บทที่ 778 ลั่วสุ่ยเอ๋อร์
เงาของลั่วจุนที่กำลังจะจากไปหยุดชะงักนิ่งไปในทันที ระลอกความตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
เพราะว่าเสียงเตือนของจ้าวเฟิงเป็นเสียงที่จู่ๆ ก็ดังขึ้นในหัวเขา หนำซ้ำเขายังสัมผัสถึงสัญญาณเตือนล่วงหน้าที่ชัดเจนไม่ได้
จะทำได้ถึงจุดนี้ ขอบเขตดวงวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามอย่างน้อยจะต้องอยู่สูงกว่าเขาขั้นหนึ่ง
“เจ้าหัวขโมยที่อยู่ขั้นนายเหนือแท้…เจ้าคิดว่าอาศัยแรงช่วยเหลือจากราชันคนหนึ่งก็จะสามารถคุกคามบ้านสกุลลั่วของข้าได้งั้นหรือ?”
ลั่วจุนสะกดความตกใจเอาไว้ สีหน้าตึงเครียด
ห้วงความคิดของเขาส่งเสียงผ่านอากาศมาที่ข้างหูของจ้าวเฟิง แต่ว่าไม่อาจทะลวงผ่านชั้นดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงได้
เหตุการณ์นี้ทำให้ใจของเขาเย็นวาบ
เขากลับไม่สามารถสัมผัสชั้นดวงวิญญาณของจ้าวเฟิง จากประสาทสัมผัสพบว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นดั่งมหาสมุทรมรณะที่เงียบสงบ
ถึงแม้ว่าลั่วจุนจะมุทะลุ แต่ในใจละเอียดรอบคอบอย่างยิ่ง
เค้าลางที่เกินจะหยั่งถึงในตัวจ้าวเฟิงและแมวขโมยตัวน้อย ทำให้เขาเกิดความหวาดกลัวในใจ
อีกอย่าง บ้านสกุลลั่วในตอนนี้ยังไม่เหมาะจะลงมือกับตระกูลจ้าวโดยตรง
“เช่นนั้นก็ลองดู” จ้าวเฟิงปิดตาลงด้วยท่าทีไม่แยแส
“หึ! เด็กน้อยที่เหมือนกบในกะลา โครงสร้างของต้าเฉียนที่แท้จริง ตระกูลจ้าวแห่งเขาเมฆาเป็นไม่ได้แม้แต่หมากตัวหนึ่งด้วยซ้ำไป สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นในช่วงรุ่งเรืองยังพอจะมีที่ยืนอยู่บ้าง แต่ในตอนนี้…”
ลั่วจุนยืนนิ่งอยู่ในชั้นเมฆ มุมปากค่อยๆ ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น
คำพูดของเขามีความรู้สึกอวดดีกดขี่ผู้อื่นเจืออยู่ในนั้น
ลั่วจุนใช้วิธีของเขามา ‘เตือน’ และ ‘โต้กลับ’ จ้าวเฟิง ทำลายที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของฝ่ายหลัง
แบบแผนของราชวงศ์ต้าเฉียน บ้านสกุลลั่ว บ้านตระกูลจ้าว ล้วนไปไม่ถึงแถวหน้า สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นที่ตกต่ำลงก็เหลือเพียงสิทธิ์ออกเสียงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ตัวของลั่วจุนกลับผูกมิตรกับองค์ชายแปดของต้าเฉียน
ราชวงศ์ต้าเฉียนเป็นถึงนายเหนือหัวของดินแดนทวีป มีอิทธิพลต่อผู้ปกครองชั้นสูงในพื้นที่ทะเลโดยรอบ
“ดีจริง ลั่วจุน!” จ้าวเฟิงเกิดคลื่นกระทบในใจน้อยๆ
ลั่วจุนไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์ที่เก่งกาจ ยังได้ตำแหน่งมั่นคงทั้งที่อยู่ในยุคที่ทุกอย่างไม่แน่นอน
ถึงขั้นที่ว่าคนในราชวงศ์ยังต้องให้ความสำคัญกับความสามารถของเขา
“จ้าวเฟิง!” ในคำพูดของลั่วจุนเต็มไปด้วยความมุทะลุและมั่นใจในตนเอง
“เจ้าถอยหลังไปตอนนี้ยังทัน…หากไม่เช่นนั้นแล้ว! ตระกูลจ้าวของเจ้าน่าจะอยู่ต่อไปได้อีกหนึ่งปี บางทีเจ้าอาจอยู่รอดต่อไปได้อีกช่วงระยะหนึ่งจากความคุ้มครองของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น แต่ว่าในที่สุดแล้วก็จะติดค้างใจไปจนตายในสายธารประวัติศาสตร์”
จ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้นจึงเกิดความประหลาดใจ
เป็นเขาชัดๆ ที่เอ่ยเตือนฝ่ายตรงข้าม สุดท้ายแล้วลั่วจุนผู้นี้ไม่รู้จักผิดซ้ำยังประณามคนอื่น และเล่าสถานการณ์ของราชวงศ์ให้เขาฟังเพื่อให้เขากลับตัว
เหมือนกับว่าลั่วจุนผู้นั้นได้กลายเป็นผู้กำชัยในประวัติศาสตร์ไปแล้ว
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิและไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
คำประกาศเตือนของเขาได้ถูกส่งสารออกไปแล้ว จะฟังหรือไม่ขึ้นอยู่กับอีกฝ่าย
แต่ว่าเมื่อดูจากท่าทางแล้ว ความมั่นใจของลั่วจุนเพิ่มขึ้นอย่างมาก น่าจะฟังผ่านๆ ไปเท่านั้น
กลางอากาศ ลั่วจุนมีสีหน้ามืดทะมึนเล็กน้อย จากนั้นจึงบินตรงไปยังทิศทางของบ้านสกุลลั่ว
ความแข็งแกร่งด้านจิตใจของพลังจ้าวเฟิงเองอยู่เหนือกว่าที่เขาคิดไว้มาก คำพูดที่ลั่วจุนประกาศกร้าวไปเมื่อครู่เป็นการทำลายกำลังใจในการต่อสู้ของจ้าวเฟิง
แต่คิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะไม่ใส่ใจอะไร ถึงขั้นคร้านจะโต้เถียงกับเขา
“เจ้าเด็กนั่นมีที่พึ่งอะไรกันแน่?” ลั่วจุนรู้สึกได้ถึงความพ่ายแพ้
ครั้งนี้เป็นการรับมือกับตระกูลจ้าวโดยเฉพาะ เขาควบคุมและจัดการทุกอย่างอยู่เบื้องหลังอย่างลับๆ
ผลสุดท้ายแล้วกลับประสบกับความพ่ายแพ้
เมื่อคิดดูว่าเขาเป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของดินแดนเกาะเทียนเฟิง แต่กลับต้องพ่ายแพ้ต่อหน้าเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าตนเองสิบกว่าปี
ความอับอายและการถูกดูหมิ่นเช่นนี้ช่างน่าคับแค้นใจเกินจะเปรียบ
หากจะพูดถึงเรื่องอายุ จ้าวเฟิงที่อายุสิบสี่สิบห้าปียังไม่ถึงครึ่งหนึ่งของอายุเขาด้วยซ้ำไป
“พี่ลั่ว!”
ขณะที่ใกล้ถึงบ้านสกุลลั่ว กลางอากาศมีเสียงลอยมาพร้อมกับระลอกพลังมหาศาลของราชัน
“องค์ชายแปด”
สีหน้าของลั่วจุนค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อมองไปยังชายหนุ่มสวมชุดยาวลายมังกรผู้สุขุมสง่างาม
“พี่ลั่ว! เป็นอย่างไรบ้าง? การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ราบรื่นหรือ?”
องค์ชายแปดพอจะดูออกว่าสีหน้าของลั่วจุนผิดไปจากปกติ
ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองไม่เลวนัก ลั่วจุนเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไร เล่าเรื่องที่เจอมาทั้งหมดรอบหนึ่ง
“เห็นทีจ้าวเฟิงคนนั้นจะไม่ธรรมดาจริงๆ หลังจากต่อสู้กับ ‘ซินอู๋เหิน’ แล้ว พี่ลั่วก็ไม่เคยพบกับความล้มเหลวเช่นนี้”
แววตาขององค์ชายแปดเป็นประกายแวววับ เอ่ยพึมพำเสียงเบา
ดูจากสีหน้าอารมณ์แล้ว ความคับอกคับใจครั้งนี้ของลั่วจุนยังน้อยกว่าครั้งที่แล้ว
“ซินอู๋เหิน!”
ลั่วจุนเอ่ยชื่อนี้ออกมา ในดวงตาปรากฏความอำมหิต ทะลักจิตต่อสู้ที่แข็งแกร่งออกมา “รอให้จัดการเจ้าเด็กนี่ให้ได้เสียก่อน ข้าจะกลับไปท้าสู้กับเขาอีกครั้ง”
องค์ชายแปดรู้ว่าความพ่ายแพ้เมื่อครึ่งปีก่อนเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ที่สุดของลั่วจุน
ลั่วจุนได้พ่ายแพ้แก่ครึ่งก้าวสู่ราชันผู้หนึ่งในเวลาไม่ถึงสิบกระบวนท่า
“หลังจากที่ต่อสู้เสร็จ ข้าเคยวิเคราะห์ว่าซินอู๋เหินผู้นั้นน่าจะจงใจกดพลังฝึกตนไว้ที่ครึ่งก้าวสู่ราชัน ไม่อยากให้ไปถึงขั้นราชัน แต่กลายเป็นว่าสำนึกรู้ของเขาบรรลุถึงขั้นเหนือกว่าจักรพรรดิแล้ว” องค์ชายแปดเอ่ย
เมื่อเอ่ยถึงซินอู๋เหิน เขาก็รู้สึกเสียดาย
อัจฉริยะเช่นนี้ องค์ชายแปดชักชวนมาร่วมด้วยไม่ได้ แต่กลับถูกคนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดและยังมีหวังมากที่สุดในการช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่าง ‘องค์ชายสี่’ ชักชวนเข้าเป็นพวกและอยู่ในฐานะแขก
“เขาจงใจกดพลังฝึกตนเอาไว้ จะมีประโยชน์อะไร หรือเป็นเพราะ…”
ลั่วจุนนึกอะไรบางอย่างออกในฉับพลัน
“ถูกแล้ว! เป็นเพราะมิติเทพลวงตา!” องค์ชายแปดยิ้มออกมาเล็กน้อย “เส้นทางที่เชื่อมต่อกับมิติเทพลวงตา เมื่อแบกรับราชันในขอบเขตปราณเทวะจะเสี่ยงอย่างมาก แต่ว่ากับครึ่งก้าวสู่ราชันน่าจะสำเร็จอยู่เจ็ดส่วนเป็นอย่างน้อย”
หากวิเคราะห์เช่นนี้ เรื่องทั้งหมดก็สมเหตุสมผล
ซินอู๋เหินผู้นั้นกดพลังฝึกตนไว้ที่ครึ่งก้าวสู่ราชันเป็นเวลานาน เพื่อที่จะได้เข้าไปสู่ ‘มิติเทพลวงตา’ ได้อย่างราบรื่นปลอดภัย
ฟิ้ว ฟิ้ว!
ทั้งสองคนบินมุ่งไปทางบ้านสกุลลั่วพร้อมกัน
“องค์ชายแปด ความสัมพันธ์ของท่านกับน้องสาวของข้าถูกตาต้องใจกันหรือไม่?”
ลั่วจุนพลันยิ้มออกมา
องค์ชายแปดมีฐานะสูงส่ง ถ้าหากน้องสาวแต่งงานกับเขาแล้ว น่าจะส่งผลดีอย่างมากต่อตัวเขาเองและบ้านสกุลลั่ว
ถึงน้องสาวจะเป็นได้แค่เพียงนางสนม บ้านสกุลลั่วก็เต็มใจ
“น้องสุ่ยเอ๋อร์เป็นรักแรกพบของข้า ทุกอย่างไร้ที่ติ เพียงแต่…”
องค์ชายแปดยิ้มอย่างเจ็บปวด
“หืม? สุ่ยเอ๋อร์ไม่ยินยอมรึ?” ลั่วจุนนึกถึงอีกหนึ่งปัญหา
เรื่องเกี่ยวกับการแต่งงานรวมไปถึงการยื่นมือเข้ามาแทรกขององค์ชายแปด
บ้านสกุลลั่วรวมไปถึงพี่ชายอย่างเขาเหมือนจะไม่เคยถามความคิดเห็นของ ‘ลั่วสุ่ยเอ๋อร์’ มาก่อน
ลั่วจุนคิดว่า หากได้แต่งกับองค์ชายแปด ถึงแม้จะเป็นเพียงนางสนม สำหรับหญิงสาวทั่วไปก็เป็นเรื่องที่เกินจะใฝ่ฝันแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น องค์ชายแปดก็เคยสัญญาว่าจะพยายามทำให้ลั่วสุ่ยเอ๋อร์ได้เป็นภรรยาหลวง
ในห้องที่ติดภูเขาลำธารของอิสสตรี ณ บ้านสกุลลั่ว
“ท่านพ่อ ท่านพี่ ข้าเคยเห็นด้วยเรื่องยกเลิกการแต่งงานตอนไหน? พวกท่านเคยถามความคิดของข้าบ้างหรือไม่?”
หญิงสาวผมยาวสวมชุดกระโปรงเขียวโอดครวญ
หญิงผู้นั้นผิวพรรณสดใสเกลี้ยงเกลา สะสวยราวนางสวรรค์ พิสุทธิ์ดุจดอกบัวที่ถูกฝนชะล้างจนสะอาด
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการร่ำไห้ของหญิงสาว ลั่วจุนและบิดาสบตากันโดยไม่พูดอะไร
สำหรับ ‘ลั่วสุ่ยเอ๋อร์’ บิดาและลั่วจุนล้วนแต่รักใคร่ทะนุถนอมยิ่งนัก
เพียงแต่เรื่องยกเลิกการแต่งงาน ผู้นำสกุลลั่วและลั่วจุนไม่เคยถามความคิดของลั่วสุ่ยเอ๋อร์เลย
ส่งผลให้ตอนนี้นางถูกจ้าวเฟิงส่งหนังสือหย่ามาให้จนเสื่อมเสียชื่อเสียง
ความรู้สึกละอายใจเกิดขึ้นในก้นบึ้งหัวใจของคนทั้งสอง แต่ว่าสูญสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเปรียบกันแล้ว การพัฒนาความสัมพันธ์กับองค์ชายแปดและราชวงศ์ คือความเย้ายวนใจอย่างมากจนบ้านสกุลลั่วและลั่วจุนไม่อาจจะต้านทานได้
วันนี้
จ้าวเฟิงกลับถึงป้อมปราการตระกูลจ้าว และฝึกตนอย่างต่อเนื่องในที่พักของตน
หลังจากที่ทำลายบ้านสกุลอินแล้ว จ้าวเฟิงสะสมของมีค่าและโอสถในแขนงวารีไว้ มากพอที่จะฝึกฝนร่างกายไปได้ระยะหนึ่ง
ในเวลานี้ พลังฝึกตนของเขาบรรลุถึงนายเหนือแท้ระดับสูง แล้วยังพัฒนาขึ้นไปอย่างมั่นคง
แต่จะทะลวงผ่าน ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ขั้นที่สี่ยังต้องการแรงผลักดันในระดับหนึ่ง
เมื่อเห็นเช่นนี้ จ้าวเฟิงใช้แรงใจมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มระดับของ ‘วายุอัสนีห้าสาย’ ก่อน
ยิ่งขอบเขตของวิชาวายุอัสนีสูงขึ้น ผลลัพธ์ในการใช้วายุอัสนีมาฝึกฝนร่างกายก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก
หลายวันต่อมา
พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงเข้าใกล้ขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ก็ใกล้เคียงกับขั้นที่สี่ระดับสุดยอดเช่นกัน
“ผ่านไปอีกสักครึ่งเดือน กายสายฟ้าปฐพีทองน่าจะทะลวงผ่านขั้นที่สี่ และภายในสองเดือน พลังฝึกตนก็จะฟื้นฟูถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิด”
จ้าวเฟิงพึมพำในใจ
แผนการฝึกตนใหม่อีกครั้งเป็นไปตามลำดับขั้นตอน
รอถึงตอนที่จ้าวเฟิงอยู่ขอบเขตปราณเทวะอีกครั้ง
ส่วนแฝงในพลังของเขาก็จะอยู่เหนือช่วงชีวิตก่อน และยังเพิ่มสัดส่วนความสำเร็จในการทะลวงผ่าน ‘ขอบเขตเทวาเร้นลับ’ ในอนาคตด้วย
ในวันนี้ การฝึกบำเพ็ญตนของจ้าวเฟิงถูกขัดจังหวะ
“เฟิงเอ๋อร์! มีคนของบ้านสกุลลั่วมาแล้วเอ่ยชี้เฉพาะว่าต้องการจะพบเจ้า…” ท่านปู่จ้าวเดินมาอย่างร้อนรน
“บ้านสกุลลั่ว?” จ้าวเฟิงยืนขึ้น เดินออกไปนอกเขตที่พัก
หลังจากนั้นครู่เดียว
ณ ห้องโถงด้านข้างของบ้านตระกูลจ้าว จ้าวเฟิงได้พบกับตัวแทนของสกุลลั่วหลายคน
บ้านสกุลลั่วมากันทั้งหมดสามคน
คนที่อยู่ตรงกลางเป็นผู้เฒ่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดคนหนึ่ง ใบหน้ากลม หูใหญ่ ช่างเจรจา พูดคุยไม่หยุดหย่อน
“จ้าวเฟิง! ข้าเป็นตัวแทนของผู้นำตระกูล มาเชิญเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงของบ้านสกุลลั่วเพื่อร่วมกันปรึกษาเรื่องหมั้นหมาย ส่วนเรื่องหนังสือขอยกเลิกแต่งงานของเจ้า ผู้นำตระกูลถือว่าเป็นเพียงทิฐิเท่านั้น ได้ยินมาว่าแม่นางลั่วสุ่ยเอ๋อร์ยังรู้สึกดีๆ กับเจ้าอยู่นะ…” ผู้เฒ่าหน้ากลมพูดต่อเนื่องไม่หยุด
จ้าวเฟิงและคนอื่นในตระกูลจ้าวต่างพากันตกใจ
เรื่องเกี่ยวกับ ‘งานเลี้ยง’ จ้าวเฟิงไม่สนใจ และไม่ได้คิดอยากจะไปด้วย หนำซ้ำงานเลี้ยงนั้นเชิญจ้าวเฟิงเพียงคนเดียว
“เฟิงเอ๋อร์ เกรงก็แต่ว่านี่จะเป็นแผนร้ายของบ้านสกุลลั่ว”
คนในระดับสูงของตระกูลจ้าวแสดงอาการหนักใจ
ท่านปู่จ้าวสงสัยว่าจะเป็นเพียงแผนลวงสังหารเท่านั้น
“ส่วนเรื่องของลั่วสุ่ยเอ๋อร์ ข้าได้เขียนหนังสือหย่าให้แล้ว เหตุใดยังต้องพูดคุยกันอีก” จ้าวเฟิงเอ่ยพลางขมวดคิ้ว
แต่ผู้เฒ่าหน้ากลมผู้นั้นยังไม่ยอมหยุด
อยากใช้คำพูดของตนเองเกลี้ยกล่อมจ้าวเฟิง แล้วเอ่ยแจกแจงเรื่องในอนาคตที่สวยหรูต่างๆ มากมาย
“ข้าขอตัวก่อน”
จ้าวเฟิงคร้านจะสนใจ ปล่อยตัวแทนทั้งสามคนจากสกุลลั่วเอาไว้ เตรียมตัวกลับไปฝึกฝนอีกครั้ง
“เจ้าเด็กผู้นี้! อย่าผยองให้มากนัก”
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ สุดท้ายผู้เฒ่าหน้ากลมก็เกรี้ยวโกรธ “สกุลลั่วของข้าเชิญเจ้าเป็นการให้เกียรติเจ้า…ตระกูลจ้าวเล็กๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าสกุลลั่วก็เหมือนกับเอาไข่ไปกระทบหิน[1]”
ผู้เฒ่าหน้ากลมด่าไปพลาง สอนไปพลาง สับสนยุ่งเหยิงไปหมด
จ้าวเฟิงเองก็เข้าใจอยู่ลึกๆ เกรงว่านี่จะเป็นเพียงแผนการของบ้านสกุลลั่ว ถ้าหากทำร้ายคนผู้นี้ บ้านสกุลลั่วก็จะมีเหตุผลที่จะใช้กำลัง
ในเสี้ยวเวลาสั้นๆ
เสียงหนึ่งลอยมาในอากาศ ตามด้วยพลังของครึ่งก้าวสู่ราชัน
“จ้าวเฟิงอยู่หรือไม่” คนชุดฟ้าผู้หนึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนือบ้านตระกูลจ้าว มือผลักป้ายตราคำสั่งสีเงินสว่างแผ่นหนึ่งออกมา
วิ้ง!
ตราคำสั่งขยายออกจนมีขนาดร้อยจั้ง รายล้อมด้วยลำแสงมังกรสีม่วง พลังอำนาจของมังกรที่ลึกลับเกินจะคาดเดา สอดประสานไปกับพลังของชะตาราชวงศ์ที่กว้างใหญ่ไพศาล
“ตราคำสั่งอ๋องโหว!”
คนระดับสูงในตระกูลจ้าวบางคน รวมถึงผู้เฒ่าหน้ากลมต่างตื่นตกใจ
เมื่อเห็นตราคำสั่งดังกล่าว ทุกคนรู้สึกคล้ายได้เผชิญหน้ากับ ‘ราชา’ ทำให้เกิดความรู้สึกศิโรราบต่อพลังดังกล่าวขึ้น
“ขอคารวะท่านอ๋องโหว”
คนระดับสูงของตระกูลจ้าวกับผู้เฒ่าหน้ากลมแสดงความเคารพตามธรรมเนียม ส่วนพวกที่พลังฝึกตนต่ำๆ ถึงกับคุกเข่าลงไป
“ข้าเอง” จ้าวเฟิงเดินออกมาอย่างแปลกใจ
“จ้าวเฟิง จวนอ๋องโหวเรียกเจ้าไปเป็นแขก”
สายตาที่ผู้นำทหารชุดฟ้ามองจ้าวเฟิงเจือยิ้มนิดๆ นับว่ายังพอมีความเกรงใจอยู่บ้าง
“จวนอ๋องโหว…เรียกจ้าวเฟิงไปพบ?”
สีหน้าของผู้เฒ่าหน้ากลมและพรรคพวกบ้านสกุลลั่วเหมือนกับมีอะไรติดคออยู่อย่างนั้น
………………………………………………….
[1] เอาไข่ไปกระทบหิน หมายถึง ไม่รู้จักประมาณตนเองจนนำภัยมาสู่ตัว