บทที่ 963 การปะทะกันระหว่างสัตว์อสูร
จ้าวเฟิงอึ้งไปเล็กน้อย ปรายตามองเฉินจีจื่อ
เขาพูดว่าจะโจมตีองค์ชายเจ็ด เหตุผลหลักๆ คือองค์ชายแปดและสมาชิกจำนวนมากต่างรู้จักจ้าวเฟิง ถึงแม้จะไม่นับว่าเป็นสหายแต่ก็ไม่ใช่ศัตรู ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งคือ ในใต้ดินหุบเขาวายุทมิฬ กองกำลังของเจียงฮ่าวสูญเสียสมาชิกไปสองคน หนึ่งในนั้นเป็นปรมาจารย์ค่ายกลอูอวี้ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญ
กองกำลังของเจียงฮ่าวเป็นสมาชิกฝ่ายองค์ชายเจ็ด ด้วยเหตุนี้กำลังรบทั้งหมดขององค์ชายเจ็ดในตอนนี้จึงด้อยกว่าองค์ชายแปด พูดโดยสรุปคือ เหตุผลที่จ้าวเฟิงเลือกโจมตีองค์ชายเจ็ด โดยมากเป็นเรื่องส่วนตัวทั้งนั้น
แต่เหตุใดเฉินจีจื่อเองก็เอ่ยออกมาอย่างเดียวกัน?
คนที่เหลือในกองกำลังองค์ชายเก้ามองจ้าวเฟิงและเฉินจีจื่ออย่างตื่นตะลึงเช่นกัน
“เป็นเพราะอะไร?” สืออวี่เหลยถาม
เขาแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะเหตุใดจ้าวเฟิงและเฉินจีจื่อจึงพูดเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
ถ้าหากคนทั้งสองจะโจมตีองค์ชายแปดยังจะสมเหตุสมผลกว่า
“หากข้าเดาไม่ผิด พลังโดยรวมขององค์ชายแปดน่าจะแข็งแกร่งกว่าองค์ชายเจ็ดมาก หลังจากที่เราบุกยึดเมืองความลับสวรรค์ได้แล้วจะต้องโต้กลับ!”
ดวงตาของตาเฒ่าอิงกลอกไปมา รีบเอ่ยขึ้น เดิมเขาก็อยากจะบุกเมืองความลับสวรรค์ที่องค์ชายแปดยึดครองอยู่ แต่จ้าวเฟิงและเฉินจีจื่อต่างคิดว่าควรบุกโจมตีองค์ชายเจ็ด จะต้องมีเหตุผลอะไรเป็นแน่ อีกทั้งเฉินจีจื่อเป็นปรมาจารย์นักทำนายในศาสตร์แห่งโชคชะตา อาจคำนวณได้ถึงปัจจัยสำคัญบางอย่าง
ด้วยเหตุนี้ ในฐานะที่เป็นมันสมองของกลุ่ม เขาจำเป็นต้องหาเหตุผลโน้มน้าวสมาชิกคนอื่น ไม่อาจปล่อยให้เกิดความแตกแยก
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ!” ซูชิงหลิงผงกศีรษะน้อยๆ
สามคนที่มีอิทธิพลในกลุ่มมากที่สุดต่างเห็นด้วยที่จะบุกโจมตีองค์ชายเจ็ด
ทุกคนค่อยๆ เปลี่ยนความคิดมาเชื่อพวกเขา ด้านหลังหินขนาดยักษ์คือกองกำลังจากความร่วมมือขององค์ชายทั้งสามคน
“พวกเขาสนใจเมืองความลับสวรรค์ฝั่งตะวันตกแล้วงั้นหรือ?”
จักรพรรดิผู้หนึ่งร้องตกใจ
“อะไรกัน? พวกเขาจะโจมตีองค์ชายเจ็ด?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร? องค์ชายเก้าผู้อยู่ในอันดับเจ็ดจะเป็นคู่ต่อสู้ขององค์ชายเจ็ดได้ที่ไหน? องค์ชายเจ็ดอยู่อันดับที่สามเชียวนา!”
“พวกเขารนหาที่ตายชัดๆ!”
ผู้แข็งแกร่งไม่น้อยตรงจุดรวมตัวกันของสามองค์ชายทั้งตื่นตะลึงและเย้ยหยัน
“บางทีอาจเป็นเพราะองค์ชายเก้าเห็นพวกเราสามคนร่วมมือกัน ต่อให้พวกเขาโจมตีองค์ชายแปดก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร!”
“เหอะๆ แน่อยู่แล้ว พวกเราสามฝ่ายร่วมมือกันย่อมต้องเอาชนะองค์ชายแปดได้!”
ทุกคนต่างนึกถึงจุดนี้ได้อย่างรวดเร็ว “ฮ่าๆ นับว่าพวกเขายังพอมีสมองอยู่บ้าง!”
องค์ชายห้าหัวเราะหยัน
ด้วยความหนักแน่นขององค์ชายสอง อาจจะให้องค์ชายเก้าเข้าร่วมด้วย
ตอนนี้องค์ชายทั้งสามร่วมมือกัน แบ่งผลประโยชน์ในเมืองความลับสวรรค์ออกเป็นสามส่วน องค์ชายห้าย่อมไม่ยินยอมให้องค์ชายเก้าเข้าร่วมด้วย
บนกำแพงเมืองเหล็กกล้าขององค์ชายแปด สมาชิกทั้งหมดขององค์ชายแปดมีสีหน้าสงสัย มององค์ชายเก้าและพวกโบยบินไปยังเมืองความลับสวรรค์ทางทิศตะวันตก
“เหตุใดพวกเขาจึง…”
เดิมทีพวกเขาคิดว่าองค์ชายเก้าจะร่วมทัพองค์ชายสองเข้าโจมตีพวกเขาหากเป็นเช่นนั้น ต่อให้กองกำลังของพวกเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็คงปกป้องเมืองความลับสวรรค์แห่งนี้เอาไว้ไม่ได้
เซียนไป่เลี่ยนและสองอัจฉริยะของตระกูลจีก็งุนงงอย่างมาก
“จ้าวเฟิง!”
หยูเทียนฮ่าวมีท่าทีผิดหวัง ก่อนมองไปที่คนจำนวนมากด้านหลังแล้วเอ่ยอย่างจริงจัง “น่าจะเป็นเพราะพวกเจ้าต่างก็เคยพ่ายแพ้ต่อจ้าวเฟิง จ้าวเฟิงจึงรู้สึกว่าโจมตีเมืองความลับสวรรค์แห่งนี้ไปก็น่าเบื่อ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทั้งองค์ชายแปด ลั่วจุน เซียนไป่เลี่ยน และอัจฉริยะตระกูลจีพลันหน้าตึง มุมปากกระตุก แต่ก็ไม่ได้คัดค้านด้วยเพราะเป็นเช่นนั้นจริง
ความแข็งแกร่งของจ้าวเฟิงหยั่งรากลึกลงไปในใจทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์ชายแปด ตั้งแต่พบเจอจ้าวเฟิง เข้ามิติเทพลวงตา จนมาถึงตอนนี้ที่ล่วงรู้ว่าจ้าวเฟิงมีเพลิงมารโลหิตที่สมบูรณ์แบบ องค์ชายแปดเคยรู้สึกเสียใจภายหลังมาหลายครั้ง หากตอนแรกสร้างสัมพันธ์อันดีกับจ้าวเฟิงไว้ ตอนนี้จ้าวเฟิงก็คงเป็นแรงสนับสนุนที่ดีเยี่ยมของเขา
ยามนี้ ณ เมืองความลับสวรรค์ทางทิศตะวันตก!
“องค์ชายเจ็ด กองกำลังขององค์ชายเก้ามาแล้ว!”
บัณฑิตหนุ่มหน้าหยกผู้หนึ่งเอ่ยเสียงเบา
“ฮึๆ ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียจริง!”
ผู้เฒ่าผอมกระหร่องคนหนึ่งดวงตาเปล่งประกายดุจสามารถมองทะลุทุกสรรพสิ่ง ข้างกายเขามีชายวัยกลางคน ดวงตาทั้งสองฉายพลังศาสตร์กระบี่ที่ไร้รูปร่างออกมา
คนทั้งสองคือยอดกระบี่ของหอกระบี่ฟ้า สำนักกระบี่อันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าเฉียน
“องค์ชายเจ็ด จ้าวเฟิงจากฝ่ายองค์ชายเก้าคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ!”
เจียงฮ่าวเอ่ยเสียงต่ำ
“ต่อให้ไม่ธรรมดาเท่าไหร่ก็เป็นเพียงราชันในขอบเขตปราณเทวะเท่านั้น อีกทั้งสถานะของเขายังเป็นนักฝึกสัตว์ที่สำคัญที่สุดในการบุกเมือง!”
องค์ชายเจ็ดไม่ได้ใส่ใจคำพูดของเจียงฮ่าว ดวงตาฉายแววดูแคลน
หากเป็นกองกำลังความร่วมมือขององค์ชายสองและองค์ชายห้าล่วงหน้ามาโจมตี พวกเขายังต้องกังวลสักหน่อย ก็แค่องค์ชายเก้า ไม่ต้องสนใจด้วยซ้ำ
“นั่นก็ถูก!” เจียงฮ่าวผงกศีรษะเล็กน้อย
ใต้ดินหุบเขาวายุทมิฬในตอนนั้น ฝีมือที่น่ากลัวของจ้าวเฟิงประทับติดในใจเขาอย่างลึกซึ้ง แต่การศึกยึดครองเมือง ผู้ที่สำคัญที่สุดคือนักฝึกสัตว์ จ้าวเฟิงที่อายุน้อยนิดเท่านี้จะลึกซึ้งด้านการฝึกสัตว์มากขนาดไหนกันเชียว?
“เจียงฮ่าว เจ้าจงวางใจ ตัวข้าไม่มีทางให้สัตว์อสูรของเขาเข้าใกล้เมืองความลับสวรรค์แห่งนี้ เจ้าก็เถอะ อย่าได้หวาดกลัวจนกลายเป็นแบบนี้!”
ผู้อาวุโสชุดเทายิ้มอย่างเชื่อมั่น
เจียงฮ่าวเผยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ได้พูดอะไรออกมา
กลุ่มที่เขานำมีคนตายไปสองคนที่ใต้ดินหุบเขาวายุทมิฬ หนึ่งในนั้นมีปรมาจารย์ค่ายกลอูอวี้ ส่วนเขากับปฐมเซียนอีกคนหนึ่งใช้ค่ายกลใน ‘หยกมังกรคุ้มกัน’ กลับไปข้างกายองค์ชายเจ็ด สามารถพูดได้ว่าเสียหายอย่างหนัก เสียหน้าอย่างที่สุด
เจียงฮ่าวจึงไม่มีสิทธิ์มีเสียงในกองกำลังองค์ชายเจ็ดโดยสมบูรณ์แล้ว
“อืม ต้องขึ้นอยู่กับปรมาจารย์นักฝึกสัตว์จางอี้แล้ว!”
องค์ชายเจ็ดอมยิ้มเอ่ย
จางอี้ค่อยๆ เดินออกจากสิ่งปลูกสร้างโลหะ บินขึ้นไปบนกำแพง ใบหน้าดูยิ้มแย้มขณะมองกองกำลังขององค์ชายเก้าที่โบยบินมา ทันใดนั้น สัตว์อสูรดุร้ายจำนวนนับร้อยด้านหน้ากำแพงเมืองเหล็กกล้าเบิกดวงตาสองข้างขึ้น ไอชั่วร้ายของสัตว์อสูรที่สะพรึงแผ่พวยพุ่ง
ส่วนมากสัตว์อสูรพวกนี้เขาจัดเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในดินแดนทวีป ส่วนที่เหลือเป็นสัตว์อสูรในสุสานราชวงศ์ เพราะไม่มีใครมาโจมตีเมืองความลับสวรรค์ขององค์ชายเจ็ด กองกำลังพวกเขาจึงไม่ได้แลกเปลี่ยนสัตว์อสูรใน ‘อุทยานสัตว์วิเศษ’
“มาเถิด ให้ข้าดูหน่อยว่าพวกเจ้ามีความสามารถมากขนาดไหน!”
จางอี้กวาดตามอง หยุดสายตาบนร่างของจ้าวเฟิงอยู่ครู่หนึ่ง
ถึงแม้จะได้ยินมาว่าจ้าวเฟิงมีไหมเมฆาผีเสื้อเซียน แต่นี่คือการต่อสู้ระหว่างฝูงสัตว์อสูร สัตว์วิเศษตัวหนึ่งจะสำแดงประโยชน์ได้น้อยนิดอย่างยิ่ง อีกทั้งวิธีการรับมือกับไหมเมฆาผีเสื้อเซียนก็มีมากมาย
กองกำลังขององค์ชายเก้าจับจ้องจ้าวเฟิงเช่นกัน
ความสามารถในการฝึกสัตว์ของจ้าวเฟิงทำให้พวกเขาเปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่ ไม่รู้ว่าความสามารถด้านควบคุมสัตว์จะเป็นอย่างไรบ้าง
แต่จ้าวเฟิงเป็นคนเสนอให้โจมตีองค์ชายเจ็ด ทุกคนยังเชื่อว่าเขาต้องมีดีอยู่พอควร
หนำซ้ำจำนวนสัตว์อสูรในครอบครองของจ้าวเฟิงก็มากกว่าสัตว์อสูรหน้าประตูเมืองขององค์ชายเจ็ดมาก นี่ก็คือเหตุผลที่กล้าโจมตีฝั่งองค์ชายเก้า
จ้าวเฟิงเดินขึ้นมาด้านหน้าแล้วโบกมือ สัตว์อสูรจำนวนมากปรากฏขึ้นทันใด
“หืม? ฝูงแมงป่องพิษริ้วดำ ฝูงหมาป่าสายลม ยังมีวานรทองสะท้านฟ้าอีกสองตัว นับว่าสร้างความประหลาดใจให้ข้าไม่น้อย!”
จางอี้หัวเราะเสียงดัง
จางอี้มองเพียงปราดเดียวก็ดูออก ฝูงสัตว์อสูรทั้งสองของจ้าวเฟิงเป็นถึงเผ่าพันธุ์ดั้งเดิมในสุสานราชวงศ์
สามารถฝึกฝนฝูงสัตว์อสูรทั้งหมดสองฝูง ดูไปแล้วฝั่งองค์ชายเก้าก็ทุ่มเทไปไม่น้อย แต่พึ่งเพียงสัตว์อสูรสองฝูง บวกกับวานรทองสะท้านฟ้าสองตัว อยากจะเอาชนะฝูงสัตว์อสูรของเขาก็เป็นเรื่องเพ้อฝันยิ่งนัก
แรกสุดคือในด้านจำนวนก็มีส่วนต่างไม่น้อยแล้ว จากนั้นยังมีความต่างอย่างมหาศาลระหว่างนักฝึกสัตว์อีก!
จ้าวเฟิงไม่ใส่ใจจางอี้ นัยน์ตาซ้ายปรากฏระลอกแสงสีทองอ่อนขึ้น
เวลาเดียวกัน ในส่วนลึกของดวงวิญญาณ จ้าวเฟิงโคจร ‘วิชาหมื่นห้วงคิดเซียน’ ห้วงความคิดหลายร้อยหลอมรวมเข้าไปในร่างของสัตว์อสูรทุกตัว
จิตใจของจ้าวเฟิงผสานเข้ากับสัตว์อสูรเบื้องหน้าทั้งหมด รู้สึกราวกับสัตว์อสูรเหล่านี้เป็นดุจมือเท้าของตนเองควบคุมได้ดังใจปรารถนา
“พลังวิญญาณแข็งแกร่งนัก!”
จางอี้รู้สึกได้ว่าจ้าวเฟิงกำลังจะเริ่มโจมตี
แต่พลังวิญญาณที่จ้าวเฟิงปลดปล่อยออกมาในตอนนี้ไม่ด้อยไปกว่าเขาเลยแม้แต่น้อย จางอี้ระแวดระวังอย่างไม่รู้ตัว
วูบ วูบ! สัตว์อสูรด้านล่างกำแพงเมืองพลันวุ่นวาย เรียงตัวเป็นกระบวนทัพ
“ไป!” จ้าวเฟิงออกคำสั่ง
ตัวที่ทะลวงโจมตีก่อนคือวานรทองสะท้านฟ้าสองตัว!
โครม ตูม! ร่างกายของวานรทองสะท้านฟ้าใหญ่ยักษ์ แต่กลับเคลื่อนไหวรวดเร็วปราดเปรียวอย่างยิ่ง วิ่งทะยานบนพื้นสองก้าวก็พลันกระโจนขึ้นไป ละม้ายภูผาสีทองพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ต่อจากนั้นก็ตามด้วยฝูงหมาป่าสายลมและฝูงแมงป่องพิษริ้วดำ
“ยักษ์แห่งขุนเขา โจมตี!”
จางอี้รู้เรื่องเกี่ยวกับวานรทองสะท้านฟ้าเยอะมาก มีเพียงปีศาจที่พลังป้องกันแข็งแกรงอย่างยักษ์แห่งขุนเขาถึงจะรับมือได้
เปรี้ยง! ยักษ์สี่ตัวปะทะเข้าหากัน
“เหอะ จุดอ่อน!”
จ้าวเฟิงโคจรดวงตาซ้าย ในเวลาเดียวกันก็รวมห้วงคิดจำนวนมากเข้าไปในร่างวานรทองสะท้านฟ้า ควบคุมวานรตัวหนึ่งให้โจมตีเท้าขวาของยักษ์แห่งขุนเขาติดๆ กัน
ส่วนวานรทองสะท้านฟ้าอีกตัวโจมตีไปที่บ่าของยักษ์แห่งขุนเขาที่เหลือ
“เป็นไปได้อย่างไร? วานรทองสะท้านฟ้าของจ้าวเฟิง เหตุใดจึงรู้จุดอ่อนที่ซุกซ่อนอยู่ของยักษ์แห่งขุนเขาได้?”
จางอี้ตื่นตะลึงไปทันใด ยักษ์แห่งขุนเขาติดตามเขาลงสนามรบมานานหลายปี บนร่างย่อมมีบาดแผลหลงเหลือบางส่วน
แต่ทำไมสัตว์อสูรของจ้าวเฟิงถึงฉลาดแบบนี้ได้?
หนำซ้ำวิธีการโจมตีและการเคลื่อนไหวของสองวานรทองสะท้านฟ้าปราดเปรียวว่องไว ถึงกระทั่งมีกลยุทธ์ระดับล่างแฝงอยู่
จางอี้ถึงขั้นสงสัย วานรทองสะท้านฟ้าสองตัวนี้ถูกราชันหรือจักรพรรดิคนไหนยึดครองร่างหรือไม่!
การควบคุมการโจมตีและกลยุทธ์การต่อสู้เหล่านี้เหมือนมนุษย์ไม่มีผิดเพี้ยน
ทันใดนั้น ยักษ์แห่งขุนเขาสองตัวถูกโจมตีจนถอยร่นต่อเนื่อง
“พวกเจ้าก็มาช่วยข้าด้วย หมียักษ์ปีกดำ!”
ปรมาจารย์นักฝึกสัตว์จางอี้มีสีหน้าตึงเตรียด
ครั้งแรกที่ประมือกัน สัตว์อสูรที่เขาส่งออกมากลับถูกวานรทองสะท้านฟ้าของจ้าวเฟิงโจมตีจนพ่ายแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้
พรึ่บ พรึ่บ! หมียักษ์ปีกดำสองตัวปราดเปรียวกว่ายักษ์แห่งขุนเขามาก เมื่อโผทะยานขึ้น กรงเล็บใหญ่สีดำก็หอบลมพายุมหาศาลพัดมาโจมตี
“ถอย!” จ้าวเฟิงยิ้มแย้มเล็กน้อย ใช้จิตใจควบคุมให้วานรทองสะท้านฟ้าถอยไปหลายก้าวและเอี้ยวศีรษะหลบ ทำให้กรงเล็บของหมียักษ์ปีกดำผ่านขนวานรทองไปอย่างฉิวเฉียด
“เป็นไปได้อย่างไร?” จางอี้เกือบจะกระอักเลือดออกมา
วานรทองสะท้านฟ้าสองตัวนี้จะต้องมีสติปัญญาแล้วแน่ ความคิดที่ว่องไวเช่นนี้และการกระทำที่เหมาะเจาะแม่นยำ หลบหลีกการโจมตีที่รวดเร็วของหมียักษ์ปีกดำได้อย่างหมดจด
เหตุใดสัตว์อสูรทั่วไปถึงมีนิสัยเช่นนี้ได้!
ตอนนี้กองกำลังขององค์ชายเก้าที่ชมการต่อสู้อยู่ต่างอึ้งงันไป ยามจับสัตว์อสูรทั้งสองตัวนี้ พวกเขาช่างโง่งมยิ่งนัก เอาแต่พุ่งเข้าโจมตีอย่างบ้าคลั่ง
“นี่คือวานรทองสะท้านฟ้าที่พวกเราไล่จับงั้นหรือ?”
สืออวี่เหลยลูบศีรษะด้วยความฉงนสงสัย
“จ้าวเฟิงน่าจะฝึกพวกมันเป็นพิเศษกระมัง!”
ใบหน้าซูชิงหลิงออกจะแข็งทื่อ
สัตว์อสูรสองตัวนี้เหมือนมีความคิดอ่านแบบมนุษย์ แถมยังมีกลยุทธ์การต่อสู้บางอย่างด้วย