บทที่ 788 สายเลือดวิถีราชาที่เปลี่ยนไป
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลิ่วเทียนฝานที่อยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงสุดยอดแล้วไม่สามารถใช้พลังที่ซุกซ่อนเอาไว้ เขาแทบไม่มีโอกาสจะชนะได้เลย
จากขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงต้น ไปจนถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงสุดยอด ไม่ได้ต่างกันเพียงแค่ขอบเขตพลังเดียวเท่านั้น เมื่อนับโดยละเอียดแล้วต่างกันถึงหกขอบเขตพลังเล็กๆ เป็นอย่างน้อย
ภายใต้สถานการณ์ปกติ หากจ้าวเฟิงไม่พ่ายแพ้ในกระบวนเท่าเดียวก็นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดแล้ว
“จ้าวเฟิง ข้าจะไม่ดูแคลนศัตรู แต่เจ้าไม่มีทางเอาชนะข้าได้หรอก”
แววตาของหลิ่วเทียนฝานเป็นประกายแวววับ จิตต่อสู้พวยพุ่ง
เขามั่นใจอย่างยิ่ง แต่ไม่มีทางจะดูแคลนเด็กหนุ่มที่ไม่อาจมองได้ทะลุปรุโปร่งผู้นี้แน่
“เริ่มได้!” กรรมการโบกมือ
แซ่ด วูบ!
ในวินาทีที่เอ่ยจบ บนพื้นดินทิ้งไว้เพียงเสี้ยวเงาดังระลอกคลื่นสีฟ้าของจ้าวเฟิง พร้อมกับลำแสงเส้นโค้งของวายุอัสนี
“รวดเร็วยิ่งนัก!” คนที่ชมการประลองก่อนนี้เปลี่ยนสีหน้าไปอีกครั้ง
ความเร็วที่จ้าวเฟิงแสดงในตอนนี้รวดเร็วกว่าตอนเอาชนะหวงอวิ๋นหู่และคนอื่นๆ หลายส่วนนัก
เป็นไปตามการวิเคราะห์ของราชาลู่อวิ๋น
การประลองในยามก่อน จ้าวเฟิงยังเก็บงำเอาไว้ส่วนหนึ่ง
“จัดการ!”
หลิ่วเทียนฝานยืนนิ่งอยู่กับที่ เสื้อผ้าและเส้นผมโบกสะบัด เขาขยับตัวไปด้านข้างและปล่อยหมัดออกมาโดยไม่แม้แต่จะมอง
โครม เปรี้ยง!
ในหมัดดังกล่าวมีวงลูกไฟสีม่วงหม่นที่เผาไหม้ลุกโชน พลังที่น่ากลัวเผาผลาญอากาศในลานประลองทั้งหมดไป
เหล่าลูกศิษย์พวกนั้นที่อยู่ใกล้เคียงลานประลองฝั่งใต้พากันหายใจไม่ออก
แซ่ด วิ้ง! !
เงาร่างกายที่คล้ายเส้นโลหะสีฟ้าเงิน ห้อมล้อมไปด้วยชั้นคลื่นวายุอัสนีธาตุน้ำ โดนหมัดของหลิ่วเทียนฝานต้านทานเอาไว้
ทันใดนั้นคลื่นระเบิดเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวหมุนวนไปทั้งลานประลอง
หลิ่วเทียนฝานยืนนิ่งไม่ไหวติง
ทว่าร่างของจ้าวเฟิงกลับลอยละลิ่วออกไปไกลหนึ่งถึงสองร้อยจั้ง แล้วยังกระเด็นถอยร่นไปอย่างรวดเร็วด้วย
“โดนสังหารในกระบวนท่าเดียวเลยงั้นหรือ?”
ยอดฝีมือในมิติลี้ลับทั้งหมดจับจ้องไปยังอากาศเหนือลานประลองฝั่งทิศใต้
ในตอนนี้ ร่างของจ้าวเฟิงถอยร่นจนเกินจะต้านทาน และกำลังจะลอยออกจากลานประลอง
ในวินาทีที่สำคัญนั้นเอง
แซ่ด! พรึ่บ!
ปีกวายุอัสนีดั่งสายน้ำไหลวนเกาะกลุ่มกันที่เบื้องหลังของจ้าวเฟิง ให้ความรู้สึกพร่าเลือนราวกับเป็นภาพในความฝัน
วูบ~
ปีกวายุอัสนีโบกสะบัดด้วยความเร็วสูง จ้าวเฟิงไม่ถอยหนีแต่กลับบุกเข้าไป
“การโจมตีเมื่อครู่ เด็กคนนั้นกลับไม่ได้รับบาดเจ็บที่แน่ชัด…”
สีหน้าของหลิ่วเทียนฝานเคร่งขึ้นเล็กน้อย
ถ้าหากว่าจ้าวเฟิงฝึกฝนเพียง ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ เมื่อโดนโจมตีจากขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงสุดยอดเข้าจังๆ คงต้องบาดเจ็บหนักเป็นอย่างน้อยแน่
แต่ทว่า หลังจากเปลี่ยนร่างเกิดใหม่แล้ว เขายังฝึก ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ร่างกายที่แข็งแกร่งมีกำลังรบเพิ่มขึ้นมาก การป้องกันก็เรียกว่าได้ว่าแปลกประหลาด
อาการบาดเจ็บส่วนหนึ่งสมานตัวรวดเร็วขึ้นด้วยสายเลือดวารีและวายุอัสนีธาตุน้ำ
“กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์!”
จ้าวเฟิงร้องตะโกน แล้วทั่วร่างก็ปรากฏระลอกแสงมันวาวสีฟ้าเงินขึ้นชั้นหนึ่ง
ในวินาทีนั้นเอง ร่างกายของเขายืดสูงขึ้นไปหลายส่วน สาดซัดแก่นแท้พลังของกายศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นดังรูปธรรมออกมา
กลางอากาศพอจะมองเห็นลวดลายอัสนีสีฟ้าเงินกึ่งโปร่งแสงชั้นหนึ่ง
โครม!
จ้าวเฟิงตรงดิ่งลงมาจากด้านบน กำลังมหาศาลของร่างกายหอบเอาแรงปะทะที่น่ากลัวมาด้วย
“เป็นกายที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง…”
ร่างของหลิ่วเทียนฝานหนักอึ้ง เลือดลมทั้งร่างสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน จำต้องแบ่งปราณที่แท้จริงมาปกป้องอวัยวะภายในและทั่วร่างกาย
หนำซ้ำแก่นแท้พลังกายที่จ้าวเฟิงปล่อยออกไป เทียบเท่าได้กับพื้นฐานของเด็กน้อยครึ่งเซียน แล้วยังบวกความรู้สึกราวโดนสายอัสนีบาตฟาดลงไปด้วย
หลิ่วเทียนฝานไม่เพียงได้รับแรงกดดันที่มหาศาล ร่างกายยังรู้สึกชาไปเล็กน้อย
“จ้าวเฟิงผู้นั้นเป็นศิษย์ของจักรพรรดิคนใดกันแน่ ถึงฝึกร่างกายด้วยวิชากายศักดิ์สิทธิ์ที่สูงส่งเช่นนี้…”
ภายในมิติลี้ลับ ราชันปราณเทวะทั้งสองก็รู้สึกตื่นตระหนกเช่นกัน
ถึงเป็นเส้นสนกลในของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ก็ยากจะหาวิชาฝึกฝนกายศักดิ์สิทธิ์ในระดับนี้ได้
คุณสมบัติของร่างกายที่เป็นดังมารและปีศาจทะยานดิ่งลงมา ช่วงแขนห่อหุ้มไปด้วยมังกรวายุอัสนีสีน้ำเงินที่ส่งเสียงคำรามเลื่อนลั่น ปรากฏกลิ่นอายน่าสะพรึงอยู่รางๆ
“ปัง! ครืน——”
มังกรวายุอัสนีสีน้ำเงินตัวนั้น ปะทะไปที่หลิ่วเทียนฝานภายใต้การสนับสนุนอย่างมหาศาลของกายอัสนีศักดิ์สิทธิ์
จากการที่บินดิ่งลงมา บวกกับความเร็วที่เพิ่มขึ้นของปีกวายุอัสนี ทำให้พลังเพิ่มขึ้นไปจนถึงขีดสุดในสภาพแวดล้อมนั้น
“นภาไร้เทียมทาน!”
ท่ามกลางวายุอัสนีที่บ้าคลั่งและน่าพรั่นพรึง ลำแสงทรงพลังสีม่วงเรืองรองหลายเส้นทะลวงไปแปดทิศ
สวบ สวบ สวบ!
ลำแสงสีม่วงหม่นจำนวนนับร้อยพันพลันหมุนวนไปสามร้อยหกสิบองศา ทะลวงผ่านไปยังสี่ด้านแปดทิศ
ทันใดนั้นเอง
อากาศเหนือลานประลองทั้งหมดก็ถูกลำแสงสีม่วงหม่นจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งผ่านไป กลายเป็นการโจมตีทำลายล้างทั่วบริเวณ
เงาทั้งสองร่างปะทะกันอย่างรุนแรงในแสงม่วงและวายุอัสนีบ้าคลั่ง
กระบวนท่าแรก จ้าวเฟิงอาศัยข้อได้เปรียบทางชัยภูมิ ทำให้หลิ่วเทียนฝานถอยร่นไปก้าวหนึ่ง
กระบวนท่าที่สอง พลังของนภาไร้เทียมทานระเบิดออกอย่างรุนแรง ทำให้จ้าวเฟิงกระเด็นออกไปหลายสิบจั้ง
“หอกจักรพรรดิเหมันต์!”
ของเหลวสีฟ้าเย็นเยียบชั้นหนึ่งปกคลุมทั่วร่างของจ้าวเฟิง ปรากฏเกราะรบเหมันต์วารีสีน้ำเงินชิ้นหนึ่งขึ้น
เกราะรบเหมันต์วารีมีระลอกอัสนีที่เปลี่ยนแปลงไปมาอย่างหลากหลาย
ฟู่ ฟู่ วูบ~
ลำแสงสีม่วงหม่นนั้นทำให้ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต้นเจ็บสาหัสได้ หลังจากทะลวงผ่านร่างกายของจ้าวเฟิงก็เกิดเป็นควันเบาบาง ลวดลายอัสนีลอยล่องขึ้นมา
จากประโยชน์ของวายุอัสนีธาตุน้ำกับสายเลือดเหมันต์วารี เกราะรบที่เกาะกลุ่มกันจากหอกจักรพรรดิเหมันต์ของจ้าวเฟิงไม่เพียงแต่ป้องกัน แต่ยังมีพลังโจมตีของอัสนีด้วย
เป้าหมายที่โจมตีเขาจะต้องโดนโจมตีจากสายฟ้า
เมื่อบวกกับการต้านทานของกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์
เคล็ดวิชาอาณาเขตของหลิ่วเทียนฝานที่อยู่ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงยังไม่สามารถทำอะไรจ้าวเฟิงได้
แซ่ด พรึ่บ!
ปีกวายุอัสนีเบื้องหลังจ้าวเฟิงโบกสะบัดด้วยความเร็วอย่างยิ่ง ทำให้เกิดความเร็วจนถึงขีดสุด เมื่อบินไปยังกลางอากาศ ก็มองลงมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงสำแดงการโบยบินที่ตระการตา
ภายในมิติลี้ลับ ลูกศิษย์ส่วนหนึ่งมองเสียจนอุทานชื่นชม
กระทั่งกรรมการของลานประลองฝั่งใต้ยังมองตาค้าง การประลองรอบนี้ดึงดูดให้ราชันผู้ควบคุมดูแลต้องมาตัดสินด้วยตนเอง
“เหลือเชื่อจริงๆ จ้าวเฟิงผู้นี้เป็นฝ่ายได้เปรียบ เขาอาศัยประโยชน์ทางชัยภูมิต่างๆ ปลดปล่อยพลังออกมาจนถึงขีดจำกัด” ราชาลู่อวิ๋นเอ่ยพึมพำ
“เสียดายก็เพียงพลังฝึกตนแตกต่างกันเกินไป ทันทีที่ปะทะเข้าหากันอย่างจัง จ้าวเฟิงจะเสียเปรียบจนถึงขั้นบาดเจ็บด้วยซ้ำ…” ราชันผู้หนึ่งเอ่ยอย่างทอดถอนใจ
จ้าวเฟิงทำได้ถึงจุดนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างหนึ่งแล้ว
แต่ว่าหลิ่วเทียนฝานผู้นั้น กลับมีสีหน้าเคร่งขรึมลง ในใจรู้สึกกระวนกระวาย
ความเร็วของเขาไม่เลวนัก เพราะว่าข้อได้เปรียบของพลังฝึกตนไม่ด้อยไปกว่าจ้าวเฟิง
แต่ทว่า เคล็ดวิชาโบยบินของปีกวายุอัสนีสูงส่งมากเกินไป ถึงกระทั่งว่าในทุกการโจมตีที่เกิดขึ้น แก่นแท้กายศักดิ์สิทธิ์และพลังโจมตีก็ทรงอานุภาพเหนือใคร
ถ้าหากว่าอยู่กลางอากาศ กลวิธีการโบยบินของปีกอัสนีจะทำให้หลิ่วเทียนฝานเดาอะไรไม่ออก กลายเป็นว่าจ้าวเฟิงจับช่องโหว่ได้มากขึ้น
“ดูท่าทางแล้ว หากไม่ใช้สายเลือดดวงตาและเจตจำนง คงยากจะมีชัยเหนือหลิ่วเทียนฝานได้”
ในขณะที่จ้าวเฟิงทะยานผ่านไปมาก็สิ้นเปลืองปราณที่แท้จริงไปมาก
หากต่อสู้กันเป็นระยะเวลายาวนาน เขาย่อมพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
ของสิ่งแรกที่จะหมดไปอย่างรวดเร็วก็คือสายเลือดเหมันต์วารี ซึ่งใช้ไปกับการป้องกันของเกราะรบเหมันต์วารี รวมไปถึงการรักษาด้วย
ในเวลานี้เอง พลังสายเลือดอีกกลุ่มหนึ่งในร่างจ้าวเฟิงหอบเอาพลังเผาผลาญมาอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้นก็ลองดู!”
เกราะเหมันต์วารีกลายเป็นน้ำแล้วหลอมรวมเข้าไปภายในร่าง
วิ้ง พู่ว~
แสงเพลิงมันวาวราวเพลิงลุกไหม้ หมุนวนรอบจ้าวเฟิงประหนึ่งแสงอรุโณทัยสีแดงฉาน
พริบตานั้นทั้งร่างจ้าวเฟิงคล้ายเผาไหม้อยู่กลางกองเพลิง ประกายเจิดจ้าสีแดง ทั่วร่างวาววับ บวกกับอานุภาพของแก่นแท้พลังกายศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เขาเป็นดังจอมมารเพลิงโลหิตคนหนึ่ง
ฟุ่บ!
ปีกอัสนีเบื้องหลังจ้าวเฟิงโบกสะบัด ถลาดิ่งลงด้านล่าง หมัดหนึ่งโจมตีออกไป
ยามปล่อยหมัดนั้น จ้าวเฟิงรู้สึกราวกับปล่อยระเบิดรุนแรงออกมาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่หมัดยังไปไม่ถึงตัวของอีกฝ่าย ก็เกิดเสียงดัง ‘ฟู่’ ขึ้น เพลิงโลหิตระเบิดออก แสงแดงฉานสาดสว่างไปร้อยจั้ง
“นั่นมันสายเลือดอะไรกัน…”
ทั่วร่างของหลิ่วเทียนฝานร้อนระอุขึ้น สัมผัสได้ถึงการหลอมละลาย
พลังสายเลือดกลุ่มนั้นร้อนแรงทรงพลัง เผาไหม้และปะทุออก ส่งผลหลอมละลายเลือดลมของสิ่งมีชีวิตอย่างรุนแรง
แก่นแท้พลังกายศักด์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงระเบิดพลังสายเลือดกลุ่มนั้นออกจนถึงขีดสุด แล้วตรงดิ่งเข้าไปภายในร่างกายของเป้าหมาย
ปีกวายุอัสนีเสริมให้กระบวนท่าโจมตีไปจนถึงขีดจำกัดในด้านความเร็ว
ร่างของจ้าวเฟิงอยู่ในใจกลางวงล้อมของลำแสงอัสนีวารีชั้นหนึ่ง เป็นการโจมตีและป้องกันในเวลาเดียวกัน
โครม!
คนทั้งสองปะทะกันอีกครั้ง แต่กลับไม่เหมือนในยามก่อนอีกแล้ว
ในครั้งนี้ เงาที่ถูกโจมตีจนถอยร่นออกมากลับเป็นหลิ่วเทียนฝาน
ฟู่ โครม!
จ้าวเฟิงเป็นดังจอมมารเพลิงโลหิตผู้หนึ่ง ทั่วร่างกายของเขากำลังเผาไหม้ เป็นสีแดงประกาย ปีกอัสนีที่โบกสะบัดและแรงระเบิดของหมัดที่โจมตีออกมาไปถึงขั้นเขย่าขวัญคนแล้ว
ในทุกการโจมตีของเขา ลูกเพลิงโลหิตปะทุออกร้อนแรง จากนั้นจึงเผาไหม้กัดกร่อนในทันที
“เปลวเพลิงคุ้มกาย!”
หลิ่วเทียนฝานก็เรียกเพลิงจริงๆ ออกมา ทั่วร่างจึงถูกปกคลุมด้วยเกราะเพลิงสีม่วงเข้มชั้นหนึ่ง พลังในการป้องกันเพิ่มมากขึ้น แล้วจึงฝืนปะทะกับจ้าวเฟิง
ภายในมิติลี้ลับ
ผู้ชมการประลองกลุ่มหนึ่งล้วนกลั้นหายใจ
“แสงเพลิงโลหิตบนร่างของจ้าวเฟิงเป็นสายเลือดอะไรกันแน่ ถึงมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้…”
คนที่มองดูมีสีหน้าหวาดกลัวจนใจเต้นรัว
ในด้านสายเลือด จ้าวเฟิงอยู่เหนือกว่าหลิ่วเทียนฝานหลายขั้น
กลิ่นอายสายเลือดนั้นรุนแรงราวราชัน สามารถทำลายล้างทุกอย่างได้ในพริบตา
“เป็นสายเลือดวิถีราชา! คล้ายกับสายเลือด ‘เพลิงมารโลหิต’ ในลำดับที่แปดสิบเอ็ดอยู่บ้าง แต่เหมือนว่าจะพิเศษยิ่งกว่า ยังมีกลิ่นอายสายเลือดบรรพกาลส่วนหนึ่งด้วย”
“หรือว่าสายเลือด ‘เพลิงมารโลหิต’ บนร่างกายจ้าวเฟิงเกิดการเปลี่ยนแปลงพัฒนา ลำดับจึงก้าวหน้าขึ้นอีกงั้นหรือ?” ราชาลู่อวิ๋นถกกับราชันผู้หนึ่ง
สายเลือดวิถีราชามีห้าร้อยลำดับ รวมทั้งดินแดนทวีปและดินแดนมหาสมุทรรอบๆ ด้วย
สายเลือดพวกนี้ส่วนมากแล้วเป็นมรดกรุ่นหลัง แบ่งแยกออกจากกลุ่มของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ
“สายเลือดวิถีราชา!”
‘ข่งเฟยหลิง’ ที่อยู่ในลานประลองตะวันออกสัมผัสได้ว่าในสายเลือดสั่นสะท้าน
ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อจ้าวเฟิงได้
ในด้านของประสาทสัมผัส สายเลือดวิถีราชาของจ้าวเฟิงมีกลิ่นอายเก่าแก่ยิ่งกว่าของนาง พลังที่ทะลักออกมารุนแรงยิ่งกว่า
ขณะที่กำลังประลอง
แก่นสารชีวิตในร่างของหลิ่วเทียนฝานถูกเผาผลาญและกัดกร่อน
ในทุกครั้งที่จ้าวเฟิงโจมตี ล้วนแต่สามารถกรีดส่วนสำคัญของเนื้อและเลือดของเขาส่วนหนึ่ง
ถึงแม้ว่าปราณที่แท้จริงของจ้าวเฟิงกำลังจะสูญสลายไป แต่ว่าอาการบาดเจ็บของหลิ่วเทียนฝานกลับรุนแรงหลายเท่าตัว
“หยุด!” ราชาลู่อวิ๋นตะโกน พลังมหาศาลของราชันกลุ่มหนึ่งลอยมาเพื่อหยุดการประลองนี้
การประลองสนามนี้จึงจบลงด้วยผลเสมอ
“จ้าวเฟิงผู้นี้กลับมี ‘สายเลือดวิถีราชา’ ที่เปลี่ยนแปลงไป ถ้าหากว่าเขามีพลังฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงหรือระดับต่ำช่วงสุดยอด คนที่แพ้ก็คงจะเป็นข้า”
ในใจหลิ่วเทียนฝานนึกหวาดกลัว
ถ้าหากว่าจ้าวเฟิงมีเพียงสายเลือดวิถีราชาเพียงอย่างเดียวก็คงจะแค่เท่านั้น แต่ที่สำคัญคือเขามีวิชาอีกสองชุดอย่าง ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ และ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ซึ่งพิลึกพิลั่นเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่เปลี่ยนร่างกลับมาเกิดใหม่
จ้าวเฟิงฝึกฝนวิชาสองชุดอันอยู่ในระดับสูง แล้วค้นพบสายเลือดระดับสูงส่ง อนาคตย่อมต้องไปได้อีกไกล
“ส่วนเรื่องสายเลือดวิถีราชา รอกลับไปที่สกุลจ้าวค่อยลองถามที่มาที่ไปแล้วกัน” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ
จ้าวเฟิงคนก่อน บิดามารดาได้ลาโลกนี้ไปนานแล้ว เป็นกำพร้าตั้งแต่ยังเยาว์ ได้ท่านปู่จ้าวเป็นผู้ชุบเลี้ยงดูแล
หลายวันต่อมา
การคัดเลือกทดสอบเทพลวงตารอบแรกก็ได้จบลง
ในแต่ละสนามประลองเล็กจะเหลืออยู่เพียงห้าสิบคนเท่านั้น
แล้วต่อจากนั้นจึงจะเป็นการคัดเลือกทดสอบเทพลวงตาในรอบชิง หลังจากที่คัดออกไปเรื่อยๆ ก็เหลือเพียงหกสิบรายชื่อเท่านั้น
ในการทดสอบรอบสุดท้าย จ้าวเฟิงเองก็เป็นคู่ต่อสู้ที่ยากจะรับมือด้วยคนหนึ่ง
กำลังรบที่เขาแสดงออกมาจัดอยู่ในลูกศิษย์ผู้สืบทอดหนึ่งในสามลำดับแรกแล้ว คู่ต่อสู้เกือบทั้งหมดล้วนแต่ขอยอมแพ้ไปทันที
ขอแค่ไม่ต้องเจอกับ ‘ข่งเฟยหลิง’ จ้าวเฟิงก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวล
แต่กลับเป็นหลิ่วเทียนฝานที่หลังจากประลองชนะไปหลายสิบรอบ ก็ต้องเผชิญหน้ากับ ‘ข่งเฟยหลิง’ ผู้เป็นอันดับหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น