การฝึกฝน ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’
ต่อจากนี้เขาต้องการจะทะลวงผ่านกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์ในขั้นที่สาม
วิ้ง วิ้ง~
ร่างกายของจ้าวเฟิงแช่ในน้ำโอสถฝึกฝนร่างกาย ผิวกายปรากฏลวดลายวายุอัสนีเป็นเส้นๆ ลอยขึ้น ส่งเสียงดัง ‘แซ่ด แซ่ด’ กำลังฝึกฝนร่างกายไม่หยุด
โดยปกติแล้ว วิชาฝึกร่างกายมีพัฒนาการที่ค่อนข้างช้า ต้องการความแน่วแน่และตั้งใจอย่างมาก
ยังดีที่ในยามก่อนจ้าวเฟิงเคยกินของจำพวก ‘น้ำอมฤต’ ทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงคล้ายเกิดใหม่ก่อนแล้ว
ถึงแม้ว่าแก่นแท้ร่างกายของเขากำลังฝึกฝน ยังไม่ถึงขั้นลึกซึ้ง แต่ว่าระดับขั้นชีวิตกลับเข้าใกล้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต้น
การฝึกฝนกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์สามารถเอาวิชาวายุอัสนีมาช่วยฝึกฝนกายเนื้อ นี่เป็นข้อดีอย่างหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ ในสถานการณ์ที่ทรัพยากรพร้อมสรรพ พัฒนาการในการฝึกตนของเขาจึงยังคงราบรื่นดี สามารถใช้คำว่าก้าวหน้าอย่างบ้าคลั่งมาบรรยายได้
ยามที่จ้าวเฟิงกำลังฝึกตนนั้นเอง
วูบ! วูบ!
พลังมหาศาลของราชันสองสายเผยขึ้นด้านบนของที่พัก อากาศรอบบริเวณชวนให้ความรู้สึกกดดัน
ลำแสงสว่างค่อยๆ อับแสงลง ปรากฏเงาของชายหนุ่มสองคนขึ้น
ชายหนุ่มสองคนนี้เป็นยอดคนในฝูงชน ท่าทางไม่ธรรมดา
“องค์ชายแปด ที่นี่น่าจะเป็นที่พักของจ้าวเฟิงคนนั้น”
บุรุษหนุ่มคิ้วเข้มร่างกายกำยำผู้หนึ่ง สวมชุดสีดำตัวใหญ่ นัยน์ตาคู่นั้นดั่งอัสนี ให้ความรู้สึกกดดันและอึดอัดอย่างประหลาด
“ลั่วจุน เจ้าอย่าเพิ่งวุ่นวาย”
องค์ชายแปดผู้นั้นโบกมือขึ้นน้อยๆ เอ่ยปนยิ้ม “ถ้าหากว่าคนภายนอกล่วงรู้เข้าว่า ข้าโจวลู่ ใช้ความเป็นองค์ชายแย่งชิงเอาคู่หมั้นของผู้อื่นมา เช่นนั้นแล้วจะเป็นการทำให้ชื่อเสียงของราชวงศ์เสื่อมเสีย”
เมื่อเทียบกับลั่วจุนผู้มุทะลุ องค์ชายแปดเป็นคนสุขุมใจเย็นกว่า
ถึงจะไม่นับที่สถานภาพ ตัวขององค์ชายแปดก็เป็นอัจฉริยะอันดับต้นๆ ใบหน้าหล่อเหลาเอาการ
เวลาดังกล่าว
ในละแวกที่พักของจ้าวเฟิงมีคนที่รอดูความครึกครื้นอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย ด้วยเพราะมีราชันขอบเขตปราณเทวะสองคนมาเยือน
แล้วยิ่งไปกว่านั้น องค์ชายแปดและลั่วจุนเป็นอัจฉริยะในระดับต้นๆ ของราชวงศ์แห่งดินแดนทวีป
แน่นอนว่า ศิษย์จำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นไม่ได้ล่วงรู้ถึงสถานภาพของ ‘องค์ชายแปด’
“พี่ลั่ว? พวกท่านมาหาจ้าวเฟิงงั้นหรือ? เจ้าเด็กคนนี้เหมือนจะได้ยินข่าวคราวอะไรมา พอเดินทางมาถึงก็รีบปิดผนึกฝึกตนในทันที”
ศิษย์พี่ก่วงเดินไปด้านหน้าด้วยสีหน้าเลื่อมใส เขาย่อมต้องรู้จักลั่นจุนอยู่แล้ว
“เจ้าเด็กนี่จงใจหลบข้างั้นหรือ?”
ลั่วจุนสีหน้าเคร่งขรึมลงไป ในแววตามีความไม่พอใจพาดผ่าน
ตามที่ก่วงเถียนพูดคือ จ้าวเฟิงได้ยินข่าวว่าเขามาจึงรีบปิดผนึกเพื่อฝึกตน
นี่มันชัดเจนเลยว่าเป็นการกระทำที่ ‘ดันทุรัง’ อย่างยิ่ง ไม่ยอมที่จะถอนหมั้น
“พี่ลั่ว นี่คือวิสัยของคนทั่วไป” องค์ชายแปดกลับไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ บนใบหน้ายังประดับรอยยิ้ม
ในเมื่อลั่วสุ่ยเอ๋อร์โดดเด่นเช่นนี้ บ้านสกุลลั่วเองก็ถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ของดินแดนเกาะเทียนเฟิง
คนธรรมดาที่มักใหญ่ใฝ่สูงหวังจะเกาะ องค์ชายแปดย่อมสามารถเข้าใจได้
“จ้าวเฟิง! เจ้าเด็กเหิมเกริม เจ้าคิดว่าใช้วิธีการเช่นนี้แล้วจะได้แต่งงานกับน้องสาวข้างั้นเรอะ?” ลั่วจุนแค่นเสียงเย็นชา
พลังราชันมหาศาลที่ไร้รูปร่างปกคลุมทั่วเขตเรือนพักของจ้าวเฟิง
ค่ายกลป้องกันบริเวณเรือนพักอ่อนแสงลงไปในฉับพลัน เกิดเสียงแสบหูเหมือนว่าจะแตกสลายไปได้ทุกเมื่อ
ภายในเรือน
จ้าวเฟิงที่กำลังฝึกตนรู้สึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลับหัวเราะออกมาเสียงเย็น “เป็นคนชั่วที่ไหนกัน ที่นี่คือสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น จะยอมให้เกิดการกระทำที่อุกอาจเช่นนี้ได้อย่างไร”
สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นมีกฎของสำนักที่เข้มงวดอย่างยิ่ง
ในขณะที่ลูกศิษย์คนสำคัญปิดผนึกฝึกตน ถ้าหากว่าไม่มีสถานการณ์พิเศษก็จะไม่สามารถรบกวนได้
การกระทำเช่นนี้ของลั่วจุนเรียกได้ว่าเป็นการท้าทายสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
“พี่ลั่ว อย่าผลีผลามไป” องค์ชายแปดโจวลู่ขัดขวางการกระทำของลั่วจุน
ลั่วจุนโมโหอย่างยิ่ง แต่รู้ดีกว่า เขาไม่สามารถลงมือทำอะไรรุนแรงกับจ้าวเฟิงได้ในบริเวณของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
อีกทั้งฝ่ายที่อยากจะถอนหมั้นเป็นบ้านสกุลลั่ว ตามหลักศีลธรรมแล้วไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง
ในทางกลับกัน บทบาทของ ‘ผู้อ่อนแอ’ ทำให้จ้าวเฟิงได้เปรียบกว่าทั้งในแง่ของศีลธรรมและกฎเกณฑ์ต่างๆ
เวลานี้ ลั่วจุนและองค์ชายแปดตกอยู่ในสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วน
คนทั้งสองคาดไม่ถึงว่า แม้แต่หน้าของราชันจ้าวเฟิงยังไม่สนใจใยดีและไม่แสดงตัวออกมา
“พี่ลั่วอย่ากังวลใจไป ไม่ว่าช้าหรือเร็วเจ้าเด็กคนนี้ก็ต้องออกจากการฝึกตนอยู่ดี เขายังต้องรับรางวัลจากสำนัก แลกเปลี่ยนทรัพยากร และทำภารกิจอีกด้วย…”
ศิษย์พี่ก่วงเอ่ยอย่างเอาอกเอาใจ
ต่อจากนั้น เขาจัดแจงเสนอตัวเองรับผิดชอบส่งคนไปจับตาดูพฤติกรรมของจ้าวเฟิง
ทันทีที่จ้าวเฟิงออกจากฝึกบำเพ็ญตนเขาจะแจ้งข่าวไปยังลั่วจุนในทันที
“ดี! ข้ายังต้องรอจ้าวเฟิงผู้นั้นไปเขียนหนังสือถอนหมั้น หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาเล่นลูกไม้อะไรในวันข้างหน้า” ลั่วจุนผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ
ในความรู้สึกของเขา จ้าวเฟิงมีพฤติกรรมเล่นลูกไม้แล้ว เรื่องนี้จะต้องจัดการให้รอบคอบ ห้ามมีช่องโหว่ใดๆ
ยามที่ลั่วจุนและองค์ชายแปดกำลังจะหมุนตัวจากไปนั่นเอง
“ลั่วจุน องค์ชายแปด พวกท่านไม่ต้องมาอีกแล้ว การหมั้นหมายกับลั่วสุ่ยเอ๋อร์ผู้นั้น ข้าขอถอนหมั้น”
น้ำเสียงเรียบเรื่อยดังขึ้น
เมื่อเอ่ยจบ จ้าวเฟิงจึงโยนจดหมายที่เพิ่งเขียนเสร็จออกมานอกเรือนพัก
หมับ!
ลั่วจุนยื่นมือมารับจดหมายดังกล่าว
แล้วจึงเห็นว่าบนจดหมายฉบับนั้น มีตัวอักษรขนาดใหญ่สะดุดตาสามตัวเขียนเอาไว้ หนังสือหย่า!
อักษรดังกล่าวยังแฝงการโจมตีสำนึกรู้ที่แปลกประหลาดไว้ด้วย
ในยามที่ลั่วจุนและองค์ชายแปดมองเห็น ในใจก็พลันสั่นสะท้านไปเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ในขั้นต่ำกว่าราชันลงไปเลย
“หนังสือหย่า? เจ้าเด็กนี่! เจ้ากล้าขอถอนหมั้นน้องสาวข้าเชียวรึ!”
ลั่วจุนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง พลังมหาศาลของราชันสะเทือนไปทั่วฟ้าดิน
พลังมหาศาลที่น่าหวาดกลัวนั้นทำให้บรรดาลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้เคียงแต่ละคนแทบหยุดหายใจ ตื่นตกใจจนเนื้อตัวสั่นระริก
เมื่อมองเห็น ‘หนังสือหย่า’ สีหน้าขององค์ชายแปดดูสุดจะทนได้
“ลั่วจุน! พวกเจ้าจะเอาอย่างไรกันแน่? ข้าไม่อยากแต่งกับน้องสาวเจ้า นี่ก็เป็นความต้องการของพวกเจ้าพอดีไม่ใช่หรือ?” น้ำเสียงเย็นชาสะท้อนในอากาศ
ในโลกนี้ หนังสือขอถอนหมั้นจากฝ่ายชายก็คือหนังสือหย่า
โดยปกติแล้ว ฝ่ายหญิงจะไม่มีสิทธิ์เขียนหนังสือหย่า อย่างมากทำได้เพียงขอหย่าหลังจากแต่งงาน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องผิดศีลธรรม
ที่จ้าวเฟิงทำเช่นนี้เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม เขาคิดไม่ถึงว่าการฝึกบำเพ็ญของตนเองจะถูกรบกวนติดๆ กันหลายครั้ง
“เจ้า…”
ลั่วจุนคำรามเสียงต่ำ แต่กลับพูดอะไรไม่ออกอยู่บ้าง
ก็จริงอยู่ที่เขาคิดจะมาเจรจากับจ้าวเฟิงให้ถอนหมั้น แต่จ้าวเฟิงกลับตัดปัญหา ใช้ ‘กระดาษขอหย่า’ ซึ่งเป็นวิธีทั่วไปของโลกใบนี้ยกเลิกการหมั้นหมายเสีย
แต่เมื่อนึกขึ้นว่า น้องสาวผู้งามอันดับหนึ่งแห่งบ้านสกุลลั่วที่ยิ่งใหญ่ของตน กลับถูกเจ้าเด็กนี่ขอหย่า ในใจของลั่วจุนไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนแต่โกรธเกรี้ยวและไม่พอใจ
สีหน้าขององค์ชายแปดเกิดความไม่พึงใจเป็นครั้งแรก
เขาเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์ต้าเฉียน ถ้าหากชายาที่อภิเษกด้วยเคยถูกชายหนุ่มคนอื่นขอหย่ามา เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ถึงที่สุดแล้ว นี่ก็เป็นปัญหาเรื่อง ‘หน้าตา’ เท่านั้น
ในฐานะที่เป็นฝ่าย ‘แข็งแกร่ง’ กว่า บ้านสกุลลั่วคิดอยากจะเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นก่อน แล้วจึงค่อยชดเชยให้กับสกุลจ้าว ก็เป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรม
ตามหลักแล้ว จ้าวเฟิงซึ่งเป็นฝ่ายชายขอถอนหมั้นมีเหตุผลและดูดีกว่ามาก แต่ว่านี่กลับทำลายชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของบ้านสกุลลั่วกับองค์ชายแปดอย่างยิ่ง
“จ้าวเฟิง! เจ้าจะต้องชดใช้กับการกระทำของเจ้าในวันนี้”
น้ำเสียงกราดเกรี้ยวของลั่วจุนดังกึกก้องไปทั่ว พลังมหาศาลของราชันทำให้ฟ้าดินรอบกายตกอยู่ในสภาพมืดมิด
จ้าวเฟิงที่อยู่ภายในเรือนพักสีหน้าแข็งกระด้าง
สิ่งที่ลั่วจุนผู้นี้ฝึกฝนกลับเป็นวิชาวารีอัคคีที่หายาก วิชาดังกล่าว หากคิดจะแก้การข่มกันของธาตุน้ำและไฟนั้น นับว่ามีความยากเอาการ
อีกทั้งลั่วจุนยังเหมือนจะมีโครงร่างของเขตแดนมิติด้วย
สัญญาณเช่นนี้แปลว่าอนาคตการเลื่อนขั้นเป็นราชันระดับลึกซึ้งของเขาอยู่อีกไม่ไกลแล้ว
“ลั่วจุน!”
มีพลังราชันหลายกลุ่มทะยานมา “ที่นี่คืออาณาบริเวณของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ขอให้เจ้าสำรวมสักหน่อย!”
เห็นได้ชัดว่าความโมโหของลั่วจุนและการกดดันด้วยพลังมหาศาลของราชัน ได้สร้างความไม่พอใจแก่ผู้อาวุโสในสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ยังเคยเป็นสำนักสามดาว เส้นสนกลในย่อมไม่ธรรมดา
ถ้าหากว่าไม่จำเป็น องค์ชายแปดเองก็ไม่อยากจะมีปัญหากับสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น
ในราชวงศ์ของดินแดน ขั้วอำนาจของราชวงศ์และสำนักต่างๆ ล้วนแต่ประคับประคองให้อยู่ในสถานการณ์เสมอภาคมาโดยตลอด
“จ้าวเฟิง คอยดูต่อไปแล้วกัน!”
ลั่วจุนพยายามสะกดอารมณ์โกรธเกรี้ยว แล้วจึงพาองค์ชายแปดที่อารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อยเดินทางออกจากเขตที่พักของจ้าวเฟิงไป
จ้าวเฟิงได้เปรียบกว่าในด้านของศีลธรรมและกฎเกณฑ์ จึงทำให้พวกเขาไม่สามารถทำอะไรรุนแรงได้ที่สำนักศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
ภายในห้อง
จ้าวเฟิงกำลังดำดิ่งลงในการฝึกตน เขาไม่ใส่ใจการคุกคามของลั่วจุนแม้แต่น้อย
เพียงพริบตาเดียว เวลาเดือนครึ่งกว่าก็ผ่านไป
‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ของจ้าวเฟิงทะลวงผ่านขั้นที่สาม
ตั้งแต่นั้นมา จ้าวเฟิงใช้เพียงร่างกายก็สามารถสังหารนายเหนือแท้และคนต่ำกว่าขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้ เรียกได้ว่าไร้เทียมทาน
ถ้าหากว่าใช้ควบคู่กับวิชาวายุอัสนี นั่นย่อมเป็นดั่งเสือติดปีก
ก่อนหน้านี้
‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ของจ้าวเฟิงได้ทะลวงผ่านขั้นที่สาม แล้วยังเข้าใกล้ขั้นที่สามระดับสุดยอดไปทุกที
ในเวลานี้ ความตั้งใจหลักของเขาจึงทุ่มเทไปที่วิชาวายุอัสนี
ขั้นของวิชาวายุอัสนียิ่งสูงส่งเท่าไหร่ พัฒนาการในการฝึกกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์ก็ยิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น
สภาวะที่ต้องการที่สุดคือ ขอบเขตพลังของวิชาวายุอัสนีของจ้าวเฟิง จะต้องอยู่เหนือกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์หนึ่งขั้นหรือครึ่งขั้น
จ้าวเฟิงวางแผนว่าจะฝึกฝน ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ให้ไปถึงขั้นที่สี่ แล้วจึงค่อยกลับมาฝึกฝน ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ให้เพิ่มระดับขึ้น
แต่วิชาวายุอัสนีในขั้นที่สี่เป็นต้นไปก็จะเป็น ‘จุดเปลี่ยน’
นับแต่ขั้นที่สี่เป็นต้นไป จึงจะเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘วายุอัสนีห้าสาย’
“ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ศึกษาในเรื่องของ ‘ความสัมพันธ์ของห้าธาตุ’ ทองกำเนิดน้ำ น้ำกำเนิดไม้ ไม้กำเนิดไฟ ไฟกำเนิดดิน ดินกำเนิดทอง…”
“หลังจากถึงขั้นที่สิบแล้ว วายุอัสนีห้าสายสามารถกลายเป็นวัฏจักรหมุนวนไปมา ปรับเปลี่ยนได้ตามใจปรารถนา”
ความคิดในหัวของจ้าวเฟิงมีแนวทางที่ชัดเจนอย่างยิ่ง
ที่แปลกประหลาดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ
‘ขั้นที่สี่’ ของวิชาวายุอัสนีห้าสาย สามารถเลือกธาตุหนึ่งใดในห้าธาตุอย่าง ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน มาเป็นจุดเริ่มต้นวายุอัสนีห้าสายอันดับแรก มีฐานะเป็นแหล่งกำเนิดและรากฐาน ถือว่าสำคัญอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่ขั้นที่สี่ไปจนถึงหกล้วนแต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของวายุอัสนีห้าสายอันดับแรก
ต่อจากนั้นไป ในทุกระดับชั้นจึงจะถือกำเนิดวายุอัสนีห้าสายใหม่
“ขั้นที่สี่เป็นจุดสำคัญ วายุอัสนีห้าสายอันดับแรกจำต้องเลือกฝึกให้ดีๆ”
แววตาของจ้าวเฟิงเป็นประกาย
ในเวลาดังกล่าว
เขาดำดิ่งลงไปในห้วงความคิดของตนเองอย่างรวดเร็ว
ถ้าหากว่าอยากได้การโจมตีที่แข็งแกร่งตั้งแต่แรกๆ ไฟกับทองก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนัก
ถ้าหากว่าอยากจะให้มีการป้องกันกล้าแกร่ง ส่วนแฝงในลึกล้ำ วายุอัสนีธาตุดินก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
น้ำและไม้ที่อยู่นอกเหนือจากนั้นก็มีจุดเด่นเช่นกัน
ไม้ เติบโตไม่หยุดนิ่ง และมีผลทำให้อายุขัยยืนยาว เพิ่มพลังชีวิต อีกทั้งยังรักษาและเกื้อกูลพร้อมสรรพ
แต่ในท้ายที่สุดแล้ว จ้าวเฟิงเลือกธาตุ ‘น้ำ’
น้ำ ลึกล้ำอย่างยิ่ง พลิกแพลงได้มากที่สุด จะแข็งหรือจะอ่อนก็ได้ กลายเป็นน้ำแข็งได้ และเพิ่มพลังโจมตีด้วย นอกจากนี้ยังรักษาและป้องกันได้ไม่เลวทีเดียว
ในเวลาเดียวกัน น้ำก็เป็นแหล่งกำเนิดของชีวิต
เลือกให้เป็นวายุอัสนีห้าสายอันดับแรก ส่วนแฝงและรากฐานไม่ด้อยไปกว่าดินเลย
เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือ การหลอมรวมดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงจะแก้ไขปรับปรุงพื้นฐานสายเลือดของร่างนี้ อีกไม่นานนักจะสามารถใช้ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ มาช่วยเพิ่มพลังได้
อีกทั้งความลึกซึ้งในเสวียนอ้าวเหมันต์วารีของจ้าวเฟิงในช่วงชีวิตก่อนเป็นรองก็เพียงวายุอัสนี
หลายวันต่อมา
‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ของจ้าวเฟิงก็ได้บรรลุขั้นที่สามอย่างสมบูรณ์ กำลังเตรียมตัวทะลวงขั้นที่สี่ และสร้างเงื่อนไขของวายุอัสนีห้าสายธาตุแรกขึ้น
ในช่วงเวลานี้ พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงก็ทะลวงผ่านขั้น ‘ยอดผู้สูงศักดิ์’ ตามไปด้วย