บทที่ 916 กดดัน
ลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวสายหนึ่งส่องสะท้อนไปทั่วทุกทิศ พลังมากมายมหาศาลพุ่งตรงมายังตวนมู่ชิง
“นี่ก็คือเหตุผลที่แท้จริง!” เสียงที่ดังก้องกังวานไปทั่วราวกับคลื่นซัดสาดเข้ามา อำนาจมากมายล้นฟ้า
สีหน้าของตวนมู่ชิงเคร่งเครียด ไม่คิดเลยว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะออกหน้าเอง
จ้าวเฟิงเองก็รู้สึกได้ว่าเหตุการณ์ไม่ปกติ เขาที่เป็นลูกศิษย์ของตวนมู่ชิง แม้แต่จะเข้าไปในตระกูลตวนมู่ก็ยังไม่มีสิทธิ์
ผู้อาวุโสใบหน้าเหลี่ยมในชุดคลุมปักดิ้นสีขาวมาปรากฏอยู่ต่อหน้าตวนมู่ชิงในชั่วพริบตา การปะทะกันของพลังมหาศาลจากเซียนทั้งสอง ทำให้ฟ้าดินรอบด้านสั่นสะเทือน มิติถูกกดอัดจนเริ่มบิดเบี้ยว การปะทะที่ไร้ซึ่งรูปร่างก่อให้เกิดเป็นเขตอันตรายขึ้น จักรพรรดิทั้งห้าถอยกลับไปทันที
ผู้อาวุโสหน้าเหลี่ยมมีแววตาเย็นชา มองมายังจ้าวเฟิงผู้มีผมทองก่อนจะตะลึงงันเล็กน้อย ดวงตาและผมสีทองของจ้าวเฟิงทำให้เขารู้สึกแปลกใจ โดยปกติแล้ว สายเลือดดวงตาจะเปลี่ยนสีหรือลักษณะหลังจากที่แปรสภาพแล้วเท่านั้น
อีกทั้งจ้าวเฟิงอยู่ในอาณาเขตที่พลังของสองเซียนเข้าปะทะกัน แต่ไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
ราชันกลับสามารถต้านทานพลังจากขั้นเซียนได้เช่นนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อ
“ตวนมู่ชิง วีรกรรมของจ้าวเฟิงในมิติเทพลวงตา หรือว่าเจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ? คนแบบนี้จะเป็นลูกศิษย์ของตระกูลตวนมู่ได้อย่างไร?”
ผู้อาวุโสหน้าเหลี่ยมมีใบหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขาม มองมาทางจ้าวเฟิงอย่างเย็นชา ก่อนจะพูดต่อไปว่า
“อีกอย่าง พรรคพวกของผู้เยาว์คนนี้ยังเป็นฝ่ายมาร หลังจากได้รับพลังเทพปีศาจก็เที่ยวไล่สังหารกลุ่มยอดฝีมือของวังเก้านิรยในมิติเทพลวงตา จนบัดนี้ถูกวังเก้านิรยไล่ล่าสังหาร”
ใบหน้าของจ้าวเฟิงเปลี่ยนสี หนานกงเซิ่งอยู่ที่ดินแดนทวีปรึ? อีกทั้งดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงมากกว่าตนเสียอีก แต่เมื่อลองคิดให้ละเอียดแล้ว อาจเป็นเพราะมิติเทพลวงตาและชางไห่บรรจบกันค่อนข้างช้า เพื่อหนีจากการล่าสังหารของมังกรวารีล้างโลกา หนานกงเซิ่งก็จนปัญญา จึงต้องหลบหนีเข้ามายังดินแดนทวีป
ในขณะเดียวกัน จ้าวเฟิงก็ประเมินสภาพการณ์ของหนานกงเซิ่งในตอนนี้ด้วยเช่นเดียวกัน ถูกไล่ล่าสังหารบนดินแดนทวีปแห่งนี้เป็นเวลาถึงสองปี แต่ยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ นี่แสดงให้เห็นว่าพลังของหนานกงเซิ่งพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจิตใจและความเป็นมนุษย์ของเขาบิดเบี้ยวไปแล้วมากน้อยเพียงใด
“หนานกงเซิ่ง!”
ในใจของตวนมู่ชิงหนักอึ้ง หนานกงเซิ่งคือลูกศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน เป็นอัจฉริยะที่พันปีจะมีสักคน เนื่องจากได้รับพลังเทพปีศาจ ยามนี้จึงโดนไล่ล่าสังหารจากกองกำลังฝ่ายมารของวังเก้านิรย จิตใจของหนานกงเซิ่งได้รับอิทธิพลจากพลังเทพปีศาจ ทำให้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก กลายเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิต
กองกำลังของกลุ่มอำนาจไม่น้อยล้วนโดนหนานกงเซิ่งไล่ล่าสังหารแทน
ตวนมู่ชิงช่วยหนานกงเซิ่งไม่ได้ ตระกูลตวนมู่ก็ปกป้องผู้สืบทอดพลังเทพปีศาจไม่ได้เช่นกัน
“อีกทั้งจ้าวเฟิงยังเชี่ยวชาญวิชาเนตรและวิชาลวงตา ยามที่อยู่ในมิติเทพลวงตาก็แอบลงมือกับจ้าวหยูเฟย ร่ายมนต์ให้หลงเสน่ห์ ในยามนี้ยังกล้ามาเหยียบตระกูลตวนมู่อีก”
ผู้อาวุโสหน้าเหลี่ยมพูดต่อด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น แฝงไว้ด้วยไอสังหาร
“ผู้อาวุโสสูงสุด เรื่องมันไม่ใช่เช่นนี้!”
ตวนมู่ชิงรีบแย้งขึ้นทันที ก่อนหน้าจะมาอยู่ที่สำนักศักดิ์สิทธิ์เสวียนเจิน จ้าวหยูเฟยและจ้าวเฟิงก็มีความรู้สึกลึกซึ้งให้กัน ไม่ได้ฟังแสลงหูดั่งเช่นที่ผู้อาวุโสกล่าวมา
“หากมิใช่เป็นเพราะเห็นแก่ที่เจ้าเป็นอาจารย์ของมัน ข้าก็จะฆ่าเจ้าเด็กนี่ทิ้งเสียในตอนนี้!”
ผู้อาวุโสหน้าเหลี่ยมพูดตัดบทตวนมู่ชิง แววตาเคืองแค้นจ้องเขม็งมายังจ้าวเฟิง พลังอำนาจมากมายมหาศาล พร้อมจะระเบิดออก
“ตวนมู่ชิง เจ้าเป็นคนของตระกูลตวนมู่ แต่กลับเอนเอียงไปภายนอก คัดค้านการสมรสของจ้าวหยูเฟยกับราชนิกุล ทั้งยังยุยงส่งเสริมลูกศิษย์ของตนเองเช่นนี้ จ้าวหยูเฟยเป็นศิษย์น้องของเจ้านะ!”
ผู้อาวุโสหน้าเหลี่ยมไม่เปิดโอกาสให้ตวนมู่ชิงพูด
ตวนมู่ชิงเดิมทีก็เป็นคนที่มีคุณธรรมอยู่แล้ว และใจก็ยังผูกอยู่กับการฟื้นฟูตระกูล
ผู้อาวุโสสูงสุดพูดมาทั้งเรื่องของหลักเหตุผล คุณธรรม และตระกูล ทำให้ตวนมู่ชิงไม่อาจเถียงกลับได้
“ตวนมู่ชิง ให้ศิษย์ของเจ้าไปจากที่นี่เสีย จากนี้ไปห้ามมาพัวพันกับจ้าวหยูเฟยอีก!”
ผู้อาวุโสสูงสุดพูดต่อ ทำท่าทีราวกับว่านี่เป็นการอ่อนข้อให้แล้ว
จ้าวเฟิงจดจำคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดไว้ในใจ
บรรลุถึงขั้นเซียนในขอบเขตเทวาเร้นลับ ยอมเสียสละลูกหลานของตนเองไปเพื่อฟื้นฟูวงศ์ตระกูล ดำเนินการไม่เป็นธรรม แต่กลับยังแสดงทีท่าอย่างผู้มีคุณธรรมนักหนา
จ้าวเฟิงรู้สึกโชคดีนักที่ตอนนั้นตนเองไม่ได้ตามอาจารย์ไปยังตระกูลตวนมู่
ตระกูลเช่นนี้ไม่สมควรที่เขาจะทุ่มเทให้
ฟิ้ว ฟิ้ว! ในขณะที่ผู้อาวุโสหน้าเหลี่ยมกับตวนมู่ชิงกำลังอยู่ในช่วงตึงเครียด
เงาของคนอีกสามคนก็บินออกมาจากตระกูลตวนมู่ แต่ดูจากการแต่งตัวแล้วไม่ใช่คนตระกูลนี้อย่างแน่นอน
“ผู้อาวุโสสูงสุด ขออภัยด้วย หากแต่เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับพวกเราเช่นกัน!”
ชายหนุ่มวัยกลางคนที่เป็นหัวหน้าในชุดสีดำทองอธิบายมาแต่ไกล ข้างหลังชายคนนี้มีผู้อาวุโสอีกสองคนตามมา ทั้งสามล้วนเป็นราชันระดับสุดยอด
เมื่อมาแล้วทั้งสามต่างจ้องเขม็งมายังจ้าวเฟิง ความเป็นศัตรูชัดเจน
“เจ้าคือจ้าวเฟิง? ข้ามาจากจวนกงแห่งมณฑลเฟิงไหล!”
ชายชุดทองท่าทางถือดีเข้าซักไซ้ทันที
มณฑลเฟิงไหลคือมณฑลใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ตระกูลตวนมู่ จวนกงคือโครงสร้างการปกครองชั้นสูงสุดของมณฑล
ตวนมู่ชิงสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเชื้อพระวงศ์และคนสนิทจะอยู่ที่นี่เช่นเดียวกัน
ผู้ปกครองสูงสุดแห่งมณฑลเฟิงไหลคือพี่ชายของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์องค์ปัจจุบัน หรือก็คือลุงขององค์ชายสิบสามนั่นเอง
สองคนข้างหลังน่าจะเป็นคนขององค์ชายสิบสาม
“ข้าคือจ้าวเฟิง!”
จ้าวเฟิงมองพวกเขาด้วยสีหน้าปกติ
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี พวกเราจะได้ไม่ต้องไปหาเจ้า”
ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมตัวใหญ่วาจาอวดดี สีหน้าท่าทางดูถูก พูดต่อไปว่า “ในมิติเทพลวงตา เจ้าสำแดงวิชาดวงตา ใช้มนต์เสน่ห์ล่อลวงจ้าวหยูเฟย จุดนี้องค์ชายสิบสามไม่ติดใจเอาความเจ้า แต่บัดนี้องค์ชายสิบสามและจ้าวหยูเฟยหมั้นหมายกันแล้ว หากต่อจากนี้เจ้ายังพัวพันอีก ก็จงรับผิดชอบต่อการกระทำของเจ้าเอง!”
คำพูดชายในชุดสีดำทองค่อยๆ เยียบเย็นขึ้น พอถึงประโยคสุดท้ายก็พูดเน้นคำต่อคำ
“หมั้นหมาย จ้าวหยูเฟยเห็นด้วยหรือไม่?”
ใบหน้าของจ้าวเฟิงไม่เปลี่ยนแปลง ถามออกไปตรงๆ
ชายทั้งสามสีหน้าเปลี่ยนไปทันที สายตาที่มองจ้าวเฟิงมีจิตสังหารวาบผ่าน
หากจ้าวหยูเฟยยินยอม พวกเขาทั้งสามก็คงไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมา และทำทุกวิถีทางเช่นนี้
อีกด้านหนึ่ง ผู้นำระดับสูงของตระกูลตวนมู่ ต่อหน้าจ้าวหยูเฟยก็แสดงทีท่ารอมชอมว่าจะหารือกับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เรื่องยกเลิกการหมั้นหมายครั้งนี้ เพื่อทำให้นางวางใจ
หากแต่จริงๆ แล้วมิใช่เช่นนั้น
ผู้นำระดับสูงของตระกูลตวนมู่และเหล่าเชื้อพระวงศ์มีเป้าหมายชัดเจนมาก ซึ่งก็คือ จ้าวเฟิงนั่นเอง
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ!”
ชายจากจวนกงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระด้าง สีหน้าเหยียดหยามดูถูก
สำหรับพวกเขาแล้ว แค่ลูกศิษย์ขั้นราชันจากสำนักสองดาวคนหนึ่ง จะมางัดข้อกับราชวงศ์หรือตระกูลตวนมู่ได้อย่างไร
เทพธิดาผู้ถูกเลือกซึ่งมีสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณ จะมาเกลือกกลั้วกับมันได้ที่ไหน ฝันกลางวันไปแล้ว!
“ข้ากับจ้าวหยูเฟยมาจากตระกูลเดียวกัน เป็นคู่หมายกันมาตั้งแต่เล็ก ฝึกฝนบำเพ็ญมาด้วยกันจนถึงตอนนี้ เมื่อมาที่ดินแดนทวีป ข้าในฐานะศิษย์พี่ชายไยจะสนใจไม่ได้?”
สีหน้าจ้าวเฟิงโกรธแค้น พูดความจริงที่ทุกคนไม่รู้ออกไป
“อะไรนะ?” ทุกคน ณ ที่นั้นใจสั่นสะท้าน
จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยมาจากตระกูลเดียวกัน?
ความจริงเรื่องนี้ แม้แต่ตวนมู่ชิงก็ยังไม่รู้
ถึงแม้ทั้งสองคนจะแซ่จ้าว หากแต่คนแซ่จ้าวใต้ผืนฟ้านี้เยอะแยะมากมาย หากเป็นคนจากภายนอกล้วนคิดไปว่าเป็นเรื่องบังเอิญ
คิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยจะมาจากตระกูลเดียวกันจริงๆ หากจะนับกันจริงๆ แล้ว จ้าวเฟิงก็สามารถพูดได้ว่าเป็นพี่ชายของจ้าวหยูเฟย
ผู้อาวุโสข้างหลังชายชุดดำเผยรอยยิ้มอันตราย พูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า “พูดจาไร้สาระ อาศัยเพียงคำพูดของเจ้าคนเดียว เจ้าก็เป็นพี่ชายของจ้าวหยูเฟยแล้วงั้นรึ? โลกนี้คนแซ่จ้าวมีเยอะแยะมากมาย หากใครก็พูดเช่นนี้ก็เป็นพี่ชายของจ้าวหยูเฟยได้ทั้งนั้น!”
เมื่อผู้อาวุโสพูดออกไปแล้ว ชายชุดสีดำทองเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ แอบนึกยินดี
“ไม่กล้าให้จ้าวหยูเฟยมายืนยันรึ?”
จ้าวเฟิงยิ้มเย็น เขามองออกตั้งนานแล้วว่าการหมั้นหมายครั้งนี้มีปัญห ไม่เช่นนั้น แค่เพียงตนเองจะเจอกับจ้าวหยูเฟย ไยจึงต้องยุ่งยากเช่นนี้
“จ้าวหยูเฟยปิดด่านฝึกตนอยู่ นางเป็นคนที่เจ้าบอกว่าอยากเจอก็ได้เจองั้นหรือ?”
ชายสวมชุดคลุมใหญ่แผดเสียงอย่างโมโหทันที เหมือนจะทนไม่ไหวอีกต่อไป
“ผู้เยาว์ เจ้ายังไม่รีบไปอีก!”
ผู้อาวุโสหน้าเหลี่ยมตระกูลตวนมู่คำรามขึ้นทันใด พลังเซียนกดข่มเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง ราวกับคลื่นยักษ์อันน่าสะพรึงกลัว
จ้าวเฟิงไม่ทันระวัง เซถอยหลังไปครึ่งก้าว ปราณที่แท้จริงภายในกายเดือดพล่านอยู่ชั่วขณะ
อีกสามคนที่เหลือเผยรอยยิ้มเย็นได้ใจ
ภายใต้การกดดันจากราชสำนัก ผู้นำระดับสูงของจวนกง และผู้อาวุโสแห่งตระกูลตวนมู่ ตวนมู่ชิงรู้สึกว่าไม่ใช่การดี หากปล่อยให้จ้าวเฟิงอยู่ที่นี่ต่อไป เรื่องราวจะยิ่งแย่กันไปใหญ่
“จ้าวเฟิง เจ้าไปจากที่นี่ก่อน หากมีโอกาส ข้าจะจัดการให้เจ้าได้พบหน้ากับศิษย์น้องหยูเฟย” ตวนมู่ชิงส่งกระแสจิตไป
แววตาของจ้าวเฟิงเย็นชา แสงที่แปลกประหลาดปรากฏขึ้น มองไปยังผู้อาวุโสสูงสุดและคนทั้งสาม
คนจากราชวงศ์ทั้งสาม เมื่ออยู่ภายใต้ดวงตาสีทองอันเย็นเยียบของจ้าวเฟิง วิญญาณพลันสั่นสะท้าน ราวกับว่าความลับในใจของพวกเขาล้วนถูกเปิดเผยออก ความกลัวที่น่าแปลกประหลาดทำให้พวกเขามีเหงื่อไหลซึม
“ท่านอาจารย์ ศิษย์ขอตัวก่อน!” จ้าวเฟิงยกมือขึ้นคำนับ ก่อนจะจากไป อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่อาจพบหน้าจ้าวหยูเฟยได้
ในฐานะที่เป็นคนของตระกูลตวนมู่ ตวนมู่ชิงยากที่จะออกหน้าให้จ้าวเฟิง
ส่วนคนจากราชสำนักทั้งสามที่ล้วนเป็นพวกเจ้าเล่ห์ก็ฆ่าไม่ได้
เพราะหากลงมือ จ้าวเฟิงรังแต่จะต้องแบกรับชื่อเสียงเลวร้าย ยังผลให้พวกมันสามารถหาข้ออ้างในการลงมือได้
แต่ทว่า จ้าวเฟิงจะไปที่ใดได้กันเล่า?
เขาหยิบแผนที่ที่ตนเองซื้อในระหว่างที่เดินทางด้วยค่ายกลข้ามเมืองออกมา
“นี่คือมณฑลอวิ๋น จุดที่ตระกูลตวนมู่ตั้งอยู่ ตอนนี้ข้ายังอยู่ในเขตพื้นที่ของเมืองฉางหง เช่นนั้นก็ไปที่นั่นแล้วกัน!”
วิชาวายุอัสนีห้าสายฝึกฝนถึงขั้นที่แปด วายุอัสนีธาตุไฟ แต่ในมือของจ้าวเฟิง ไม่มีวัตถุดิบล้ำค่าธาตุไฟ จำเป็นต้องไปหาซื้อก่อน
ในหอตระกูลตวนมู่
“ผู้อาวุโสสูงสุด เรื่องนี้ ให้พวกเราจัดการเอง”
ชายในชุดดำทอง เผยรอยยิ้มอันตราย
“วังเก้านิรยยังไม่รู้ข่าวของจ้าวเฟิง พวกเราจะปล่อยข่าวนี้ออกไป!” ผู้อาวุโสแห่งราชสำนักคนหนึ่งเอ่ยถึงแผนการ
“เหตุใดพวกเราจึงไม่ลงมือเองเลยเล่า!”
ผู้อาวุโสแห่งราชสำนักอีกคนหนึ่งค่อนข้างใจร้อน
“หึ ในมือของจ้าวเฟิงยังมีศรสังหารเทพอีกดอกหนึ่ง นอกจากนั้น เซียนของวังเก้านิรยก็ตายด้วยน้ำมือของจ้าวเฟิง วังนิรยจะไม่มีวันเลิกราอย่างแน่นอน ”
ชายชุดสีดำทองท่าทางเจ้าเล่ห์
“หึหึ ก็ถูก ให้คนของวังเก้านิรยไปก่อน!”
ทั้งหมดคาดไม่ถึงว่าระดับพลังอย่างจ้าวเฟิงจะสามารถใช้อาวุธเทพชั้นรองสังหารเซียนได้ในพริบตาเดียว
“ศรสังหารเทพเหลือเพียงดอกเดียวเท่านั้น จ้าวเฟิงยากจะหนีเคราะห์นี้!”
ผู้นำระดับสูงตระกูลตวนมู่ที่อยู่ด้านข้าง ในใจแม้จะรู้สึกใจอ่อน แต่เพื่อการใหญ่ของตระกูลแล้ว จึงจำเป็นต้องเด็ดขาด
“ผู้อาวุโสโปรดวางใจ ขอเพียงแค่จ้าวเฟิงตาย การแต่งงานก็จะง่ายขึ้นเยอะ ในยามนี้องค์ชายสิบสามเป็นที่โปรดปรานเช่นนี้ หากชิงตำแหน่งรัชทายาทแล้วขึ้นเป็นจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ หึๆ!”
ชายชุดสีดำทองสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับจะบอกว่า “ท่านเข้าใจดี”
ผู้นำระดับสูงตระกูลตวนมู่ใบหน้าเด็ดเดี่ยว
ทั้งหมดหากเป็นไปดั่งที่ชายชุดดำทองกล่าวมา ภายในไม่กี่ปีนี้ ตระกูลตวนมู่จะต้องผงาดขึ้นมากลับสู่ยุคเฟื่องฟูอีกครั้ง กระทั่งอยู่แถวหน้าของแปดตระกูลใหญ่ทีเดียว