Skip to content

King of Gods 910

King Of Gods

บทที่ 910 มีเซียนมาอีกแล้ว

ดินแดนเกาะเทียนเฟิง

ลำแสงที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ห้อมล้อม หนึ่งดำหนึ่งขาว บินทะยานอย่างรวดเร็วไปในท้องฟ้า ไม่นานนักก็มาถึงยังจวนอ๋องโหว

เซียนเลี่ยเทียนและเหล่ากุ่ยลอยอยู่เหนือจวนอ๋องโหว กลิ่นอายพลังอันน่าเกรงขามไร้รูปร่างเล็ดลอดลงไปยังเบื้องล่าง

ฟู่!

ทันใดนั้น สิ่งมีชีวิตนับพันในอาณาเขตหลายพันลี้ของจวนอ๋องโหวถูกกดจนหายใจไม่ออก ตกเข้าสู่ภาวะนิ่งแข็ง

“หืม หนานเฟิงอ๋องไม่อยู่รึ?” เซียนเลี่ยเทียนใช้ประสาทสัมผัสวิญญาณกวาดไปทั่ว สีหน้าบ่งบอกถึงความแปลกใจ

“เซียนทั้งสองมาเยือนยังจวนอ๋องโหว ข้าน้อยคือหัวหน้าองครักษ์ มีอะไรให้ช่วยเหลือหรือไม่?”

หนึ่งในองครักษ์ของจวนอ๋องโหว นายทหารขั้นราชันระดับสุดยอดในชุดเสื้อคลุมทองบินมาอย่างยากลำบากเนิบช้าเพราะพลังไร้รูปร่างของเซียนทั้งสอง

ในใจชายคนนี้ว้าวุ่นเป็นอย่างมาก

เซียนสองคนมาเยือน ตั้งแต่เขามาเป็นองครักษ์ที่จวนอ๋องโหวแห่งนี้ก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มากก่อน

จวบจนบัดนี้ที่มีเจ้าลัทธิมารผู้หนึ่งมาเยือนเมื่อไม่นานก่อนหน้า

ก็ไม่รู้ว่าช่วงนี้เกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงมีผู้แข็งแกร่งเหนือจักรพรรดิขึ้นไปมาเยือนจวนอ๋องโหวไม่หยุดไม่หย่อน

“หนานเฟิงอ๋องไปไหนแล้ว?” แสงศักดิ์สิทธิ์ห้อมล้อมร่างของเซียนเลี่ยเทียน ราวกับเป็นเทพผู้หยิ่งทะนงที่ไม่เห็นผู้ใดในสายตา เขาถามเสียงเรียบ

หัวหน้าองครักษ์ชุดทองรู้สึกถึงพลังกดดันมหาศาลดั่งขุนเขายักษ์เข้าถาโถม ทำให้เขาหายใจไม่ออก คล้ายกับว่าสูญเสียการรับรู้ “หนานเฟิงอ๋องเดินทางไปยังราชสำนักในแผ่นดินใหญ่เมื่อหลายวันก่อน”

เซียนทั้งสองมองหน้ากัน รู้สึกแปลกใจ ก่อนจะเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

หนานเฟิงอ๋องไม่อยู่

เช่นนั้นแล้ว เขาทั้งสองก็ปราศจากซึ่งความกังกลใดๆ

เมื่อจัดการสังหารจ้าวเฟิงเรียบร้อยแล้ว หนานเฟิงอ๋องก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้

ในขณะเดียวกัน แววตาของเซียนเลี่ยเทียนก็ฉายประกายเสียดายวูบผ่าน เพราะหากหนานเฟิงอ๋องจากไปเร็วกว่านี้ เขาก็ไม่ต้องไปหาเหล่ากุ่ย

วันนี้ เรื่องทั้งหมดคลี่คลายลงอย่างง่ายดาย แต่สมบัติของจ้าวเฟิงกลับต้องแบ่งคนละครึ่ง

เซียนทั้งสองจากไปอย่างรวดเร็ว หัวหน้าองครักษ์ชุดทองที่อยู่ด้านล่างพลันหายใจเข้าเฮือกใหญ่ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จากนั้นกลับไปยังจวนอ๋องโหว

ระหว่างเดินทาง เหล่ากุ่ยนึกอะไรได้ จึงถามขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่าหอควันสมุทรเป็นกลุ่มอำนาจใต้อาณัติของวังเก้านิรย จ้าวเฟิงยึดหอควันสมุทรเช่นนี้ วังเก้านิรยไม่มีปฏิกิริยาอะไรรึ?”

วังเก้านิรย ในอดีตคือสำนักสี่ดาว ในตอนนี้ถึงแม้จะตกต่ำ แต่ก็ยังเป็นสำนักสามดาวระดับสุดยอดและกองกำลังทหารของสายมาร

ถึงจะให้เขากล้าอีกขนาดไหน เหล่ากุ่ยก็ไม่กล้าคิดลงมือกับวังเก้านิรย

เซียนเลี่ยเทียนเพิ่งจะออกจากปิดด่านฝึกตนมา รับรู้ข่าวสารมาค่อนข้างจำกัด แต่ก็ยังแสร้งแสดงทำทีท่าว่า ‘เจ้าวางใจเถอะ’ “วังเก้านิรยอยู่ในแผ่นดินใหญ่ไกลโพ้น ข่าวคราวจากแถบริมทะเลจึงล่าช้า อีกทั้งยังเคยได้ยินมาว่าสายตาของวังเก้านิรยจับจ้องแต่หนานกงเซิ่งผู้ครอบครองพลังเทพปีศาจเท่านั้น”

เมื่อพูดถึงหนานกงเซิ่ง เหล่ากุ่ยอดตกใจไม่ได้

“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าหนานกงเซิ่งจะเป็นผู้สืบทอดพลังเทพ!” เหล่ากุ่ยทอดถอนใจ

เขาบรรลุขอบเขตเทวาเร้นลับมาหมื่นปีแล้ว แต่กลับยังติดอยู่ในเทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่ม

แต่เด็กน้อยราชันระดับธรรมดากลับได้ครอบครองพลังเทพ วาสนาแท้ๆ!

หากเขาได้รับความเข้าใจในพลังนั้นสักเพียงเส้นบางๆ ก็คงจะสามารถทะลวงขอบเขตเซียนเทวาเร้นลับช่วงกลางได้ในทันที

“หึ ได้รับพลังเทพแล้วอย่างไรกัน? คนนั้นไร้ความผิด แต่ผิดที่มีเครื่องหยกในครอบครอง!” เซียนเลี่ยเทียนแค่นเสียงเย็น ออกจะคับแค้นในอก

แต่เมื่อคิดถึงผลประโยชน์ที่จะได้จากจ้าวเฟิงแล้ว เขาก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้น

มีทรัพยากรล้ำค่าจากคฤหาสน์ลับเทพบรรพกาลมากมาย หินแร่ในตำนาน ยิ่งไปกว่านั้นคืออาวุธเทพชั้นรองทั้งสองชิ้น

เซียนเลี่ยเทียนปรายตา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เหล่ากุ่ย อีกเดี๋ยวเจ้าจัดการเฒ่าประหลาดสวี ข้าจะคอยคุมจ้าวเฟิงไม่ให้มันมีโอกาสใช้มนตราอากาศ!”

“ได้!” เหล่ากุ่ยทำทีรับปาก แต่ในใจรู้ดีถึงความคิดของเซียนเลี่ยเทียน

มนตราอากาศเป็นของวิเศษที่คอยช่วยเสริมกำลัง คุณสมบัติของผู้ใช้ไม่ต้องสูงมาก แค่เพียงครอบครองก็สามารถใช้ได้ หากจ้าวเฟิงใช้มนตราอากาศหลบหนี เขาทั้งสองก็ไร้หนทางไล่ตาม

ต่างจากศรสังหารเทพ แค่ขั้นราชันก็ไม่อาจขยับเขยื้อนได้

ต่อให้เป็นขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นแรกเริ่ม ก็ทำได้เพียงใช้พลังของอาวุธเทพชั้นรองได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

หลายเดือนหลังจากนั้น ดินแดนเกาะหมอกจันทร์

หอควันสมุทรในยามนี้ใหญ่กว่าเมื่อก่อน สมาชิกเข้าออกไม่หยุด

ทุกวัน ปี้ชิงเยวี่ยใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในตำหนักข่าวกรองลับเพื่ออ่านข่าวคราวล่าสุดของวัน

ข่าวกรองยิ่งรู้เร็ว ราคาก็ยิ่งสูง นี่แทบจะเป็นคำขวัญของเครือข่ายหน่วยข่าวกรองทั้งหมด

ทันใดนั้น คลื่นพลังมหาศาลเข้าปกคลุมดินแดนศักดิ์สิทธิ์สุ่ยวานไปทั่ว

พลังนั้นดุจจะพลิกเปลี่ยนฟ้าดิน ทำให้ทุกสรรพสิ่งต้องยอมศิโรราบ

ภายใต้พลังกลุ่มนี้ สมาชิกทั้งหมดในหอควันสมุทรรู้สึกถึงแรงกดดันทรงพลังจนหายใจไม่ออก

ผู้ที่พลังฝึกตนต่ำกว่าราชันถึงกับกระอักเลือดออกมา ณ ที่ตรงนั้น

สีหน้าของเฒ่าประหลาดสวีตื่นตระหนก รีบพุ่งทะยานออกไปทันที เห็นแสงสีดำและขาวสองกลุ่มจากปลายขอบฟ้าลิบๆ สีหน้าจึงหวาดหวั่น

สองเซียน!

หนึ่งในนั้นคือเซียนเลี่ยเทียนแห่งตำหนักวิญญาณปฐพี ส่วนอีกคนน่าแปลกนัก กลิ่นอายเหนือกว่าเซียนเลี่ยเทียนเสียอีก

มุมปากเฒ่าประหลาดสวีปรากฏยิ้มฝืดเฝื่อน ไม่คิดเลยว่าศึกแรกหลังจากบรรลุขั้นเซียนจะเป็นแบบนี้

ปี้ชิงเยวี่ยหายใจเข้าลึก รีบออกมาพร้อมกับอีกสองจักรพรรดิที่อยู่ในหอควันสมุทร

เห็นเหมือนกันคือเงาบนท้องฟ้าที่ราวกับตะวันและจันทรา ในใจรู้สึกหนักหน่วงทันที

เพียงเซียนเลี่ยเทียนกวาดประสาทสัมผัสจิตวิญญาณก็หาตำแหน่งของจ้าวเฟิงพบ แววตาฉายความตะลึงงันเล็กน้อย

จ้าวเฟิงไม่ใช่ว่าปิดด่านฝึกตนอยู่รึ? ทำไมถึงแค่นอนหลับ!

ในขณะเดียวกัน เหล่ากุ่ยก็สัมผัสได้เช่นกันว่าจ้าวเฟิงยังคงหลับลึกอยู่ในห้วงนิทรา

“หึ ข้าสัมผัสได้ถึงตำแหน่งตาซ้ายของมัน มีพลังแข็งแกร่งกำลังจะตื่นขึ้น!” เหล่ากุ่ยแค่นเสียงเย็น เอ่ยออกมา

เซียนเลี่ยเทียนยิ้มชั่วร้าย “เช่นนั้นก็ทำให้มันหลับไปตลอดกาล!”

เฒ่าประหลาดสวีค่อยๆ ลอยตัวขึ้น เข้าต้านทานพลังของขั้นเซียนให้สมาชิกหอควันสมุทร “เซียนเลี่ยเทียน เจ้าเป็นถึงเซียน แต่กล้าลงมือกับคนรุ่นเยาว์รึ?”

“เหอะ ผู้ที่ทำการใหญ่ ไยจะมาใส่ใจเรื่องหยุมหยิม!” เซียนเลี่ยเทียนไม่ใช้เหตุผลคุยกับเฒ่าประหลาดสวี พลังเซียนเทวาเร้นลับในกายขับเคลื่อน เตรียมพร้อมลงมือ

ทางด้านเหล่ากุ่ยมองดูสรรพสิ่งเบื้องล่าง

ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องลงมือเลย ช่างน่าเบื่อเสียจริง

แต่ทันใดนั้น ใบหน้าของเหล่ากุ่ยเปลี่ยนสี รีบหันกลับมา

ฟิ้ว ครืน!

แสงสีเขียวอันน่าหวั่นเกรงกลุ่มหนึ่งพุ่งทะยานมาดุจดาวตก กลิ่นอายยิ่งใหญ่ที่ปกคลุมไปทั่วฟ้าดินปะทะเข้าใส่พวกเขา

เหล่ากุ่ยและเซียนเลี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงความเป็นปฏิปักษ์ของอีกฝ่าย สีหน้าแปรเปลี่ยน

เวลาเดียวกัน สมาชิกทั้งหมดในหอควันสมุทรตกใจเหนือสิ่งอื่นใด

กลิ่นอายพลังของเซียนทั้งสามเข้าปะทะ ลมพายุรุนแรงที่ไร้รูปร่างทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่าฟ้าดินจะถล่มลง

พริบตาก็มีเซียนมาเยือนหอควันสมุทรถึงสามคน

สมาชิกทั้งหมดตกลงสู่ความสิ้นหวัง เซียนสามคน ต่อให้เป็นสำนักสามดาวธรรมดาก็ไม่อาจต้านทานได้

เห็นเพียงแค่ใจกลางลำแสงสีเขียวมีชายรูปงามท่าทางทรงอำนาจเดินออกมา ผมขาวดุจหิมะ ดวงตาทั้งสองดั่งดวงดารา

เขากวาดประสาทสัมผัสจิตวิญญาณ สายตาเพ่งไปยังที่ที่จ้าวเฟิงหลับลึก

เฒ่าสวีและปี้ชิงเยวี่ยมองตากัน พวกเขาสัมผัสได้ เซียนท่านนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ศัตรู

บางทีพวกเขาอาจยังมีความหวัง!

“ข้าคือเซียนเลี่ยเทียนแห่งตำหนักวิญญาณปฐพี ท่านคือใคร?” เซียนเลี่ยเทียนและเหล่ากุ่ยยืนเรียงกัน เอ่ยปากถาม

เซียนที่อยู่เบื้องหน้าท่าทางน่าเกรงขาม ดูไม่ธรรมดา

แต่ถึงแม้เซียนผู้นี้จะมาช่วยหอควันสมุทร เขาก็ไม่เกรงกลัว เพราะดูแล้วฝ่ายตรงข้ามน่าจะเป็นเซียนสายพฤกษา ไม่น่าจะถนัดเรื่องต่อสู้

“ตวนมู่ชิงจากตระกูลตวนมู่ หนึ่งในแปดตระกูลใหญ่!” ชายผมขาวเอ่ยเสียงราบเรียบ เผชิญหน้ากับพลังน่าครั่นคร้ามของจักรพรรดิทั้งสอง เขาก็ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย

แปดตระกูลใหญ่?

เซียนเลี่ยเทียนและเหล่ากุ่ยสีหน้าตื่นตระหนก ราวกับลูกหนังที่ลมรั่วออก ท่าทีอ่อนยวบลง

แปดตระกูลใหญ่ ตระกูลสืบทอดที่เก่าแก่แห่งราชวงศ์ต้าเฉียน อิทธิพลมหาศาล มีความสัมพันธ์ซับซ้อนกับราชสำนัก

ต่อให้เป็นเพียงสมาชิกชั้นปลายแถวของตระกูลตวนมู่ ก็ไม่ใช่คนที่สำนักสามดาวขนาดใหญ่จะทัดเทียมได้ แล้วนับประสาอะไรกับสำนักสามดาวธรรมดาในแถบริมทะเลอย่างตำหนักวิญญาณปฐพี

เฒ่าประหลาดสวีและปี้ชิงเยวี่ยยิ่งรู้สึกตื่นตกใจ ไม่คิดเลยว่าเซียนท่านนี้จะเป็นคนของแปดตระกูลใหญ่!

รึว่านายท่านกับแปดตระกูลใหญ่จะมีความสัมพันธ์อะไรกัน?

“ไม่ทราบว่าเซียนตวนมู่มาที่นี่ เป็นเพราะเรื่องอันใด?” เซียนเลี่ยเทียนยิ้มถาม

อีกฝ่ายคือเซียนจากตระกูลตวนมู่ หากมาเพราะเล็งเห็นถึงประโยชน์จากจ้าวเฟิงก็ยังพอหารือกันได้

เหล่ากุ่ยมีสีหน้าเคร่ง ทำอะไรไม่ได้

“ข้าเพียงมาหาศิษย์ของข้า!” ตวนมู่ชิงมองตรงไปยังทั้งสอง ผมสีขาวปลิวไสวแม้ไร้ซึ่งลม

“ลูกศิษย์!” เซียนเลี่ยเทียนตะลึง ตั้งแต่ตวนมู่ชิงมาจนถึงตอนนี้ เขาพบว่าประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของตวนมู่ชิงสังเกตจ้าวเฟิงอยู่ตลอด

ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดว่าอีกฝ่ายก็ต้องการประโยชน์จากจ้าวเฟิงเช่นเดียวกัน

แต่ไม่คิดเลยว่าตวนมู่ชิงจะมาหาลูกศิษย์ของตัวเอง!

ลูกศิษย์? มุมปากของเซียนเลี่ยเทียนกระตุก ในใจไร้ซึ่งคำพูด

หรือว่าจ้าวเฟิงคือลูกศิษย์ของเซียนตวนมู่แห่งแปดตระกูลใหญ่?

จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? จ้าวเฟิงจะมีความสัมพันธ์กับตระกูลตวนมู่ได้อย่างไร?

ข่าวใหญ่ขนาดนี้ ไยหน่วยข่าวกรองของตำหนักวิญญาณปฐพีจึงไม่บอกเขา?

เช่นนี้แล้ว หากเขาลงมือกับจ้าวเฟิง ก็ต้องล่วงเกินตระกูลตวนมู่อย่างแน่นอน!

“ใช่แล้ว ศิษย์ของข้านามว่าจ้าวเฟิง!” ตวนมู่ชิงเผยสีหน้ามั่นใจ เขามาอยู่ข้างเฒ่าประหลาดสวี มองมายังเซียนเลี่ยเทียนและเหล่ากุ่ย

เฒ่าประหลาดสวีดีใจจนแทบคลั่ง ไม่คิดเลยว่านายท่านจะมีความสัมพันธ์กับตระกูลตวนมู่

ปี้ชิงเยวี่ยถอนหายใจทันที ในใจยิ่งนับถือผู้เป็นนาย

สมาชิกด้านล่างที่ยังรักษาสติเอาไว้ได้ราวกับสะดุ้งตื่นจากฝัน สีหน้าท่าทางกระปรี้กระเปร่า

“ผู้อาวุโสสูงสุด เป็นคนตระกูลตวนมู่จริงๆ ด้วย!”

“นั่นคือแปดตระกูลใหญ่แห่งราชวงศ์ต้าเฉียนเชียวนะ!”

“ตระกูลตวนมู่ส่งเซียนมาช่วยพวกเราแล้ว!”

เซียนเลี่ยเทียนและเหล่ากุ่ยมีใบหน้าบึ้งตึงไม่น่าดู ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม หากจะโจมตีจริงๆ พวกเขาได้เปรียบอย่างแน่นอน

แต่พวกเขาลงมือไม่ได้ และไม่กล้าลงมือ!

“พวกเราแค่ผ่านมาที่นี่เท่านั้น ไม่รบกวนแล้ว!”

“เซียนตวนมู่ ขอตัวก่อน!”

เซียนทั้งสองสื่อสารกันผ่านสีหน้า ถอนใจยาวทั้งสีหน้าจนปัญญา สุดท้ายได้แต่ล้มเลิก เตรียมจะจากไป

และขณะนี้ ภายในห้องลับ เพียงแค่จ้าวเฟิงเอียงศีรษะ เส้นผมสีทองอ่อนก็ลอยขึ้นกลางอากาศ

พลังคลื่นสีทองอ่อนไร้รูปร่างกระจายไปทุกทิศทุกทาง แทรกซึมไปในอากาศ ขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

พลังคลื่นสีทองนี้ไม่เหมือนกันปราณที่แท้จริง และไม่เหมือนพลังวิญญาณด้วยเช่นกัน

มันทะลุผ่านทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น

ผู้แข็งแกร่งทุกคนพลันสั่นสะท้าน ในใจรู้สึกสับสนวุ่นวาย

เมื่อถูกคลื่นสีทองกวาดผ่านในชั่ววินาทีนั้น พวกเขารู้สึกราวกับว่าความลับทั้งร่างกายล้วนถูกเปิดโปง ไม่อาจเก็บรักษาเอาไว้ได้

เซียนทั้งสองมองไปยังที่ที่จ้าวเฟิงปิดด่านฝึกตน ก่อนจากไปอย่างรวดเร็วขณะนึกระแวง

ทุกคนในหอควันสมุทรถอนหายใจโล่งอก ความรู้สึกที่มากกว่าคือประหลาดใจ

ตวนมู่ชิงค่อยๆ ลอยลงสู่เบื้องล่าง พูดอย่างยินดี “การแปรสภาพครั้งนี้ ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!