Skip to content

King of Gods 853

King Of Gods

บทที่ 853 ศรสังหารเทพ

หอหลอมศาสตราทรงหกเหลี่ยม

จ้าวเฟิงกับหนานกงเซิ่งไม่อนาทรร้อนใจ เดินไปใกล้ชั้นวางอาวุธเก่าทรุดโทรมในส่วนลึกตามแนวเตาหลอม

ยามนี้ยอดราชันจากกองกำลังมากมายอึ้งตะลึงจนเงียบกริบ

หลังจากเซวียนหยวนเหวินก็ไม่มีผู้ใดกล้าออกมาหาเรื่องอีก

ยอดฝีมือราชันทั้งหลายมีสีหน้าหวาดหวั่น แปลกใจและสงสัย มองไปที่เงาร่างผมม่วงทั้งสอง ในแววตาสะท้อนความหวาดกลัวจากส่วนลึก

พวกจ้าวเฟิงเหมือนเป็นจุดศูนย์กลาง ทุกอากัปกิริยาดึงดูดทุกคนในที่นั้น

“นี่หรือคือเทพราชาดวงตาซ้ายที่แท้จริง?”

หนานกงเซิ่งสูดลมหายใจลึก สีหน้าสับสนเล็กน้อย เขาแน่ใจว่าสถานการณ์ถูกควบคุมไว้เรียบร้อยแล้ว

ตึกตึก! ตึกตึก!

ทั้งสองคนเข้าใกล้ชั้นวางอาวุธอีกฟากหนึ่งของเตาหลอมด้วยจังหวะฝีก้าวที่แปลกประหลาด ไอร้อนระอุน่าพรั่นพรึงนั้น กระทั่งกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจ้าวเฟิงยังรู้สึกถึงแรงกดดัน

ก่อนหน้านี้ ‘ราชามังกรฟ้าวารี’ ผู้มีพรสวรรค์สายเลือดและร่างกายแข็งแกร่งได้อาวุธเทพชั้นรองจากชั้นวางมาก็ยากเย็นแสนเข็ญ

“หอกจักรพรรดิเหมันต์!”

ผิวกายจ้าวเฟิงมีของเหลวสีฟ้าเย็นเยียบกระเพื่อมไหว ก่อนแข็งตัวอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นแสงแวววาวสีฟ้าโปร่งใสแผ่ปกคลุม

วิ้ง! ชั้นแสงสีฟ้าน้ำแข็งยาวหนึ่งจั้ง คุ้มกันจ้าวเฟิงกับหนานกงเซิ่งไว้ด้วยกัน

ฟู่~ ผิวนอกของชั้นแสงมีไอเย็นลอยล่อง เมื่อความร้อนสูงแทรกซึมเข้าไปจึงอ่อนกำลังลงหลายส่วน แต่ทว่า เมื่อเข้าไปใกล้ชั้นวางอาวุธอย่างแท้จริง ไอร้อนอุณหภูมิสูงยังสามารถแผดเผาราชันปราณเทวะให้เป็นเถ้าถ่าน ขนาดจักรพรรดิยังยากจะรักษาตัวรอด

หนานกงเซิ่งที่อยู่ในชั้นแสงน้ำแข็ง ผิวกายผุดระลอกสีเงินม่วง ประหนึ่งสกัดกั้นความร้อนพลังไฟอีกขั้นหนึ่ง ถึงจะเป็นเช่นนั้น หน้าผากเขาก็มีเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลซึม ร้อนผะผ่าวเกินทน โดยเฉพาะสองเท้าที่ร้อนจัดจนแทบจะไหม้เกรียม

รอบกายจ้าวเฟิงมีลวดลายสีทองอ่อนขยับไหว ใช้แก่นแท้กายศักดิ์สิทธิ์ทรงพลังต้านพลังไฟที่ทะลวงผ่านชั้นแสงเข้ามา

“สายเลือดกับร่างกายของข้าผสานกันแล้วด้อยกว่ามังกรวารีเว่ยจิ้งอยู่บ้าง ส่วนคุณสมบัติร่างกายหนานกงเซิ่งก็ไม่สู้มังกรมายาพันผันแปร…”

แววตาจ้าวเฟิงเป็นประกาย ได้ข้อสรุปมาเช่นนี้

ถึงอย่างไร สายเลือดร่างกายของมังกรฟ้าวารีก็ใกล้เคียงเผ่าพันธุ์มังกรแท้ ช่างแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง

หากชั้นวางอาวุธเข้าใกล้ง่ายดายเพียงนั้น ไม่ต้องถึงตามังกรฟ้าวารีกับพวกจ้าวเฟิง ก็คงถูกเหล่าราชันในหอคว้าไปหมดเกลี้ยงนานแล้ว

แต่จ้าวเฟิงไม่วางมือ

ตาซ้ายของเขาตรึงที่ชั้นวางอาวุธด้านหน้า

บนชั้นวางมีลูกธนูสามดอก โล่ป้องกันหนึ่งชิ้น รวมถึงกระบี่หยกเขียวเล่มบางไม่สะดุดตาเล่มหนึ่ง

‘ของไม่กี่อย่างนี้น่าจะเป็นอาวุธเทพชั้นรอง ระหว่างที่ชิงมาเป็นได้มากว่าอาจเจอแรงต่อต้านรุนแรง…”

จ้าวเฟิงคิดในใจ

อาวุธเทพชั้นรอง ‘มนตราอากาศ’ ก่อนนี้เป็นประเภทช่วยเหลือ ไม่มีการโจมตีอะไร

พลั่วโลหะที่แมวขโมยตัวน้อยได้มาน่าจะเป็นประเภทเดียวกัน ไม่ใช่อาวุธที่โจมตีได้

ทว่าของสามอย่างถัดไป ลูกธนูกับกระบี่เรียวยาวเป็นประเภทรุกโจมตี โล่เป็นจำพวกป้องกัน

“เคลื่อนย้ายมิติ!”

ตาซ้ายของจ้าวเฟิงพลันเปิดขึ้น ระลอกลายน้ำปกคลุมเหนือลูกธนูสามดอกบนชั้นวาง

ใจกลางคลื่นลายน้ำปรากฏน้ำวนไร้รูปอยู่รางๆ

ครืน! อากาศสะเทือนกึกก้องในทันใด ลูกธนูแต่ละดอกสาดซัดกลุ่มแสงโลหิตทองออกมา

ลูกศรขึ้นสนิมที่ดูธรรมดาเป็นสีทองอมแดง สาดแสงทองแหลมคมที่พุ่งผ่านทุกสรรพสิ่ง ทำลายทิ้งทุกอย่าง

จ้าวเฟิงและหนานกงเซิ่งรู้สึกเย็นยะเยือกเหมือนอากาศถูกทะลวงผ่าน

ในหอหลอมศาสตรา อัจฉริยะราชันทั้งหลายล้วนเจ็บแสบที่ดวงวิญญาณ หวาดกลัวคล้ายเผชิญการสังหารอำมหิตท่ามกลางความสิ้นหวัง

“เป็นศรสังหารเทพ!”

“ลูกศรนี้แม้มีขนาดเล็ก แต่ระดับของทุกดอกเทียบเท่าอาวุธเทพชั้นรอง มูลค่าสามดอกรวมกันไม่แพ้อาวุธเทพชั้นรองทั่วไป”

ผู้เก่งกาจจากวังลอยฟ้าและฝ่ายเชื้อพระวงศ์รู้จักมัน

วินาทีนั้น จ้าวเฟิงกับหนานกงเซิ่งแบกรับไอแหลมคมหนาวยะเยือกซึ่งทะลวงผ่านดินฟ้าและสังหารทุกสิ่ง ร่างหนานกงเซิ่งแข็งค้าง ชัดเจนว่าทนต่อการแผดเผาจากความร้อนพลังไฟ จิตใจกลับหนาวเหน็บกระวนกระวาย

“ลูกธนูสามดอกนั่นค่อนข้างเล็ก ระดับความยากในการได้มาน่าจะน้อยกว่าอาวุธเทพของเซวียนหยวนเหวินกับพวกราชนิกุล…”

สีหน้าจ้าวเฟิงไม่เปลี่ยนแปลง

ต่อให้เป็นอาวุธเทพชั้นรองทั้งหมด วัสดุของศรสามดอกนี้ก็ด้อยกว่า อีกประการหนึ่ง มันไม่เหมือนอาวุธเทพชั้นรองชิ้นอื่นที่เมื่อถูกควบคุม จะหลอมรวมเสวียนอ้าวพลังแก่กล้าในระหว่างฝึกบำเพ็ญ

อาศัยแค่ความรู้สึก จ้าวเฟิงก็มั่นใจว่าลูกศรพวกนี้ได้มาง่ายกว่าเล็กน้อย

จุดที่สำคัญคือ ศรสามดอกคือของไร้ผู้ครอบครอง

“จ้าวเฟิง เจ้ามีวิธีเช่นใด? ศรสังหารเทพพวกนี้หากใช้ร่วมกับ ‘ธนูเหนือนภา’ ของเจ้า จะสามารถสำแดงอานุภาพที่คาดเดาไม่ได้…”

หนานกงเซิ่งเอ่ยอย่างออกจะสนใจ

“ระดับความยากไม่มาก แต่ชั้นวางอาวุธเข้าใกล้ยากยิ่งนัก ถ้าลูกศรลอยมาเองได้ก็คงดี”

จ้าวเฟิงตกอยู่ในภวังค์ความคิดชั่วขณะ

ความร้อนพลังไฟตรงพื้นที่ใจกลางที่สุด กระทั่งจักรพรรดิปราณเทวะยังต้านทานไม่ไหว

ราชามังกรฟ้าวารีทำไม่ได้ จ้าวเฟิงก็ทำไม่ได้ นอกเสียจากว่ากายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะพัฒนาถึงขั้นใหม่ หรือมีการป้องกันที่ยอดเยี่ยมของธาตุไฟ

น่าเสียดายก็แต่ในยามนี้จ้าวเฟิงไม่ได้ฝึกวายุอัสนีธาตุไฟ

เมี้ยว เมี้ยว! ตอนนี้เอง แมวขโมยตัวน้อยเผยกาย มือถือพลั่วโลหะไว้

“หืม?” จ้าวเฟิงกับหนานกงเซิ่งมองพลั่วในมือมัน

ของสิ่งนี้มาจากชั้นวางอาวุธนั่นเช่นกัน

เคร้ง! แมวขโมยตัวน้อยกวัดแกว่งพลั่วโลหะ ก่อนขุดลงบนพื้น

ชั่วพริบตา พื้นหอหลอมศาสตราที่ใช้วัสดุพิเศษเฉพาะมีสะเก็ดไฟกระเซ็นซ่าน เศษหินลอยขึ้น แล้วจึงปรากฏหลุมเล็ก

ขณะเดียวกัน ลูกศร โล่ และพวกกระบี่หยกเรียวยาวบนชั้นวางพลันสั่นกึกๆ

พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!

ลูกธนูดอกที่เล็กที่สุดบินมากลางอากาศในฉับพลัน

ปัง! โล่กำบังตกลงบนพื้น กระบี่หยกเรียวยาวก็ลอยขึ้น แผ่พลังสยบของอาวุธเทพชั้นรองที่สะเทือนฟ้าดิน

หนานกงเซิ่งรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออกทันที

จ้าวเฟิงฟื้นคืนพลังจักรพรรดิได้ขั้นต้นแล้ว ทั้งยังมีดวงตาเทพเจ้าปกป้องชั้นจิตวิญญาณ จึงไม่ตื่นตกใจเท่าไหร่นัก

ทั้งสองคนมองไปยังพลั่วโลหะในมือแมวขโมยด้วยสีหน้าพิลึก

เคร้ง! พลั่วโลหะของมันขุดลงที่เดิมอีกครั้ง

ทันใดนั้น หินแร่ในตำนานที่อยู่แถวนั้น เช่นระดับเหล็กกล้าเทวะ ขณะสั่นเทาก็ลอยมาทางนี้อย่างรวดเร็ว

พลั่วโลหะของเจ้าแมวราวกับเป็นแม่เหล็กก็ไม่ปาน

ใกล้ๆ กัน หินแร่จำพวกเหล็กและทองพุ่งตรงมาชิ้นแล้วชิ้นเล่า

ภาพนี้ทำเอาเหล่าราชันในหอหลอมศาสตราพากันเบิกตากว้าง

หมับ! จ้าวเฟิงโบกมือ ใช้อาวุธเทพชั้นรองมนตราอากาศรับหินแร่พวกนี้ไป

ประจวบเหมาะพอดี ศรเทพสังหารหนึ่งดอกในนั้นลอยมาทางนี้พร้อมเสียงแหลม

“รับมา!” จ้าวเฟิงยกเกราะแขนที่มือขึ้น

วูบ! ชั้นหมอกขาวหนาแน่นวูบวาบ จากนั้นกลืนกิน ‘ศรสังหารเทพ’ เข้าไป

“ง่ายดายเพียงนี้…”

กลุ่มราชันที่กลั้นใจมองตื่นตะลึงยกใหญ่

โดยเฉพาะสามองค์ชายของราชวงศ์ พวกเขาลำบากตรากตรำมากมายกว่าจะควบคุมอาวุธเทพชั้นรองชิ้นหนึ่งได้

“ที่แท้เป็นเช่นนี้ ‘มนตราอากาศ’ เป็นอุปกรณ์เก็บของมิติระดับอาวุธเทพชั้นรอง สามารถเก็บอาวุธเทพได้สบาย นับประสาอะไรกับ ‘ศรสังหารเทพ’ จำพวกลูกธนู ซึ่งมีพลังในตัวเองไม่แข็งแกร่งนัก”

หนานกงเซิ่งกระจ่างแจ้ง

สรุปคือ เมื่อมีอุปกรณ์เก็บของมิติ การรับอาวุธเทพชั้นรองไว้จะง่ายลงส่วนหนึ่ง

ถ้าสามองค์ชายมีมิติเก็บของเช่นนี้ เกรงว่าคงเก็บ ‘ขวานเว้าแหว่ง’ ไปได้นานแล้ว

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

เวลาเดียวกัน ศรสังหารเทพอีกสองดอกลอยไปทิศทางอื่นของเตาหลอม

ทุกที่ที่มันผ่านไป วิญญาณราชันธรรมดาบางคนคล้ายจะแหลกสลาย ทั้งตัวประหวั่นพรั่นพรึงจนหนาวสะท้าน

สิ่งที่ตื่นขึ้นไม่ได้มีเพียงศรสังหารเทพ ยังมีกระบี่เรียวยาวสีเขียวเข้มราวหยกเล่มนั้นด้วย

“ลงมือ! จะปล่อยให้สองโจรครอบครองอาวุธเทพชั้นรองพวกนั้นคนเดียวได้อย่างไร?”

เหล่าราชันจากกลุ่มต่างๆ เช่นพวกราชนิกุล หอกระบี่ฟ้า หรือตระกูลตวนมู่พากันลงมือ

ฟากเชื้อพระวงศ์ ลั่วจุนกับผู้เฒ่าหน้าเหี่ยวผู้เป็นราชันระดับลึกซึ้งมุ่งไปทางศรเทพสังหารดอกหนึ่ง

หญิงชุดดำผู้เย็นชาจากหอกระบี่ฟ้า จ้าวหยูเฟยของตระกูลตวนมู่ ต่างไล่ตามกระบี่เรียวยาวราวหยก

“จะมองดูอาวุธเทพชั้นรองอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร ให้ข้าหยั่งเชิงพลังของสองคนชั่วนั่นสักหน่อย”

สตรีชุดแดงฝั่งหอกระบี่ฟ้ายิ้มราบเรียบ

วูบ! เงาแสงสามสีกะพริบวูบวาบ สตรีชุดแดงโบยบินไปแล้ว อานุภาพความเร็วเหนือกว่าราชันระดับลึกซึ้งบางส่วนในที่นี้

ภายในเวลาสั้นๆ บริเวณนั้นตกอยู่ท่ามกลางการแย่งชิงที่บ้าคลั่งวุ่นวาย

และต้นตอของเรื่องทั้งหมดคือเจ้าแมวขโมยตัวน้อย

เมี้ยว! เจ้าแมวเคาะพลั่วโลหะอีกครา โล่กำบังข้างชั้นวางอาวุธส่งเสียงร้องหึ่ง ผิวนอกมีเค้าร่างลวดลายสัตว์สัมฤทธิ์ปรากฏขึ้น เพียงแต่น้ำหนักและขนาดของโล่ไม่ธรรมดา จึงไม่ถูกกระตุ้นให้เข้าไป

“ด้านอาวุธจู่โจม พลังกระบี่ฟ้าดินของข้าไม่อาจสำแดงได้สมบูรณ์ โล่กำบังนี้เหมาะกับข้าพอดี”

แววตาหนานกงเซิ่งมีไฟลุกโชนวูบไหว

กล่าวจบ ทั่วร่างเขาเปล่งแสงสีเงินม่วงอัปมงคล แสงศักดิ์สิทธิ์ม่วงแดงแทรกซึมออกมา ทำให้กลิ่นอายพลังมากมายรอบทิศสั่นระริกโดยไร้สาเหตุ

นั่นคือพลังหลักของผลึกปีศาจ!

ผลลัพธ์การคุกคามของมันเทียบได้กับพลังพรสวรรค์สายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณของจ้าวหยูเฟยเมื่อยามก่อน

วืด! โล่กำบังหน้าชั้นวางอาวุธเสมือนมีปฏิกิริยาตอบสนอง มันขยายออกเท่าประตูเหล็กทันใด ลายสัตว์สัมฤทธิ์เก่าแก่บนพื้นผิวเคลื่อนไหวรุนแรงราวมีชีวิต พร้อมเปล่งเสียงคำรามป่าเถื่อนดึกดำบรรพ์

ถัดจากนั้น โล่ลายสัตว์ขนาดเท่าประตูเหล็กลอยขึ้นในที่สุด

มันขับพลังบีบคั้นของอาวุธเทพชั้นรองได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น กระทั่งเหนือชั้นกว่าของที่เซวียนหยวนเหวินและพวกเชื้อพระวงศ์ได้มา

แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ แรงกดดันที่หนานกงเซิ่งต้องแบกรับจึงสูงยิ่งนัก

“อย่าฝืน”

จ้าวเฟิงกล่าวเตือน โล่สัมฤทธิ์ลายสัตว์ตอบสนองกลับก็เพราะพลังชั่วร้ายที่แฝงในผลึกปีศาจ

มีเพียงพลังของเซียนหรือครึ่งเซียนจึงจะสะกดมันได้อย่างแท้จริง

หลังจากหนานกงเซิ่งเข้าสู่ขั้นแรกของการฝึก ‘เคล็ดหลางหยา’ การใช้ประโยชน์จากพลังผลึกปีศาจไปถึงขั้นใหม่ มิเช่นนั้น เขาคงมีคุณสมบัติไม่มากพอจะกระตุ้นความสนใจและการตอบสนองจากอาวุธเทพชั้นรองชิ้นนี้

“ไป!” รองเท้าโบราณของจ้าวเฟิงเปล่งแสงไฟเขียวเรืองรอง ทั่วตัวปรากฏลวดลายสีทองอ่อนจากแก่นแท้พลัง

ชั้นนอกยังมีแสงสีฟ้าน้ำแข็งแผ่ไอเย็นตลบอบอวลคุ้มกันคนทั้งคู่

ฉับพลันทันใด พวกเขาไปถึงระยะห่างสูงสุดที่มังกรฟ้าวารีเคยไปถึง

พู่~

ท่ามกลางความร้อนถึงขีดจำกัด รองเท้าโบราณใต้เท้าจ้าวเฟิงมีควันเขียวลอยกรุ่น

เนื่องจากพลังไฟส่วนใหญ่มาจากพื้น การป้องกันของรองเท้านี้จึงสกัดกั้นไอความร้อนสูงจากพื้นในบริเวณนั้น

หนานกงเซิ่งไม่มีกายแกร่งใด เท้าข้างหนึ่งเหยียบบนไหล่ของจ้าวเฟิง ใบหน้าฉายแววซาบซึ้งใจ ระหว่างที่จ้าวเฟิงตามหาศรสังหารเทพดอกอื่น ยังให้ตนอาศัยไปด้วยอย่างสุดความสามารถ

พรึ่บ!

ในระยะห่างเท่านี้ แส้เงินโอบล้อมด้วยแสงสีม่วงเงินปรากฏในมือหนานกงเซิ่ง เมื่อสะบัดไปก็พันรัดโล่สัมฤทธิ์ลายสัตว์กลางอากาศเอาไว้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!