Skip to content

King of Gods 946

King Of Gods

บทที่ 946 หมียักษ์ขนผลึก

“ตาเฒ่าอิง กองกำลังของพวกเจ้าอ่อนแอนัก ไม่เช่นนั้นพวกเราแบ่งกันคนละครึ่งก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้!”

ผู้เฒ่าชุดม่วงไม่ปกปิดความต้องการอีกต่อไป

กลุ่มเขามีปฐมเซียนสองคน ส่วนอีกคนเป็นจักรพรรดิ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็อยู่เหนือกลุ่มของตาเฒ่าอิง

“ตาเฒ่าอิง!”

จิงข่ายมองไปที่เฒ่าอิงทันใด สถานการณ์ในตอนนี้ดูท่าไม่ค่อยดีนัก

สีหน้าของตาเฒ่าอิงสงบราบเรียบ ไม่ได้พูดอะไร

เขายอมรับว่าความสามารถของกลุ่มตนค่อนข้างจะอ่อนแอ แต่นั่นก็เมื่อเปรียบเทียบกับสมาชิกของบรรดาองค์ชายห้าลำดับต้น

ตาเฒ่าอิงเชื่อว่า เมื่อจ้าวเฟิงต้องเผชิญหน้ากับปฐมเซียนคนหนึ่งไม่น่าจะมีปัญหา

ในกลุ่มนี้ จุดด้อยเพียงอย่างเดียวก็คือจิงข่ายเท่านั้น

“หากภยันอันตรายที่เกิดขึ้นต่อไป พวกเจ้ามีบทบาทบ้าง ของที่ได้มาพวกเราก็จะแบ่งให้อย่างยุติธรรม”

ปฐมเซียนผู้หนึ่งในกลุ่มผู้เฒ่าชุดม่วงเอ่ยขึ้น

ได้ทรัพยากรมรดกเซียนมาอย่างง่ายดายเช่นนี้ จะให้พวกเขาจากไปทันทีได้อย่างไร

องค์ชายหกไม่แย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท พวกเขาไม่สนใจ ‘พลังชะตามังกร’ มองหาทรัพยากรมรดกคือภารกิจเดียวที่พวกเขาทำเมื่อมาถึงสุสานราชวงศ์ ด้วยเหตุนี้ การร่วมมือกับกลุ่มตาเฒ่าอิงจึงเป็นเรื่องจำเป็น

จ้าวเฟิงมองประเมินคนทั้งสามตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน ระดับขั้นวิญญาณของพวกเขานับไม่ว่าด้อยนัก และยังมีสมบัติลึกลับปกป้องวิญญาณ

แต่ภายใต้ผลกระทบยาวนานที่เกิดจากลมมืดในหุบเขา ความหวังในใจก็ยังคงถูกจุดให้โชติช่วง เรื่องนี้แม้แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้ตัว

นิสัยของพวกเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับหนึ่งตามการเคลื่อนผ่านของเวลา

ดูๆ ไปแล้ว สถานที่ต้องห้ามแห่งนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เขาคิดไว้

ไม่เช่นนั้นแล้ว จะสามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้แข็งแกร่งระดับปฐมเซียนโดยไม่รู้ตัวได้อย่างไร

จ้าวเฟิงปรายตามองจิงข่าย ถึงแม้อีกฝ่ายจะมีท่าทีขลาดกลัว ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี แต่ในใจยังมีความรู้สึกไม่ยินยอมและเกรี้ยวกราด พอมองเห็นความปรารถนาต่อมรดกได้

“แบ่งกันแบบนี้จะยุ่งยากเกินไป ไม่สู้อาศัยฝีมือของแต่ละคนดีกว่าหรือ ใครได้ก่อนก็เป็นของคนนั้น!”

จ้าวเฟิงเดินหน้าไปก้าวหนึ่ง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง

“เจ้าพูดอะไรน่ะ?”

ผู้เฒ่าชุดม่วงชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาฉายแววตื่นตะลึงเมื่อมองไปที่จ้าวเฟิง

ความจริงแล้วนี่เป็นความคิดภายในใจของเขา แต่เพื่อประคับประคองความสัมพันธ์ในการร่วมมือกันชั่วคราวของทั้งสองกลุ่มถึงไม่ได้พูดออกไป หากใช้วิธีแบ่งโดยการแย่งชิง ฝั่งตาเฒ่าอิงน่าจะได้ไม่ถึงสามส่วนด้วยซ้ำไป

“เหอะๆ แบบนี้ก็ไม่เลว!”

จักรพรรดิรุ่นเยาว์ผู้นั้นหัวเราะเสียงเย็นพลางมองจ้าวเฟิง เขาอยากจะลงมือกับอีกฝ่ายจนแทบทนไม่ไหวแล้ว

“จ้าวเฟิง?”

ตาเฒ่าอิงงุนงงไปชั่วขณะหนึ่ง คิดไม่ตกถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของจ้าวเฟิง

ในตอนนี้เขาไม่อยากจะมีปัญหาเรื้อรังจนเกินจะปรับความเข้าใจ สำหรับเขา ถึงแม้ว่าทรัพยากรมรดกพวกนี้จะมีมูลค่ามากมาย แต่ต่อไปก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส

สิ่งที่เขาสนใจก็คือ ‘พลังชะตามังกร’ ‘พลังชะตามังกร’ ในมรดกแห่งนี้ พวกเขาสามคนแย่งชิงได้มาครึ่งหนึ่งแล้ว ด้วยเหตุนี้ เดิมทีตาเฒ่าอิงจึงเตรียมจะไกล่เกลี่ย

“เจ้าพูดอะไร จ้าวเฟิง?”

จิงข่ายโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที มองจ้าวเฟิงอย่างโกรธเกรี้ยวเย็นชา หากว่าจะใช้กำลังยื้อแย่งกัน ไม่สู้แบ่งเป็นเจ็ดส่วนสามส่วนจะยังดีกว่า

“ตาเฒ่าอิง นี่เป็นความคิดที่ฝั่งเจ้าเสนอออกมาเอง!”

ผู้เฒ่าชุดม่วงยิ้มเจ้าเล่ห์

ทั้งสองฟากตกอยู่ในความเงียบงันไปชั่วขณะ

พรึ่บ! คนทั้งหมดขยับกายพร้อมกัน เป้าหมายไม่ต้องพูดถึง ก็คือแหวนเก็บของที่อยู่ในโลงน้ำแข็งสีฟ้าแวววาวนั่นเอง

ถึงแม้วังน้ำแข็งจะมีของอย่างอื่นจำนวนมาก แต่เห็นได้ชัดว่าของในแหวนเก็บของจะต้องมีมูลค่าสูงกว่า

“แสงม่วงทลายฟ้า!”

ผู้เฒ่าชุดม่วงเข้าขัดขวางอยู่เบื้องหน้าตาเฒ่าอิง ฝ่ามือหนึ่งฟาดลงมา

เงาฝ่ามือสีม่วงวาววับเรืองรองสายหนึ่ง กลายเป็นเงาสีม่วงมืดฟ้ามัวดิน พุ่งเข้าปะทะอย่างจัง

เห็นได้ชัดว่ากลุ่มของผู้เฒ่าชุดม่วงปรึกษาหารือกันเรียบร้อยแล้ว

มีผู้เฒ่าชุดม่วงคอยถ่วงเวลาตาเฒ่าอิงไว้

ส่วนอีกฟาก จักรพรรดิรุ่นเยาว์ผู้นั้นพุ่งไปหาจิงข่าย ในมือปรากฏขวานด้ามยาวสีทอง ในขณะที่กวัดแกว่งก็เกิดเป็นแสงเย็นเยือกสีแดงเหี้ยมโหดอหังการ

เมื่อเผชิญหน้ากับจักรพรรดิ จิงข่ายไม่แสดงท่าทีอ่อนแอแม้แต่น้อย ลำแสงสีทองนับไม่ถ้วนหมุนวนรอบกายทันที และปะทะเข้ากับจักรพรรดิผู้นั้น พลานุภาพรุนแรงอย่างมาก

“ฮ่าๆ ตาเฒ่าอิง ในเมื่อสมาชิกของเจ้าชอบวิธีการแบ่งของกันแบบนี้ เช่นนั้นก็ไม่เกรงใจแล้ว!”

ผู้เฒ่าชุดม่วงส่งฝ่ามือทำลายล้างสีม่วงพร่างพรายออกมา

“เหลยทง ไม่ต้องทำร้ายปรมาจารย์นักฝึกสัตว์ขององค์ชายเก้า เอาแหวนเก็บของมาก็พอแล้ว!”

ผู้เฒ่าชุดม่วงแสร้งทำทีมีเมตตา รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้ากลับชั่วร้ายกว่าที่เคย

“วางใจเถอะ!”

ปฐมเซียนคนหนึ่งในกลุ่มผู้เฒ่าชุดม่วงระบายรอยยิ้มออกเต็มใบหน้า รับมือกับราชันผู้หนึ่งไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลย

เรื่องที่จ้าวเฟิงครอบครองไหมเมฆาผีเสื้อเซียน เขารู้ตั้งนานแล้ว และได้เตรียมตัวเอาไว้พร้อม ต่อให้โดนละอองเกสรของไหมเมฆาผีเสื้อเซียน เขาก็ยังมีหวังจะกำราบจ้าวเฟิงอยู่ดี

“แสงอัสนีจองจำ!”

เหลยทงโบกฝ่ามือสองข้างเรียกโซ่แสงอัสนีเส้นหนึ่งออกมา ก่อนสะบัดตรงไปรัดตรึงร่างของจ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงถอยร่นไปหลายก้าวอย่างรวดเร็ว มือขวาโบกสะบัด

ทันใดนั้น เงาสีขาวขนาดใหญ่สายหนึ่งขวางอยู่ด้านหน้าจ้าวเฟิง กลิ่นอายสัตว์อสูรที่โหดเหี้ยมดุร้ายพุ่งตรงดิ่งไปที่เหลยทง

นี่คือสัตว์อสูรวิเศษที่จ้าวเฟิงเจอโดยไม่ตั้งใจ ขณะฝึกฝูงสัตว์อสูรตอนที่เพิ่งเข้ามาในสุสานราชวงศ์ และสิ้นเปลืองพลังไปจำนวนมากถึงจะฝึกให้เชื่องได้

“นี่คือ? สัตว์อสูรในมิติบรรพกาลงั้นรึ?”

สีหน้าของเหลยทงตะลึงเล็กน้อย มองไปยังหมีขาวขนผลึกน้ำแข็งตัวใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า

พลังความสามารถของสัตว์อสูร เดิมทีก็อยู่เหนือขอบเขตพลังของตัวมันเอง แล้วบวกกับว่าเจ้าหมียักษ์ขนผลึกตัวนี้เกิดในมิติบรรพกาล จึงไม่ต้องแบกรับแรงต้านจากกฎเกณฑ์มิติ กำลังรบน่าสะพรึง

“เป็นไปได้อย่างไร? เจ้าเด็กนี่สามารถฝึกสัตว์อสูรวิเศษในขั้นจักรพรรดิของมิติบรรพกาลได้?”

สีหน้าของผู้เฒ่าชุดม่วงตึงเครียดเล็กน้อย

เดิมทีเขาคิดว่าจ้าวเฟิงก็เพียงแต่พึ่งพาไหมเมฆาผีเสื้อเซียนที่หนานเฟิงอ๋องมอบให้ จึงได้รับตำแหน่งปรมาจารย์นักฝึกสัตว์มา ความสามารถในการฝึกสัตว์ของตัวเขาไม่มีอะไรพิเศษ

อีกอย่าง ปรมาจารย์นักฝึกสัตว์ขอบเขตพลังขั้นราชัน เหตุใดจึงสามารถฝึกสัตว์อสูรขั้นจักรพรรดิในมิติบรรพกาลได้! ต่อให้เป็นปรมาจารย์นักฝึกสัตว์ของสำนักในขั้นจักรพรรดิส่วนหนึ่งร่วมมือกันกำราบ ก็ยังยากจะทำให้เชื่องได้

“หมียักษ์ขนผลึกในขั้นจักรพรรดิ ดี!”

ตาเฒ่าอิงอดเอ่ยชมไม่ได้ อันที่จริงแล้ว เขาเองก็สงสัยในความสามารถการฝึกสัตว์อสูรของจ้าวเฟิง ทว่าจ้าวเฟิงจะนำความประหลาดใจมาให้เขาทุกครั้งไป

ในขณะที่จ้าวเฟิงพิชิตมรดกหลายแห่ง ก็ยังควบคุมสัตว์อสูรที่มีกำลังรบแข็งแกร่งอย่างมากเช่นนี้ได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ จะใช้ค่ายกลรักษาชีวิตเพียงหนึ่งเดียวใน ‘หยกมังกรคุ้มกัน’ ก็นับว่าคุ้มค่า หนำซ้ำในมือของจ้าวเฟิงยังมีอาวุธเทพชั้นรองที่ให้ความช่วยเหลืออย่างมนตราอากาศด้วย

โฮก! หมียักษ์ขนผลึกส่งเสียงคำราม กรงเล็บสีขาวฟาดลงไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า ลมหนาวเหน็บแช่แข็งอากาศในบริเวณนั้นจนหมด

ส่วน ‘โซ่แสงอัสนี’ ที่เหลยทงปลดปล่อยออกมาถูกร่างของหมียักษ์ขนผลึกขวางเอาไว้ จึงไม่ส่งผลใดแม้แต่น้อย

ฟุ่บ! เหลยทงเอี้ยวตัวหลบการโจมตีของหมียักษ์ขนผลึก

“หอกสายฟ้าแสงอัสนี!”

เมื่อเผชิญหน้ากับหมียักษ์ขนผลึกขั้นจักรพรรดิ เหลยทงไม่ออมมืออีก

ทั่วร่างของเหลยทงเป็นประกายสว่างวูบวาบ พลังอัสนีบาตจำนวนมากรวมตัวอยู่ด้านบนศีรษะ หอกเงินสายฟ้าขนาดใหญ่เท่ามือค่อยๆ รวมตัวจนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

วู้ม แซ่ด!

มือข้างหนึ่งของเหลยทงถือหอกสายฟ้าเอาไว้ พลังอำนาจเพิ่มพุ่งพรวด แสงอัสนีโอบล้อมรอบกาย ก่อนจะปะทะเข้ากับหมียักษ์ขนผลึกอย่างจัง

“เป็นพลังที่แข็งแกร่งนัก!”

มือสองข้างของเหลยทงชาวาบ ถอยร่นไปหลายก้าว

การโจมตีธาตุอัสนีของเขา เมื่อเผชิญหน้ากับหมียักษ์ขนผลึกที่หนังหยาบเนื้อหนา ผลลัพธ์ของมันอ่อนลงไปมากเหมือนโดนควบคุมเอาไว้

ในเวลาดังกล่าว จ้าวเฟิงเดินไปที่โลงน้ำแข็ง

“ผู้เยาว์ อย่าคิดว่าจะสมหวัง!”

เหลยทงเกรี้ยวกราดหนักยิ่งขึ้น ขว้าง ‘หอกสายฟ้าแสงอัสนี’ ออกไป เป้าหมายคือโลงน้ำแข็งสีฟ้าแวววาว

ต่อมา ความเร็วของเหลยทงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พุ่งตรงดิ่งไปหาจ้าวเฟิง

หมียักษ์ขนผลึกควบคุมเขาเอาไว้ได้พอควร

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เหลยทงก็เปลี่ยนกลยุทธ์ ใช้จุดเด่นในเรื่องของความเร็ว ไม่ต่อสู้กับหมียักษ์ขนผลึกอย่างซึ่งหน้า ทว่าจะกำจัดจ้าวเฟิงเพื่อฉกฉวยเอาแหวนเก็บของมาก่อน

ข้อด้อยของหมียักษ์ขนผลึกก็คือความเร็ว

เปรี๊ยะ! หอกสายฟ้าแสงอัสนีแทงทะลุเข้าไปโลงน้ำแข็ง ระยะห่างระหว่างมันกับแหวนแทบไม่ถึงครึ่งชุ่น

ตู้ม! ตัวของโลงน้ำแข็งผลึกปรากฏรอยร้าวในระดับหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีธาตุสายฟ้าเช่นนี้จึงระเบิดออกทันที

“ผู้เยาว์ จัดการเจ้าก่อน!”

แววตาของเหลยทงเป็นประกายดุดัน ตรงดิ่งไปหาจ้าวเฟิงที่ถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว

“ช้าก่อน ข้าได้แหวนเก็บของมาแล้ว ควรจะหยุดได้แล้วหรือไม่!”

จ้าวเฟิงยิ้มสบายอารมณ์ แล้วอวดแหวนสีทองในมือ

“อะไรกัน? เป็นไปได้อย่างไร?” เหลยทงมีสีหน้าตื่นตระหนก

’หอกสายฟ้าแสงอัสนี’ เมื่อครู่ปะทะเข้าไปที่ด้านข้างของแหวนเก็บของ ต่อจากนั้นโลงน้ำแข็งก็ระเบิดออก

ตั้งแต่ต้นจนจบ จ้าวเฟิงยังไม่เคยเข้าใกล้แหวนเก็บของแม้แต่น้อย

เมี้ยว! ในเวลานี้เอง บนไหล่ของจ้าวเฟิงก็ปรากฏแสงสีเงินกะพริบวิบวับ เจ้าแมวขโมยตัวน้อยปรากฏกายขึ้น แหงนศีรษะยืดอก เหมือนกำลังบอกว่ามันเองที่เป็นคนทำ!

“สัตว์วิเศษที่มีพรสวรรค์ข้ามมิติ!”

แววตาของเหลยทงอึ้งตะลึง กำมือสองข้างแน่น จ้องไปที่จ้าวเฟิงเขม็งด้วยท่าทีไม่ยินยอม

ยามนั้น ผู้เฒ่าชุดม่วงกับจักรพรรดิอีกคนหนึ่งก็มองเห็นผลจากการการแย่งชิงระหว่างจ้าวเฟิงและเหลยทง สีหน้าคล้ำเขียวไม่มั่นคง ไม่อาจจะยอมรับผลได้

“ควรหยุดได้แล้ว สถานที่นี้ยังมีมรดกอื่นอีก!”

ตาเฒ่าอิงมองเห็นสีหน้าต่อต้านและสับสนของพวกผู้เฒ่าชุดม่วง จึงเอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์

“ได้ ตาเฒ่าอิง ครั้งนี้ถือว่าพวกเจ้าชนะ!”

แววตาของผู้เฒ่าชุดม่วงบึ้งตึงเมื่อมองที่จ้าวเฟิง

เหลยทงและจักรพรรดิรุ่นเยาว์อีกคนยั้งมือทันที แล้วเปลี่ยนไปค้นหาของอย่างอื่นในวังน้ำแข็งแทน

“จ้าวเฟิงผู้นี้ตึงมืออยู่เหมือนกัน สัตว์วิเศษที่เขามีพิเศษมาก!”

เหลยทงส่งกระแสจิตอธิบายกับคนทั้งสอง

เมื่อต้องพ่ายแพ้ในเงื้อมมือของราชันคนหนึ่ง เหลยทงโกรธเกรี้ยวและไม่ยอมอย่างยิ่ง

“เหอะๆ ไม่ต้องรีบร้อน ตอนนี้พวกเรายังต้องการความช่วยเหลือจากกลุ่มของตาเฒ่าอิง รอให้สบโอกาสเหมาะค่อยชิงกลับมาทั้งหมดก็ยังได้!”

ผู้เฒ่าชุดม่วงเอ่ยอย่างมีความนัยแฝง

“ใช่ เอาไว้ที่พวกเขาก่อน!”

จักรพรรดิรุ่นเยาว์คนนั้นกระตือรือร้น

สีหน้าของจิงข่ายฉายแววแปลกใจระคนยินดี พุ่งทะยานไปอย่างอดรนทนไม่ไหว

คิดไม่ถึงเลยว่าสัตว์วิเศษของจ้าวเฟิงจะแข็งแกร่งเช่นนี้ ช่วงชิงเอาแหวนเก็บของไปได้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“รีบมาดูเร็ว ในแหวนเก็บของมีสมบัติอะไรบ้าง?”

จิตสำนึกของจ้าวเฟิงดำดิ่งลงไปในมิติเก็บของ เกิดความประหลาดใจเล็กน้อย “คิดไม่ถึงว่าจะมีแค่ทรัพยากรของขอบเขตเทวาเร้นลับชั้นต้นเท่านั้น!”

“เซียนชั้นต้นก็ไม่เลวแล้ว ที่นี่ยังเป็นเขตรอบนอกของหุบเขาวายุทมิฬ!”

จิงข่ายตั้งหน้าตั้งตารอการค้นหาที่จะเกิดขึ้นต่อไปอย่างมาก หลังจากนั้น กลุ่มตาเฒ่าอิงก็เอาสิ่งของในแหวนเก็บของมาแบ่งกันอย่างเท่าเทียม จ้าวเฟิงครอบครองไว้สี่ส่วนคนเดียว

“ไปกันเถอะ ตาเฒ่าอิง การสำรวจหุบเขาวายุทมิฬเพิ่งจะกำลังเริ่มขึ้น!”

สีหน้าของผู้เฒ่าชุดม่วงเรียบสงบ เหมือนว่าลืมเรื่องไม่ดีเมื่อครู่ไปหมดแล้ว

“หืม!” ในวินาทีที่เดินออกมาจากโลกมรดก ทั้งสองฝ่ายมองเห็นคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้ามาในพื้นที่ต้องห้ามหุบเขาวายุทมิฬ

“นั่นคือ? กองกำลังขององค์ชายสอง!”

คิ้วของผู้เฒ่าชุดม่วงขมวดเล็กน้อย

องค์ชายสองไม่ได้องอาจกล้าหาญ แต่ความสัมพันธ์ที่หนุนหลังเขาซับซ้อนทรงอำนาจอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ความแข็งแกร่งทั้งหมดขององค์ชายจึงอยู่ในลำดับที่ห้า

กลุ่มนี้มีทั้งหมดสี่คน เป็นปฐมเซียนสามคน จักรพรรดิหนึ่งคน แต่พลังความสามารถของสมาชิกทุกคนอาจจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาเล็กน้อย

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังขององค์ชายสอง พวกเขาสองกลุ่มร่วมมือกันก็ไม่แน่ว่าจะได้เปรียบกว่า

“พวกเรารีบลงมือกันเถอะ ลมมืดของพื้นที่ต้องห้ามหุบเขาวายุทมิฬอ่อนแรงลงไป ไม่แน่ว่าจะกลับไปสู่สถานการณ์เดิมตอนไหน!”

แววตาของเหลยทงร้อนรนอยู่ส่วนหนึ่ง

ทุกคนเร่งฝีเท้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว กลุ่มที่เข้าไปในหุบเขาวายุทมิฬมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่อาจเสียโอกาสครั้งสำคัญไปได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!