Skip to content

กี่ชาติกี่ภพข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้ามีความสุข 1

Cover Kj

วันที่เริ่มเขียน 5 มีนาคม 2567

กี่ชาติกี่ภพข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้ามีความสุข

ชาติที่หนึ่ง : สามีข้าคือขันที

Chapter 1 แผนถอนหมั้น 1

ณ บ้านตระกูลหนานกง ทุกหนทุกแห่งตกแต่งประดับประดาไปด้วยผ้าสีแดงเพราะวันนี้เป็นวันแต่งงานของหนานกงเยี่ยนกับคุณหนูหว่านหรง ใครๆ ต่างก็พากันอิจฉาคุณหนูหว่านหรงที่ได้แต่งงานกับหนานกงเยี่ยนบุรุษที่เก่งกาจที่สุดของแคว้นนี้ หลังจากเสร็จพิธีต่างๆ ตามประเพณีแล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็เข้าห้องหอ หว่านหรงมองลอดผ้าคลุมศีรษะออกไป นางเขินอายจนหน้าแดง หนานกงเยี่ยนเปิดผ้าคลุมออกมองฮูหยินที่งดงามราวดอกไม้แรกแย้ม เขาเชยคางนางขึ้น หว่านหรงหลุบตาลงเขินอายจนหน้าแดงแล้วแดงอีก

ก่อนที่จะมีงานแต่งงานยิ่งใหญ่นี้ ย้อนกลับไปเมื่อเดือนที่แล้ว

“หรงเอ๋อร์ ดูซิผ้าผืนนี้สวยจริงๆ” หว่านหรูอี้จับเนื้อผ้าจากผ้าหลายพับที่อยู่ในร้านชี้ชวนให้น้องสาวต่างมารดาชมดู หว่านหรงขยับเข้าไปมองอย่างตื่นๆ นางไม่ค่อยได้ออกจากจวนมาบ่อยนัก เนื่องจากนางเป็นลูกกำพร้ามารดา แม้ว่ามารดาของนางจะเป็นฮูหยินเอก แต่ว่ามารดาก็ตายไปตั้งนานแล้ว อนุรองจึงรับหน้าที่ดูแลจวนหลังจากที่ฮูหยินเอกตายไป ทำให้หว่านหรง บุตรสาวของฮูหยินเอกไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เท่าที่ควรนัก นางมีเพียงแม่นมกับสาวใช้ซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่ของมารดาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ นางเพิ่งจะผ่านพิธีปักปิ่นเมื่อวันก่อนมาหยกๆ ซึ่งก็ถือว่านางเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ส่วนหว่านหรูอี้นั้นแก่กว่า 1 ปี นางเข้าพิธีปักปิ่นไปเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้นางอายุ 16 กว่าๆ กำลังเป็นสาวน้อยสะพรั่งสวยสดงดงาม อาภรณ์ที่นางสวมใส่หรูหราดูดียิ่งกว่าลูกฮูหยินเอกอย่างหว่านหรงเสียอีก

สองสาวยืนเคียงกัน คนหนึ่งสวยสดงดงาม อีกคนแม้จะดูด้อยกว่าด้วยอาภรณ์ที่สวมใส่ไม่ใช่อาภรณ์ที่ตัดเย็บอย่างประณีตแต่ว่าอาภรณ์นั้นก็ไม่อาจบดบังความงามของสาวน้อยวัย 15 ได้เลย เอาจริงๆ หากว่าเทียบหน้าตากันแล้ว หว่านหรูอี้นั้นสวยไม่เท่าน้องสาวต่างมารดาอย่างหว่านหรง แต่ด้วยอาภรณ์ที่ตัดเย็บอย่างประณีตราคาแพงทำให้หว่านหรูอี้ดูงดงามเทียบเคียงองค์หญิงจากในรั้วในวังได้อย่างสูสี

“อา แม่นางช่างตาแหลมนัก ผ้าผืนนี้ทอจากใยไหม เนื้อนุ่มเบาสบาย หน้าร้อนใส่แล้วไม่ร้อนแน่นอนขอรับ” เถ้าแก่รีบพูดขึ้นมา เขาจำลูกค้าสาวคนนั้นได้ นางเป็นคุณหนูใหญ่ของอาลักษณ์ท่านหนึ่ง มักจะมาซื้อผ้าที่ร้านบ่อยๆ ทุกเดือน ส่วนสตรีอีกคนนั้นเขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ฟังจากคำพูดของคุณหนูหว่านหรูอี้แล้วนางน่าจะเป็นน้องสาวกระมัง

“เท่าไหร่?” หว่านหรูอี้ถาม เถ้าแก่รีบบอก “ไม่แพงขอรับๆ ผ้าพับนี้แค่ 1 ร้อยตำลึงทองขอรับ”

“1 ร้อยตำลึงทอง!” หว่านหรูอี้หลุดอุทานออกมา นางไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น 1 ร้อยตำลึงทองเทียบได้กับเบี้ยหวัดเกือบทั้งปีของท่านพ่อเลยทีเดียว ท่านพ่อของนางทำงานได้เบี้ยหวัดเดือนละ 10 ตำลึงทอง 1 ปีก็เป็น 120 ตำลึงทอง

“โอ้!” หว่านหรงได้ยินราคาแล้วก็ตกตะลึงไปเหมือนกัน ถึงนางจะไม่ได้ออกมานอกจวน แต่ว่าเรื่องราคา เรื่องเงินเรื่องทองอะไรพวกนี้แม่นมพูดให้ฟังบ่อยๆ ซ้ำยังคอยทวงเบี้ยน้อยนิดของนางที่ควรได้รับจากจวนกับอนุรองอยู่บ่อยๆ อนุรองก็ไม่กล้ากดขี่อย่างออกนอกหน้ามากนัก เพราะหากเรื่องในจวนรู้ไปถึงหูสามีเมื่อไหร่ หว่านกัวฉายอาจจะริบหน้าที่ดูแลจวนแล้วให้อนุคนอื่นๆ ทำแทนก็ได้ ดังนั้นอนุรองจึงไม่กล้าทำอะไรให้มีเรื่องมีราวรู้ไปถึงหูสามีเด็ดขาด

“คุณหนูจะรับผ้าผืนนี้ไหมขอรับ?” เถ้าแก่ถาม หว่านหรูอี้แม้จะอยากได้มากเท่าไหร่ แต่ว่านางไม่มีเงินมากขนาดนั้น นางจึงบอกอย่างบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นว่า “ผ้าบางถึงเพียงนี้ เกรงว่าตัดชุดออกมาแล้วคงมองเห็นไปถึงไหนๆ เอ่อ ข้าดูผ้าเหมือนคราวที่แล้วดีกว่า”

“อ่อๆ ไม่เป็นไรขอรับแม่นาง” เถ้าแก่บอกแล้วหลิ่วตาสั่งลูกน้อง

ลูกน้องก็รีบเอาผ้าพับใหม่มาให้ดู นางเลือกผ้าที่มีคุณภาพใกล้เคียงกับที่คุณหนูท่านนี้ซื้อไปเมื่อเดือนที่แล้วมาวางเรียงตรงหน้าลูกค้าสาว พลางเก็บผ้าไหมราคาแพงพวกนั้นออกไป

หว่านหรูอี้มองดูผ้าพับใหม่พวกนั้นพลางชี้ชวนให้หว่านหรงดูด้วย “หรงเอ๋อร์ เจ้าช่วยพี่ดูซิผืนไหนสวยที่สุด?”

“เอ่อ พี่อี้ดูเถอะเจ้าค่ะ ข้าโง่เง่า เกรงว่าจะช่วยพี่ไม่ได้มากนักเจ้าค่ะ” หว่านหรงบอก นางมองผ้าเหล่านั้นเหมือนพวกมันเป็นของเกินเอื้อม ก็ใช่ สำหรับนางแล้วเกินเอื้อมจริงๆ นั่นแหละ เบี้ยของนางแต่ละเดือนไม่ได้มากมายนัก

แม่นมกับสาวใช้เอาไปซื้อของกินเข้าเรือนอย่างกระเบียดกระเสียรทุกเดือนๆ ไม่มีเหลือ ซ้ำแม่นมกับสาวใช้ยังต้องปักผ้าแล้วเอาไปขายเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูนางอีก

หว่านหรูอี้เห็นน้องสาวต่างมารดาถ่อมตัวถึงขนาดนั้นก็ยิ้มพอใจอยู่รางๆ นางจึงเลือกผ้าเองไม่สนใจน้องสาวต่างมารดาอีก

หว่านหรงก็ยืนดูเงียบๆ นางมองไปรอบๆ ร้านอย่างอยากรู้อยากเห็น โลกนอกจวนช่างดูใหญ่โตมากสีสันเหลือเกิน

“ข้าเอาพับนี้” หว่านหรูอี้บอก เถ้าแก่รีบบอกราคา “ผ้าพับนี้ 20 ตำลึงเงินขอรับ”

ถางซือเห็นคุณหนูหลิ่วตาสั่ง นางจึงล้วงถุงเงินออกมานับเงินยื่นให้เถ้าแก่ เถ้าแก่รีบหยิบผ้าพับนั้นห่อส่งให้สาวใช้ทันที “นี่ขอรับ”

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” หว่านหรูอี้บอก นางลุกขึ้นเดินนำออกไป ถางซือรีบเดินตามไป หว่านหรงเดินตามพี่สาวต่างมารดาไป เถ้าแก่ยืนคำนับส่ง “คราวหน้าเชิญอีกนะขอรับแม่นาง กลับดีๆ นะขอรับ”

หว่านหรูอี้เดินเชิดหน้าออกจากร้าน นางเหลือบมองน้องสาวต่างมารดาแล้วชวนว่า “หรงเอ๋อร์ พวกเราไปดื่มชาที่โรงเตี้ยมฮุ่ยหมิ่นเถอะ”

“เอ่อ…จะดีเหรอ…” หว่านหรงพูดยังไม่ทันจบ หว่านหรูอี้ก็คว้าข้อมือหมับ “ดีซิ ไปเร็ว ข้าคอแห้งจะตายแล้ว ขืนมัวรอกลับไปดื่มชาที่จวนข้าคงเป็นลมกลางทางแน่”

หว่านหรูอี้ลากหว่านหรงเดินไปทางโรงเตี้ยมใหญ่ของเมือง หว่านหรงจำใจต้องเดินตามพี่สาวต่างมารดาไปอย่างจำยอม ถางซือเดินตามไป นางเหลือบมองคุณหนูรองที่ดูโง่งมไม่ทันคนอย่างดูแคลนนิดหนึ่ง คุณหนูรองผู้นี้ก็โง่จริงๆ นั่นแหละ กำลังจะถูกหลอกก็ยังไม่รู้ตัวสักนิด เฮอะ!

จนไปถึงโรงเตี้ยมฮุ่ยหมิ่น เสี่ยวเอ้อร์รีบต้อนรับ “เชิญขอรับๆ”

หว่านหรูอี้เดินนำเข้าไป นางเลือกโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าแล้วนั่งลงพลางสั่ง “น้ำชากานึง”

“ขอรับๆ” เสี่ยวเอ้อร์รีบเดินไปยกน้ำชามาให้ “น้ำชาขอรับ”

ถางซือขยับไปรินชาให้คุณหนู “น้ำชาเจ้าค่ะ”

“อืม” หว่านหรูอี้ยกถ้วยชาขึ้นเป่าๆ แล้วจิบอึกหนึ่ง ตาก็มองออกไปเบื้องนอกแล้วดึงสายตากลับมามองน้องสาวต่างมารดา “หรงเอ๋อร์ ดื่มซิ”

“เจ้าค่ะ” หว่านหรงรับคำเสียงเบา นางยกถ้วยชาขึ้นจิบ ตามองไปรอบๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น วันนี้พี่สาวต่างมารดาชวนนางออกมาซื้อของด้วย ช่างใจดีผิดปกติไปหน่อยนะ ปกติแล้วพี่สาวคนนี้แทบจะไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ นางไม่อยากออกมาด้วยแต่พี่สาวต่างมารดาก็คะยั้นคะยอจนนางไม่มาด้วยก็ไม่ได้ ไม่รู้ว่าพี่สาวต่างมารดาผู้นี้คิดจะทำอะไรกันแน่?

หว่านหรูอี้จิบชาอย่างอ่อยอิ่ง หว่านหรงก็จิบชาพลางมองไปมองมาเหมือนกบในกะลาที่ได้ออกมาสู่บึงกว้างอย่างไรอย่างนั้น

ใช่ นางเป็นกบในกะลาจริงๆ นั่นแหละ นางโตมาแบบไม่ค่อยย่างก้าวออกจากจวนมากนัก วันๆ อยู่แต่ในจวน ใช้ชีวิตไปวันๆ มีเพียงตำราในห้องหนังสือของท่านพ่อเป็นเพื่อนแก้เหงา วันๆ นางอ่านแต่ตำราจนจำตำราเหล่านั้นได้ขึ้นใจทุกม้วนเลยทีเดียว

จนกระทั่งเสียงเสี่ยวเอ้อร์ดังว่า “เชิญขอรับๆ”

หว่านหรูอี้ตาเป็นประกายทันที นางมองไปที่บุรุษคนหนึ่งซึ่งกำลังเดินเข้ามา นางรีบหลุบตาลงปิดบังประกายบางอย่างในดวงตาเอาไว้ หว่านหรงเห็นท่าทีพี่สาวต่างมารดาดูลุกลี้ลุกลนชอบกล นางเกิดความสงสัยในใจ อยากจะหันหลังไปมองคนที่เดินเข้ามาในโรงเตี้ยมยิ่งนัก แต่ว่าถ้านางทำอย่างนั้นคงเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ดังนั้นนางจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวต่อไป ยกชาขึ้นจิบด้วยท่าทีซื่อๆ เช่นเดิม

จนกระทั่งบุรุษคนนั้นเดินผ่านมาที่โต๊ะซึ่งคุณหนูตระกูลหว่านสองคนนั่งอยู่ หว่านหรูอี้ก็ทำเป็นเงยหน้ามองอย่าง ‘บังเอิญ’

“อ่ะ นายท่านหนานกง!” หว่านหรูอี้ทักคล้ายกับคิดไม่ถึงว่าจะเจอคู่หมั้นของนางโดยบังเอิญ หนานกงเยี่ยนมองสตรีที่ส่งเสียงทักเขา “แม่นางคือ?”

หว่านหรูอี้ลุกขึ้นยืน “ข้า หว่านหรูอี้ บุตรสาวคนโตของท่านอาลักษณ์หว่านเจ้าค่ะ”

“อ่อ แม่นางหว่าน” หนานกงเยี่ยนทวนคำ มองหว่านหรูอี้ คู่หมั้นของตนเองที่เขาเพิ่งจะส่งของหมั้นหมายไปให้ตระกูลหว่านเมื่อ 5 วันก่อน เขากับนางไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน เพียงแต่ว่าที่เขาเลือกสตรีจากตระกูลหว่านเป็นคู่หมั้นก็เพราะว่าหว่านกัวฉายเป็นเพียงอาลักษณ์ตำแหน่งเล็กๆ ตระกูลหว่านไม่ได้มีอำนาจอะไรมากนัก สตรีจากตระกูลเล็กๆ แต่งเข้าตระกูลหนานกงย่อมไม่สร้างปัญหาใหญ่โตให้เขาแน่นอน ดังนั้นคุณหนูตระกูลหว่านจึงเป็นตัวเลือกที่ดี

หว่านหรงย่อมรู้เรื่องการหมั้นหมายของพี่สาวต่างมารดา ได้ยินว่านายท่านหนานกงเป็นคนมีความสามารถ อีกทั้งรูปร่างหน้าตาก็หล่อเหลาเอาการ วันนี้ได้เห็นตัวจริงของเขาแล้ว นับว่าคำร่ำลือไม่เกินจริงเลย เขาเป็นบุรุษรูปงามจริงๆ นางรู้สึกอิจฉาพี่สาวต่างมารดานิดหน่อยที่ได้หมั้นหมายกับบุรุษรูปงามเช่นนี้

“แล้วแม่นางท่านนี้?” หนานกงเยี่ยนมองสตรีอีกนางที่นั่งอยู่ หว่านหรูอี้รีบแนะนำ “อ่อ นี่น้องสาวของข้าเจ้าค่ะ หว่านหรง”

“อ่อ” หนานกงเยี่ยนพยักหน้ารับรู้ เขามองหว่านหรงแวบหนึ่ง เพียงแวบเดียวเขาก็รู้สึกว่าหน้าตาของหว่านหรงดูงามกว่าหว่านหรูอี้หลายเท่านัก

“นายท่านหนานกงมากินอาหารที่นี่หรือเจ้าคะ?” หว่านหรูอี้ถามเหมือนชวนคุย หนานกงเยี่ยนพยักหน้า “ใช่”

เขามองบนโต๊ะที่มีเพียงน้ำชากาเดียวแล้วเอ่ยว่า “หากว่าแม่นางทั้งสองยังไม่ได้กินอะไร เช่นนั้นให้ข้าเลี้ยงเถิด ถือเป็นโอกาสดีที่ข้าได้พบแม่นางทั้งสอง”

“เอ่อ จะดีหรือเจ้าคะ” หว่านหรูอี้บ่ายเบี่ยง แต่ในดวงตาลึกๆ มีแววสมใจ หนานกงเยี่ยนเอ่ยชวนอีกครั้ง “มีอะไรไม่ดี แม่นางถือว่าเป็นคู่หมั้นข้าแล้ว ข้าย่อมอยากพูดคุยกับคู่หมั้นของข้า เราจะได้ทำความคุ้นเคยกันให้มากขึ้น”

“เอ่อ เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ” หว่านหรูอี้ตอบคล้ายจนใจไร้หนทางบ่ายเบี่ยงอีก หนานกงเยี่ยนจึงผายมือ “เชิญ”

เขาเดินนำไปที่บันได หว่านหรูอี้รีบคว้าข้อมือหว่านหรงหมับ จูงมือเดินตามหนานกงเยี่ยนไป หว่านหรงไม่อยากไปด้วยเลย แต่ว่านางจะขอตัวกลับตอนนี้ก็จะดูน่าเกลียดเกินไป ถ้านางกลับไปตอนนี้เลยอาจทำให้ว่าที่พี่เขยเข้าใจผิดคิดว่านางรังเกียจเขาก็ได้ หากว่าเขาคิดเช่นนั้นขึ้นมา ภายภาคหน้านางต้องเจอหน้าเขาอีก คงทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนกันทั้งสองฝ่ายแน่นอน

“เอ่อ คุณหนูเจ้าคะ ข้าขอไปเก็บดอกไม้*ก่อนนะเจ้าคะ” ถางซือร้องบอกพลางเอามือกุมท้อง หว่านหรูอี้โบกมือไล่ “จะไปไหนก็ไปไป๊”

(เก็บดอกไม้ ในที่นี้หมายความว่า เข้าส้วม)

“เจ้าค่ะ” ถางซือขานรับแล้วรีบเดินไปเข้าส้วม นางเดินออกไปทางด้านหลังแล้วเดินออกไปจากโรงเตี้ยม รีบมุ่งหน้ากลับไปที่จวนทันที หน้าที่ของนางก็คือต้องพานายท่านมาที่นี่ให้ทันตามแผนของคุณหนูใหญ่

หนานกงเยี่ยนเดินนำเข้าไปในห้องส่วนตัวบนชั้นสองห้องหนึ่ง เสี่ยวเอ้อร์ก็ต้อนรับขับสู้อย่างกุลีกุจอ “เชิญขอรับๆ”

เขาใช้ผ้าเช็ดๆ โต๊ะกับเก้าอี้ทุกตัวอย่างว่องไวยิ่ง หนานกงเยี่ยนสะบัดเสื้อคลุมตัวยาวแล้วนั่งลงอย่างสง่าผ่าเผย เขามองสองพี่น้องตระกูลหว่านพลางผายมือ “เชิญนั่งซิ”

“เจ้าค่ะ” หว่านหรูอี้นั่งลงตรงข้าม หว่านหรงก็นั่งลงข้างพี่สาวต่างมารดา พลางคิดในใจว่า ที่แท้ที่พี่อี้ชวนข้าออกมาด้วยก็เป็นแค่ข้ออ้างในการมาพบหน้าคู่หมั้นกระมัง

“เอากับข้าวขึ้นชื่อมาสักเจ็ดแปดอย่าง เหล้าหวานสักกาเถอะ” หนานกงเยี่ยนสั่งเสี่ยวเอ้อร์ เสี่ยวเอ้อร์รับคำ “ขอรับๆ”

แล้วเขาก็เดินออกไป ทำให้ภายในห้องเกิดความเงียบขึ้นมาครู่หนึ่ง หว่านหรูอี้มองคู่หมั้นของตนเอง ใบหน้าของบุรุษผู้นี้จัดว่ารูปงามเหมาะสมกับนางมากจริงๆ แต่ว่าเขามีความลับที่ปกปิดเอาไว้ แล้วนางก็บังเอิญรู้ความลับนั้นของเขา นางจึงไม่อยากตกแต่งกับเขาขึ้นมา ดังนั้นนางจึงได้วางแผนมาเจอเขา ‘โดยบังเอิญ’ ในวันนี้

“ข้าไม่รู้ว่าแม่นางชอบกินอะไรบ้าง แต่ว่าอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ล้วนอร่อยทุกอย่าง หวังว่าแม่นางทั้งสองจะถูกปากนะ” หนานกงเยี่ยนเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ หว่านหรูอี้รีบพยักหน้า “ย่อมถูกปากเจ้าค่ะ อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ล้วนเลิศรส ถือว่าเป็นบุญปากของข้าแล้วเจ้าค่ะ”

นางพูดแล้วหันไปมองหว่านหรงแวบหนึ่งจากนั้นก็หันกลับไปพูดว่า “แต่ว่าหว่านหรงไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกบ่อยนัก หากนางทำอะไรไม่ค่อยท่าขอนายท่านหนานกงโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นไรๆ” หนานกงเยี่ยนบอก เขามองหว่านหรงแวบหนึ่ง ในเมื่อเขาหมั้นกับพี่สาวของนางแล้ว เขาก็ไม่ควรมองนางมากเกินไป

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” หว่านหรูอี้ยิ้มแย้ม พลัน! เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก็อกๆ

“น้ำชาขอรับ” เสียงเสี่ยวเอ้อร์ร้องบอกหน้าประตู หนานกงเยี่ยนตอบ “เข้ามา”

เสี่ยวเอ้อร์จึงผลักประตูเข้าไป วางน้ำชาบนโต๊ะ เขากำลังจะรินชา หว่านหรูอี้รีบบอก “เจ้าไปเถอะ เดี๋ยวข้ารินชาเอง”

“อ่อ ขอรับๆ” เสี่ยวเอ้อร์มองนายท่านหนาน เห็นนายท่านหนานพยักหน้า เขาจึงถอยออกไป หว่านหรูอี้ลุกขึ้นยืน เลื่อนถาดน้ำชามาตรงหน้านาง แล้วจัดแจงรินชา ขณะที่รินชานางก็แอบใส่ผงยาบางอย่างลงไปในถ้วยชา 2 ถ้วย แน่นอนว่าทั้งสองถ้วยที่ใส่ยาลงไปนั้นย่อมเป็นของนายท่านหนานกงกับหว่านหรง หึๆๆๆ…

“น้ำชาเจ้าค่ะ” นางเลื่อนถ้วยชาไปตรงหน้าหนานกงเยี่ยน อีกถ้วยก็เลื่อนไปตรงหน้าหว่านหรง จากนั้นนางก็รินชาถ้วยที่ 3 ให้ตัวเอง

หนานกงเยี่ยนยกชาขึ้นจิบ น้ำชาร้อนๆ หอมกรุ่นทำให้รู้สึกสดชื่น หว่านหรงก็จิบชาเช่นกัน นางคิดว่ากินอาหารสักคำสองคำแล้วค่อยหาจังหวะขอตัวกลับดีกว่า นางไม่อยากอยู่เป็น ‘ก้างขวางคอ’ พี่สาวต่างมารดากับคู่หมั้นหรอกนะ

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง ก็อกๆ

“อาหารขอรับ” เสียงเสี่ยวเอ้อร์ร้องบอก หนานกงเยี่ยนจึงบอก “เข้ามา”

เสี่ยวเอ้อร์จึงผลักประตูเดินเข้าไป เขากับเสี่ยวเอ้อร์คนอื่นๆ เดินเรียงแถวเข้าไปวางอาหารบนโต๊ะแล้วก็เดินเรียงแถวออกไปอย่างเป็นระเบียบ หนานกงเยี่ยนหยิบตะเกียบขึ้นมาพลางผายมือ “เชิญแม่นางทั้งสอง”

“เจ้าค่ะ” หว่านหรูอี้ตอบรับ หยิบตะเกียบขึ้นมา หนายกงเยี่ยนลงมือกินก่อนในฐานะเจ้าภาพ หว่านหรูอี้จึงคีบกับให้หว่านหรง ทั้งยังคะยั้นคะยอน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าต้องกินเยอะๆ หน่อยนะ”

“เจ้าค่ะ” หว่านหรงตอบรับ หว่านหรูอี้ก็รินเหล้าให้หนานกงเยี่ยนกับหว่านหรง ขณะรินเหล้านางก็แอบใส่ผงยาลงไปในจอกเหล้าทั้งสองจอกอีกครั้ง “นายท่านหนานกงเจ้าคะ เหล้าเจ้าค่ะ”

“อืม” หนานกงเยี่ยนส่งเสียงคำหนึ่ง

“หว่านหรง ลองดื่มซิ เหล้าที่นี่รสหวานอร่อยนะ” หว่านหรูอี้ยกจอกเหล้าไปตั้งตรงหน้าหว่านหรง หนานกงเยี่ยนบอก “แม่นางลองดื่มเถอะ เหล้านี้ดื่มไม่เมาหรอก”

“ใช่ๆ เหล้านี้รสไม่ร้อนแรงมาก ข้ายังชอบมาดื่มบ่อยๆ เลย” หว่านหรูอี้บอกพลางยกจอกเหล้าของตนเองขึ้นจิบ หว่านหรงเห็นว่าที่พี่เขยมองมา นางจึงยกจอกเหล้าขึ้นจิบอึกหนึ่ง รสหวานอมเปรี้ยวไหลผ่านลิ้นลงไป มีกลิ่นหอมของผลไม้อ่อนๆ นี่เป็นเหล้าสำหรับสตรีรสชาติไม่ร้อนบาดคอ นางดื่มแล้วรู้สึกชอบจึงดื่มอีกอึกหนึ่ง หว่านหรูอี้มองอย่างพอใจ นางคีบกับกินข้าวด้วยท่าทีปกติ รอคอยให้ยาออกฤทธิ์ หลังจากนั้นทุกอย่างก็จะเป็นไปตามแผนการของนางล่ะ หึๆๆๆ…

หนานกงเยี่ยนกินดื่มโดยไม่รู้ตัวเลยว่าถูกวางยา หว่านหรงก็เช่นกัน นางไม่รู้เลยว่าพี่สาวต่างมารดาคิดผลักนางลง ‘บ่อโคลน’

จนกระทั่งกินๆ ดื่มๆ ไปสักพัก หว่านหรูอี้ก็เอ่ยขึ้นว่า “เอ่อ นายท่านหนาน ข้าขอตัวสักครู่เจ้าค่ะ”

“เชิญแม่นางเถอะ” หนานกงเยี่ยนบอก เขาคิดว่านางคงจะไป ‘เก็บดอกไม้’ กระมัง

หว่านหรูอี้ลุกออกไป พลางกระซิบบอกหว่านหรงว่า “รอก่อนนะ ข้าไปเก็บดอกไม้สักครู่เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”

“เจ้าค่ะ” หว่านหรงตอบรับ หว่านหรูอี้เดินออกไปจากห้อง นางปิดประตูห้องแล้วยิ้มมาดหมายอย่างอดไม่อยู่ แผนการของนางช่างง่ายดายยิ่งนัก รออีกไม่นาน นางก็ไม่ต้องแต่งเข้าตระกูลหนานกงแล้ว ‘บ่อโคลน’ บ่อนี้นางยกให้หว่านหรงอย่างเต็มอกเต็มใจเลยทีเดียว

หนานกงเยี่ยนกินดื่มต่อ สักพักเขาก็รู้สึกรุ่มร้อนแปลกๆ ขึ้นมา เขาจึงรินชาดื่มอึกๆ ดับความร้อนในร่าง หว่านหรงก็รู้สึกร้อนๆ เช่นกัน นางยกเหล้าขึ้นดื่มอึกๆ แต่ความร้อนรุ่มแปลกๆ กลับไม่คลายลงเลย นางพึมพำเบาๆ “ร้อนจัง”

นางจึงเอื้อมมือไปจับกาน้ำชา จังหวะนั้นหนานกงเยี่ยนก็ยื่นมือไปจับกาน้ำชาเช่นกัน ทำให้มือใหญ่วางทับบนมือเรียวเล็กโดยไม่ตั้งใจ หว่านหรงชะงักไป “เอ่อ…”

หนานกงเยี่ยนผละออก “ขออภัยด้วย”

หว่านหรงไม่พูดอะไร นางหยิบกาน้ำชามาแล้วรินน้ำชาให้หนานกงเยี่ยนก่อน จากนั้นก็รินให้ตัวเอง นางยกถ้วยชาขึ้นดื่มอึกๆ รู้สึกร้อนจนเหงื่อซึมตรงไรผม นางใช้มือโบกๆ ลมให้ตัวเอง หนานกงเยี่ยนก็รู้สึกร้อนจนเหงื่อซึมเช่นกัน เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติแล้ว เขารู้ตัวแล้วว่าตัวเองถูกวางยาปลุกกำหนัดเข้าให้แล้ว!

แต่ว่าใครเป็นคนวางยาเขา? แม่นางหว่านคนพี่หรือว่าแม่นางหว่านคนน้องกันแน่? แล้วจุดประสงค์ที่วางยาเขาเพื่ออะไร?

เขาหมั้นหมายกับแม่นางหว่านคนพี่แล้ว ดังนั้นจึงมองได้ 2 แง่ ข้อแรก หากว่าแม่นางหว่านคนน้องคิดแย่งคู่หมั้นพี่สาว ข้อนี้ก็อาจเป็นไปได้ที่นางคิดจะวางยาเขาเพื่อทำให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก!

แต่ดูจากท่าทีของนางแล้ว ไม่น่าเป็นไปได้ที่นางคิดจะแย่งคู่หมั้นของพี่สาวตนเอง ตอนแรกเขาเห็นนางมีท่าทีกระอักกระอ่วนด้วยซ้ำ นางคล้ายกับจะเอ่ยปากขอตัวกลับไปตลอดเวลา ถ้าไม่ใช่นางเช่นนั้นก็เหลือแค่ข้อสองแล้ว นั่นคือแม่นางหว่านคนพี่คิดจะผลักน้องสาวให้เขา ไม่เช่นนั้น สาวใช้คนนั้นเหตุใดจนป่านนี้จึงยังไม่กลับมาอยู่ข้างกายเจ้านายอีก เป็นไปไม่ได้ที่สาวใช้จะปล่อยให้เจ้านายอยู่กับคู่หมั้นตามลำพัง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!