Skip to content

King of Gods 789

King Of Gods

บทที่ 789 ยอมแพ้ทันที

เมื่อเผชิญหน้ากับข่งเฟยหลิง หลิ่วเทียนฝานเตรียมรับมือ เขาระแวดระวังและเคร่งขรึม อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

การประลองเพิ่งจะเริ่มขึ้น

“เปลวเพลิงคุ้มกาย!”

ทั่วร่างของหลิ่วเทียนฝานปรากฏเกราะอัคคีสีม่วงเข้มขึ้นชั้นหนึ่ง แล้วยังสาดแสงเพลิงรุนแรงออกมา

บางทีอาจเป็นเพราะว่าคู่ต่อสู้แข็งแกร่งเกินไป

จึงทำให้กำลังรบของหลิ่วเทียนฝานที่ปลดปล่อยออกมารุนแรงกว่ายามที่ประลองกับจ้าวเฟิง

พรึ่บ!

ลำแสงหลากสีสว่างวาบ ข่งเฟยหลิงสาวเท้าอย่างสง่างามเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ก็ไปอยู่ตรงหน้าหลิ่วเทียนฝาน

ดูเหมือนจะเชื่องช้า แต่ความจริงแล้วเร็วกว่าปีกอัสนีที่จ้าวเฟิงปลดปล่อยออกไปเสียอีก

วิ้ง!

เงาขนนกระยิบระยับหลากสีสันผุดขึ้นบนมือขาวนวลของข่งเฟยหลิง ประดุจมวลบุปผาที่ผลิบาน สาดแสงสว่างเจิดจ้าฟาดลงไปที่หลิ่วเทียนฝาน

พู่ว~

หลังจากที่หลิ่วเทียนฝานสร้าง ‘เปลวเพลิงคุ้มกาย’ หมัดสองข้างก็ผลักออกมา กระตุ้นมังกรเพลิงสีม่วงเข้มเผาผลาญสองเส้นสาย เกิดเสียงระเบิดกึกก้อง พลังอัคคีที่ร้อนระอุนั้นรุนแรงมากพอจะสังหารขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำธรรมดาได้

“ดูไปแล้ว ในตอนที่หลิ่วเทียนฝานประลองกับข้ายังไม่ได้ปลดปล่อยกำลังรบในระดับสุดยอด”

จ้าวเฟิงพึมพำเสียงต่ำ

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พลังฝึกตนของหลิ่วเทียนฝานก็อยู่เหนือกว่าเขามากเกินไป อนึ่งความเร็วและการเคลื่อนไหวของจ้าวเฟิง ก็เป็นปัจจัยจำกัดที่ส่งผลต่อการควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด

แกรก!

บนลานประลองมีเสียงปริร้าวดังออกมา

หลิ่วเทียนฝานตกใจจนพูดไม่ออก ร่างถอยร่นไปมาก เจ็บปวดเกินจะทน

เห็นเพียงเกราะอัคคีสีม่วงบนร่างของเขา เหมือนถูกข่งเฟยหลิงสะบัดมือผ่านๆ กระแทกใส่จนปริร้าวเป็นชิ้นๆ

ท่วงท่าของข่งเฟยหลิงสง่างาม สงบนิ่ง มือขาวนวลโบกเบาๆ ขนนกแสงหลากสีก็ปรากฏขึ้นเส้นแล้วเส้นเล่า

เงาสว่างของขนนกนั้นค่อยๆ กลืนกินกลุ่มแสงเพลิงที่ลี้ลับและสูงส่ง มีแนวโน้มเป็นรูปธรรมขึ้นเรื่อยๆ

อั่ก!

ยังรับไม่ถึงสามกระบวนท่า หลิ่วเทียนฝานก็กระอักเลือดออกมา

“ลูกศิษย์ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำเรียกขานจริงๆ”

“ข่งเฟยหลิงผู้นั้นยังไม่ทันได้ใช้สายเลือดวิถีราชา ก็ลงมือโจมตีจนหลิ่วเทียนฝานไม่อาจโต้กลับได้”

ทั่วทั้งลานประลองตกอยู่ในความตื่นตกใจ

บรรดาลูกศิษย์ต่างตะลึงในความสามารถที่แกร่งกล้าของข่งเฟยหลิง

“ข่งเฟยหลิง ไม่เพียงแต่ไม่ใช้สายเลือดวิถีราชา ทว่ายังไม่ได้ทุ่มเทพลังทั้งหมดด้วย”

จ้าวเฟิงมองออกได้อย่างแม่นยำยิ่งกว่า

ความรู้สึกนี้เหมือนสถานการณ์ในตอนที่จ้าวเฟิงประมือกับหวงอวิ๋นหู่

“พอเถอะ! หลิ่วเทียนฝาน พลังของเจ้าไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นเท่าไหร่เลยนี่…”

ข่งเฟยหลิงเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

ทันทีที่เอ่ยจบ พลังครึ่งก้าวสู่ราชันก็ทำให้เค้าร่างของอานุภาพมหาศาลที่ไร้รูปร่างกดดันอากาศทั่วบริเวณ

โครม ตู้ม!

เค้าโครงลำแสงเจ็ดสีขนาดมโหฬารปกคลุมเลือนรางทั่วร่างของข่งเฟยหลิง ขยายออกไปหลายสิบจั้ง ทั้งแข็งแกร่งและตระการตา

“นี่คือสายเลือดวิถีราชาของข่งเฟยหลิง” จ้าวเฟิงตกใจเล็กน้อย

“เปรี้ยง!”

ร่างของหลิ่วเทียนฝานเป็นดังแผ่นกระดาษ ถูกข่งเฟยหลิงผลักออกไป เขากระอักเลือดออกมาขณะกระเด็นละลิ่วออกจากลานประลอง

“ข่งเฟยหลิงชนะ!” กรรมการประกาศ

การประลองในครั้งนี้ไม่มีอะไรต้องพะวงทั้งสิ้น

ถ้าหากไม่ใช่เพราะข่งเฟยหลิงอ่อนข้อให้ เกรงว่าหลิ่วเทียนฝานน่าจะรับมือได้ไม่ถึงหนึ่งสองกระบวนท่า

“ข่งเฟยหลิง อัจฉริยะในรายชื่อจักรพรรดิลำดับสองร้อยเก้าสิบแปด”

ในความทรงจำของจ้าวเฟิงมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องปรากฏขึ้น

สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นมีความรุ่งโรจน์และองค์ประกอบของสำนักสามดาว ลูกศิษย์ผู้สืบทอดอันดับแรกจึงไม่ด้อยไปกว่าสำนักสามดาวอื่นๆ

ในอัจฉริยะรายชื่อจักรพรรดิ พลังฝึกตนต่ำที่สุดอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด หรือไม่ก็ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูงช่วงสุดยอด

จากจุดดังกล่าวทำให้สามารถคาดการณ์ได้ว่า ลั่วจุนที่อยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกจะมีกำลังรบอยู่ในระดับใด

สนามประลองลึกลับ

จากเวลาที่ดำเนินไป จำนวนลูกศิษย์ในสำนักที่ถูกคัดออกก็มากขึ้นเรื่อยๆ

จำนวนสองร้อยก็เหลือร้อยห้าสิบ จากร้อยห้าสิบเหลือเพียงร้อยเดียว อัจฉริยะที่ร่วมประลองยิ่งน้อยลงทุกที

เมื่อเป็นเช่นนี้ โอกาสที่จ้าวเฟิงจะเผชิญหน้ากับข่งเฟยหลิงก็เพิ่มขึ้นทีละน้อย

ตามกฎกติกาจัดสรรในการคัดเลือก คู่ต่อสู้ที่ไม่เคยประมือกันมาก่อนจะเข้าใกล้กันขึ้นมาทุกที

ในที่สุด สองวันก่อนการทดสอบคัดเลือกจะจบลง

จ้าวเฟิงและข่งเฟยหลิงก็เผชิญหน้ากัน

“ข้าสนใจในพลังของเจ้าอย่างยิ่ง” ข่งเฟยหลิงเผยยิ้มที่เหมือนไม่ใช่ยิ้ม

ก่อนที่จะเริ่มทดสอบคัดเลือก พลังครึ่งก้าวสู่ราชันของนางเกิดความรู้สึกประหนึ่งก้อนหินร่วงลงไปในมหาสมุทรยามที่นางหยั่งเชิงจ้าวเฟิง

นางมักรู้สึกว่า ยามที่ประมือกับหลิ่วเทียนฝานยังไม่ใช่ขีดจำกัดและพลังของจ้าวเฟิงจริงๆ

“ข้ายอมแพ้”

จ้าวเฟิงเอ่ยปากบอกกับข่งเฟยหลิงและกรรมการอย่างไม่ทุกข์ร้อน แล้วกระโดดลงจากลานประลองไป

เหตุการณ์นี้ทำให้ข่งเฟยหลิงเกิดความรู้สึกสะอึก กระทืบเท้าอย่างรุนแรง

คนเข้าชมการประลองที่เหลือก็มีสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน

ตามธรรมเนียมที่ผ่านมา

ในเมื่อจ้าวเฟิงมีความสามารถเทียบเท่ากับลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามอันดับแรกของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ก็น่าจะประมือกับข่งเฟยหลิงสักสองสามกระบวนท่าถึงจะถูก

แต่คาดคิดไม่ถึงเลยว่า จ้าวเฟิงจะตัดบทยอมรับความพ่ายแพ้เช่นนี้

สองราชันที่ดูแลการทดสอบคัดเลือกภายในมิติลี้ลับก็มีสีหน้าเสียดาย

ราชันปราณเทวะทั้งสองจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าบนร่างของจ้าวเฟิงมีความลับอยู่ เกรงว่าไม่อยากจะเปิดเผยความลับและไม้ตายเหล่านั้น

ยิ่งเป็นเช่นนี้ ความลึกลับของจ้าวเฟิงก็ยิ่งทำให้ผู้คนประหลาดใจ

“เฮอะ! รอเข้าไปใน ‘มิติเทพลวงตา’ ก่อนเถอะ ดูๆ ไปแล้วเจ้าคงไม่อยากจะเปิดเผยขีดความสามารถของเจ้า”

ข่งเฟยหลิงส่งเสียงเฮอะเย็นๆ ออกมา แล้วจึงเดินลงจากลานประลองอย่างผิดหวัง

ในบรรดาลูกศิษย์รุ่นใหม่ของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น นางที่ฝีมือสูงส่งไร้เทียมทานเกิดความสนใจจ้าวเฟิง ซึ่งเป็นผู้เดียวที่นางมองไม่ทะลุปรุโปร่ง

แต่ฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมประมือกับนาง นี่ช่างน่าหงุดหงิดยิ่งนัก

เวลาสองวันผ่านไป การทดสอบคัดเลือกเทพลวงตาสิ้นสุดลง

ผ่านการคัดออกซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลากว่ายี่สิบวัน ในที่สุดแล้วก็มีลูกศิษย์ยอดฝีมืออย่างแท้จริงหกสิบคนถูกคัดเลือกมา

จ้าวเฟิงกวาดตาดูฝูงชน แล้วมองไม่เห็นศิษย์พี่ ‘วั่นหรง’

ด้วยพลังฝึกตนในขั้นนายเหนือแท้ของศิษย์พี่วั่น ไม่ผ่านการทดสอบคัดเลือกมิติเทพลวงตาก็นับว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล

จุดที่อยู่ในครรลองสายตา ลูกศิษย์ทั้งหกสิบคนมีพลังฝึกตนขั้นต่ำอยู่ในขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด หรือไม่ก็ครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด

ลูกศิษย์เหล่านี้มีกำลังรบในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเป็นอย่างน้อย

หวงอวิ๋นหู่และศิษย์พี่ก่วงก็อยู่ในรายนามด้วย

สวบ! สวบ! สวบ!

ลูกศิษย์ที่ผ่านการทดสอบคัดเลือกค่อยๆ ออกจากมิติลี้ลับ ส่วนพวกที่ตกรอบเดินทางจากไปนานแล้ว

เวลาผ่านไปไม่นานนัก

ลูกศิษย์ยอดฝีมือจำนวนรวมหกสิบคนก็ปรากฏกายขึ้นที่ทิวเขาโบราณ

“ยินดีกับศิษย์น้องจ้าวด้วยที่ผ่าน ‘การทดสอบคัดเลือกเทพลวงตา’ เจ้าจะต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ดี”

ศิษย์พี่วั่นหรงรออยู่ที่ทิวเขา

ถึงแม้ว่าในใจของนางจะเศร้าสร้อย แต่ว่าการแสดงความยินดีต่อจ้าวเฟิงนั้นกลับออกมาจากใจจริง

จ้าวเฟิงลอบทอดถอนใจ ในตอนนั้นเขาต้องปกปิดความลับของตนเอง จึงใช้วิชาดวงตาควบคุมจิตใจ ทำให้ศิษย์พี่วั่นหรงรู้สึกดีกับตนเอง

แต่ความรู้สึกดีๆ ที่ศิษย์พี่วั่นหรงมีต่อตนเองในวันนี้กลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นเติบโตและเก่งกาจขึ้นทีละน้อยในสายตานาง จนกลายมาเป็นดวงดาวที่ส่องประกายเจิดจ้าในสายตาของคนนับหมื่น

แต่ศิษย์พี่วั่นหรงรู้ตัวดี ระยะห่างระหว่างนางกับจ้าวเฟิงห่างไกลออกไปทุกที

“ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนกว่ามิติเทพลวงตาจะเปิดออก พวกเจ้าจงกลับไป ทำจิตใจให้แน่วแน่ และค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับมิติเทพลวงตาเสีย”

ราชันทั้งสองคนเอ่ยกำชับสักสองประโยคกลางอากาศเหนือทิวเขา แล้วจึงหายตัวไป

ลูกศิษย์ทุกคนที่ผ่าน ‘การทดสอบคัดเลือก’ แล้ว จะได้รับข้อมูลลับที่เกี่ยวข้องกับมิติเทพลวงตา

จ้าวเฟิงเองก็ได้รับข้อมูลดังกล่าวด้วย

เมื่อกวาดตาอ่านข้อมูลลับที่ว่าของมิติเทพลวงตาคร่าวๆ จ้าวเฟิงอดจะสั่นศีรษะไม่ได้

เห็นได้ชัดว่าข้อมูลชุดนี้ด้อยกว่าข้อมูลที่หนานเฟิงอ๋องให้เขามาก ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาหรือความลึกซึ้งล้วนห่างชั้นกันเป็นอย่างยิ่ง

จ้าวเฟิงคาดว่า ลูกศิษย์ของจักรพรรดิหรือไม่ก็ราชันทั้งหลายจะได้รับข้อมูลลับในขั้นลึกกว่ามาก

จ้าวเฟิงเข้าใจปรุโปร่งในข้อมูลเกี่ยวกับมิติเทพลวงตาของราชวงศ์ฉบับนั้นนานแล้ว

เหมือนกับที่หนานเฟิงอ๋องเอ่ยไว้ไม่มีผิด คนภายนอกมีความเข้าใจไม่ถึงหนึ่งในสิบของ ‘มิติเทพลวงตา’ ด้วยซ้ำไป

“ยังมีเวลาอีกเดือนกว่า ก่อนจะถึงเวลานั้นต้องเพิ่มพลังฝึกตนระดับพื้นฐานก่อน” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ

เมื่อกลับไปที่พัก จ้าวเฟิงรีบตั้งป้ายตราแล้วปิดผนึกฝึกบำเพ็ญตน

หนึ่งเดือนต่อจากนั้น

จ้าวเฟิงสงบจิตใจฝึกตนเมื่อมีทรัพยากรที่เต็มเปี่ยม พลังฝึกตนจึงย่อมพัฒนาไปราวติดปีก

หนึ่งเดือนต่อมา

พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงก็ทะลวงผ่านขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงกลาง

แน่นอนว่าพลังฝึกตนที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เบื้องหลังย่อมสิ้นเปลืองทรัพยากรอย่างมหาศาล

‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ของจ้าวเฟิง ทั้งวิชา ส่วนประกอบ และความเชี่ยวชาญก็ยิ่งล้ำลึกขึ้นทุกที

แต่ในวันนี้ วิชาวายุอัสนีของเขาติดอยู่ที่ขั้นที่ห้าระดับสุดยอด ยังไม่ทะลวงผ่านไปขั้นที่หกสักที

“เป็นเพราะพลังฝึกตนจำกัดความเร็วในการพัฒนาวิชาวายุอัสนีเอาไว้” จ้าวเฟิงเอ่ยพึมพำ

ถ้าหากเขาฝึกร่างกายไปจนถึงขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง หรือกระทั่งจุดสุดยอดของขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำช่วงปลาย บางทีวิชาวายุอัสนีอาจทะลวงผ่านขั้นที่หกไปได้

ในระยะเวลาหนึ่งเดือนนี้ จ้าวเฟิงก็ไม่เคยหยุดการฝึกฝน ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’

เมื่อผ่าน ‘การทดสอบคัดเลือกเทพลวงตา’ จ้าวเฟิงจึงค่อยๆ เข้าใจข้อดีของการมีกายเนื้อที่แข็งแกร่ง

ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของร่างกายจะทะลวงต่อสู้ได้อย่างไร้กังวล มองข้ามขอบเขตพลังและสายเลือดของฝ่ายตรงข้าม สามารถกดดันได้โดยตรง

เด็กน้อยครึ่งเซียนในยามก่อนก็เป็นเช่นนั้น

ตอนที่เด็กน้อยครึ่งเซียนมีพลังฝึกตนในขั้นราชัน แก่นแท้พลังกายศักดิ์สิทธิ์ก็สามารถกดดันกายเนื้อของจักรพรรดิแห่งความตายได้

แต่กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งกว่ากายศักดิ์สิทธิ์ปฐพีทองเสียอีก

กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่จ้าวเฟิงฝึกฝนยังแฝงไปด้วยธาตุ ‘สายฟ้า’ เมื่อมาถึงระดับขั้นหนึ่งแล้ว ทุกที่ที่กายเนื้อผ่านไป สรรพชีวิตนับหมื่นก็จะโดนพลังอัสนีในร่างกายเผาผลาญจนไหม้ดำ

ถึงกระทั่งว่าจ้าวเฟิงไม่จำเป็นต้องลงมือ คู่ต่อสู้ที่โจมตีเขาก็จะกลายเป็นฝุ่นธุลี

ในภายหน้า ตามความสมบูรณ์แบบของวิชาวายุอัสนีห้าสาย กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จะมีแรงต้านทานที่แกร่งกล้าต่อการโจมตีของพลังทั้งห้าธาตุ

วันนี้ จ้าวเฟิงฝึกฝนเพียงวายุอัสนีธาตุน้ำสำเร็จ จึงทำให้มีแรงต้านทานการโจมตีแขนงเหมันต์วารีได้ในระดับหนึ่ง

ถ้าหากว่าเขายังสามารถฝึกวายุอัสนีธาตุไม้กับวายุอัสนีธาตุไฟ แล้วหลอมรวมเข้าในร่าง ก็จะมีแรงต้านทานต่อธาตุที่ข่มกัน

ในฐานะที่เป็น ‘กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์’ จึงมีแรงต้านทานแข็งแกร่งที่สุดกับการโดนโจมตีจากอัสนี หรือกระทั่งสามารถดูดซึมพลังอัสนีได้

ในตอนแรก เหลยเจิ้นจากสำนักหมื่นอัสนีก็สามารถดูดซึมการโจมตีจากวายุอัสนีของจ้าวเฟิงได้

“ทันทีที่ฝึก ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ไปจนถึงระดับสูงแล้ว ในอนาคตสักวัน ความสามารถของข้าที่จะรับมือกับด่านเคราะห์เซียนจะต้องแข็งแกร่งอย่างยิ่งแน่”

จ้าวเฟิงมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม

เวลาโบยบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในตอนนี้ เวลาเปิดมิติเทพลวงตาก็เข้ามาใกล้เรื่อยๆ

หลายวันสุดท้าย

จ้าวเฟิงจึงหยุดการฝึกฝนเอาไว้ แล้วเข้าไปสำรวจภายในห้วงฝันบรรพกาลเพื่อเก็บกักไอสวรรค์ในฟ้าดินของที่นั่นเอาไว้

สายเลือดและร่างกายของเขาอยู่ในระดับการย้อนคืนสู่รูปแบบดั้งเดิม และก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ

หลายวันมานี้ ‘สายเลือดวิถีราชา’ ที่จ้าวเฟิงมี ระดับการตื่นและระดับความบริสุทธิ์ของสายเลือดก็กำลังเพิ่มขึ้น

คืนก่อนที่มิติเทพลวงตาจะเปิดออก

บนหอบูชาสีดำมืดแห่งหนึ่ง ณ สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น ยอดฝีมือจำนวนร้อยคนของสำนักล้วนแต่รอคอยอยู่อย่างเงียบๆ

“มิติเทพลวงตากำลังค่อยๆ เปิดออกทับซ้อนกับฟ้าดินในบริเวณรอบๆ ดินแดนทวีป”

“เวลาในการเชื่อมต่ออาจจะเกิดขึ้นก่อน หรือบางทีอาจจะช้าไปก็ได้”

เสียงพูดคุยแผ่วต่ำดังขึ้นจากยอดฝีมือของสำนักที่อยู่ในเหตุการณ์

จ้าวเฟิงมองประเมินอย่างคร่าวๆ ในร้อยรายชื่อของสำนักศักดิ์สิทธิ์วั่น มียอดฝีมือในวัยอาวุโสอยู่สามสิบห้าคน

สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ

ในคนพวกนี้ยังมีราชันชราในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดคนหนึ่ง อายุก็ไม่ได้ชรามากนัก เพิ่งจะห้าหกสิบเท่านั้น

จ้าวเฟิงเดาว่า สำนักศักดิ์สิทธิ์วั่นน่าจะมีวิธีการอะไรและจ่ายค่าตอบแทนอะไร ถึงทู่ซี้เอาราชันในขอบเขตปราณเทวะส่งเข้าไปถายในมิติเทพลวงตาได้

“เวลานี้ สำนักส่วนหนึ่ง ตระกูลชนชั้นสูง รวมไปถึงราชวงศ์ในดินแดนทวีป ก็น่าจะเชื่อมต่อสำเร็จแล้ว พวกเราอยู่ในละแวกทะเลจึงจะช้าไปวันหนึ่ง…”

แถวหอบูชา เงาที่อยู่ในแสงสว่างเจิดจ้าหลายร่างเอ่ยเสียงต่ำ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!