Skip to content

Library Of Heaven’s Path 1386

ตอนที่ 1386 เป็นเพราะโชคช่วย

มีปรมาจารย์ผู้เก่งกาจบางคนในโลกนี้ที่เลือกรับลูกศิษย์โดยยึดถือเอาตามโชคชะตา ซึ่งผลที่ได้ก็คือนอกจากตัวเขาเองแล้ว แม้แต่ลูกศิษย์แต่ละคนก็ไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของอีกฝ่าย หลังจากที่ได้อ่านหนังสือมาจำนวนหนึ่ง จางเซวียนก็ได้รับรู้ถึงนิสัยแปลกประหลาดของปรมาจารย์บางคน

อย่างเขาเป็นตัวอย่าง หากเขารับลูกศิษย์ใหม่ตอนนี้ ทั้งจ้าวหย่า หวังหยิ่ง หยวนเทาและคนอื่นๆ ก็ย่อมไม่รู้ว่ามีศิษย์น้องเพิ่มขึ้นมาใหม่

“เป็นเพราะโชคช่วยหรอก ผมถึงเอาชนะใจท่านอาจารย์ของคุณได้” เมื่อเห็นฟงสืออี้ไม่รู้ตัวตนปลอมของเขา จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก เขามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าคาดหวังและถามว่า “ผมไม่ได้พบท่านอาจารย์มานานแล้ว ไม่ทราบว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”

“ผมก็ขาดการติดต่อกับท่านอาจารย์มา 2 ปีแล้ว จึงไม่แน่ใจเช่นกันว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ผมพยายามติดต่อเขาผ่านทางตราหยกสื่อสาร แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้รับข้อความของผม” ฟงสืออี้ส่ายหน้า

“ค่อยยังชั่ว!” จางเซวียนแทบกระโดดด้วยความลิงโลดเมื่อได้ยินคำตอบนั้น

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ใจของเขาเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ มาตลอด เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะเปิดโปงตัวเขา แต่ในเมื่อฟงสืออี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะติดต่อปรมาจารย์หยางได้อย่างไร นั่นหมายความว่าอย่างน้อยตอนนี้เขาจะยังปลอดภัย

ตราบใดที่เขาได้เป็นหัวหน้าปูชนียสถานก่อนที่ปรมาจารย์หยางจะปรากฏตัว ด้วยสถานภาพใหม่อันทรงเกียรติของเขา ย่อมไม่มีใครกล้าท้าทาย ต่อให้เรื่องโกหกของเขาจะถูกเปิดโปงแล้วก็ตาม

ในอีกแง่หนึ่ง ระยะเวลามีความสำคัญกับเขามาก เขาจะต้องรีบ ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะพังพินาศไปหมด

“ค่อยยังชั่ว?” ฟงสืออี้เลิกคิ้ว

คุณควรจะผิดหวังไม่ใช่หรือที่ผมติดต่อท่านอาจารย์ไม่ได้? ทำไมถึงดูตื่นเต้น?

“เอ่อ ผมพูดผิดน่ะ ที่จริงแล้วผมหมายความว่า ‘แย่จัง’ …” เมื่อรู้สึกตัวว่าพลั้งปากไป จางเซวียนรีบเปลี่ยนคำพูด

“คำพูดของคุณดูจะไม่เข้ากับทีท่าของคุณเลยนะ…” ฟงสืออี้มองจางเซวียนอย่างแคลงใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “ตกลงว่าอย่างไร คุณจะรับคำท้าของผมไหม?”

“ศิษย์น้องสืออี้ คุณน่ะรับมือกับผมไม่ไหวหรอก ทำไมเราไม่ล้มเลิกเรื่องนี้เสีย ในเมื่อเราทั้งคู่ต่างก็เป็นศิษย์ของปรมาจารย์หยางเหมือนกัน ผมไม่อยากทำให้คุณบอบช้ำโดยไม่จำเป็น” จางเซวียนโบกมือ

“ศิษย์น้องสืออี้?” ฟงสืออี้แทบปรี๊ด “ผมอยู่กับท่านอาจารย์มาตั้งแต่อายุ 7 ปี แถมยังอายุมากกว่าคุณด้วย คุณน่ะควรจะเรียกผมว่าศิษย์พี่!”

“เขาพูดกันไม่ใช่หรือว่าผู้เชี่ยวชาญกว่าสมควรได้รับเกียรติมากกว่า ผมแข็งแกร่งกว่าคุณ เพราะฉะนั้นก็เห็นได้ชัดว่าผมคือศิษย์พี่ ถ้าคุณเอาชนะผมได้เมื่อไหร่ ผมจะยิ่งกว่าเต็มใจที่จะเรียกคุณว่าศิษย์พี่” จางเซวียนตอบหน้าตาเฉย

ในเมื่อฟงสืออี้ไม่รู้เรื่องโกหกของเขา เขาก็ควรจะใช้สิ่งนี้เป็นโล่ป้องกันเพื่อยืนยันตัวตนของเขาในฐานะศิษย์ของปรมาจารย์หยาง

“คุณ…” ฟงสืออี้หน้าแดงก่ำขณะคำพูดติดอยู่ในลำคอ

แม้จะมีวรยุทธอ่อนด้อยกว่าเขา แต่ข้อเท็จจริงก็คือประสิทธิภาพการต่อสู้ของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเขามาก เพียงแค่ศิลปะเพลงดาบที่แสดงออกมาก่อนหน้านี้ ถ้าอีกฝ่ายไม่พุ่งเป้าของเพลงดาบไปที่อื่นแทนที่จะให้ปะทะกับตัวเขาตรงๆ ล่ะก็ เขาคงไม่มีโอกาสที่จะมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้

เมื่อพิจารณาถึงการที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นศิษย์สายตรง และท่านอาจารย์ก็ไม่ได้ระบุสถานภาพความเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องเอาไว้ ธรรมเนียมก็คือผู้แข็งแกร่งกว่าย่อมเป็นศิษย์พี่ ในเมื่อเขาเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะมาหว่านล้อมว่าทำไมเขาจึงควรได้เป็นศิษย์พี่

“เราจะตัดสินเรื่องนี้หลังจากการดวลการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ก็แล้วกัน ถ้าคุณเอาชนะผมได้อีกครั้ง ผมจะเต็มใจยอมรับคุณเป็นศิษย์พี่” ฟงสืออี้สะบัดแขนเสื้อขณะคำราม

เห็นอีกฝ่ายไม่ยอมล้มเลิกความคิด จางเซวียนขมวดคิ้ว ขณะที่เขากำลังจะพูดต่อ ชายหนุ่มคนหนึ่งก็พรวดพราดเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าที่ดูประหลาด

“ปรมาจารย์เฟย ผู้อาวุโสเลี่ยวแห่งทางเดินหุ่นกำลังรออยู่ด้านนอก เขาบอกว่าอยากจะรับจางเซวียนเป็นอาจารย์ของเขา…”

“ผู้อาวุโสเลี่ยวอยากรับจางเซวียนเป็นอาจารย์ของเขา?”

พรึ่บ!

ความเงียบแผ่ซ่านไปทั่วทั้งห้องนั้น

แม้ผู้อาวุโสเลี่ยวจะเป็นเพียงผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการระดับล่าง แต่เขาก็เป็นนักรบระดับเซียนขั้น 7 แล้ว การที่ผู้เชี่ยวชาญระดับนี้วิ่งโร่มาขอรับนักรบการละทิ้งช่องว่างเป็นอาจารย์…

มันต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ๆ ?

นักเรียนโซนหัวกะทิทั้งกลุ่มมองหน้ากันอย่างพรั่นพรึง

ฟงสืออี้รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ใบหน้า เขาแน่นหน้าอกจนแทบกระอักเลือดออกมา

เมื่อครู่นี้เองที่เขายืนกรานจะท้าทายอีกฝ่ายเข้าสู่การดวลการถ่ายทอดลิขิตสวรรค์ ก็พอดีกับที่ผู้อาวุโสซึ่งมีวรยุทธเหนือชั้นกว่าเขาเสียอีกเข้ามาขอรับอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ เท่ากับเขาแพ้ดวลตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่ม!

การตบหน้าครั้งนี้ช่างมาเร็วเหลือเกิน!

ส่วนอีกด้านหนึ่ง จางหยู่ก็แทบจะเป็นบ้า

ผู้อาวุโสคนหนึ่งมาขอรับจางเซวียนเป็นอาจารย์ จะถ่อมตัวอะไรกันถึงขนาดนั้น!

“ผู้อาวุโสเลี่ยวจากทางเดินหุ่น?” จางเซวียนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกได้

เมื่อ 20 วันก่อน ตอนที่เขาเข้าท้าทายทางเดินหุ่น เขาสูญเสียการควบคุมพละกำลังและพลั้งมือทำลายทางเดินหุ่นโดยไม่ได้ตั้งใจ เพราะรู้สึกผิดกับการกระทำนั้น จึงตัดสินใจให้คำชี้แนะนำบางอย่างกับผู้อาวุโสเลี่ยว โดยแนะนำให้เขาเลิกฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังหยินเย็นเสีย

ในตอนนั้น อีกฝ่ายดูจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำแนะนำของเขามากนัก แต่การที่เขาวิ่งโร่มาขอรับจางเซวียนเป็นอาจารย์ ก็บ่งบอกแล้วว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติ

จางเซวียนไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่โบกมือและพูดว่า “ให้เขาเข้ามาได้”

“ได้!”

นักเรียนคนนั้นชำเลืองมองปรมาจารย์เฟย เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า ก็รีบออกไปจากห้อง

ไม่ช้า นักเรียน 2 คนก็เดินเข้ามาพร้อมเปลหาม ชายชราที่ดูอ่อนระโหยคนหนึ่งนอนอยู่ในเปลนั้น เขาดูเหมือนจะสลบไปได้ทุกขณะ

ที่ยืนอยู่ข้างเปลหามคือผู้อาวุโสคนหนึ่งซึ่งมีเครายาวสีขาว เขาขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียด

ฟงสืออี้เลิกคิ้วเมื่อเห็นผู้อาวุโส เขาอุทานออกมาด้วยความอัศจรรย์ใจ “ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่!”

“ไป๋หยู่?” จางเซวียนหันไปมองผู้อาวุโส

แม้จะเนิ่นนานกว่า 20 วันแล้วที่เขาเข้ามาในปูชนียสถานนักปราชญ์ แต่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอยู่ข้างนอก จึงไม่คุ้นเคยกับเหล่าผู้อาวุโสและผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ของที่นี่

“เขาเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่ดูแลสมาคมนายแพทย์ในปูชนียสถานของเรา ทักษะการรักษาโรคของเขานั้นเรียกได้ว่าล้ำลึกเกินหยั่ง ถึงจุดที่สามารถเรียกลมหายใจกลับคืนมาจากคนไข้ที่กำลังจะตายคนไหนก็ได้ ด้วยเหตุนั้น ใครๆ จึงเรียกขานเขาด้วยความเคารพว่าผู้เยียวยาสวรรค์!” ฟงสืออี้อธิบาย

ในแง่ของประสิทธิภาพการต่อสู้ ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่ไม่ได้ใกล้เคียงกับกับความเป็นสุดยอด แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับเกียรติมากที่สุดในปูชนียสถานนักปราชญ์

ผู้เชี่ยวชาญมากมายนับไม่ถ้วนเป็นหนี้บุญคุณของเขา หากเขาเรียกตัวก็จะรีบมากันอย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมีทั้งเกียรติยศและชื่อเสียงมาก

จางเซวียนพยักหน้ารับคำพูดของฟงสืออี้

ถูกหามมาในเปลโดยมีผู้เยียวยาสวรรค์ติดตามมาด้วย หรือว่า…ผู้อาวุโสเลี่ยวละเลยคำแนะนำของเราและฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังหยินเย็นต่อไป? จางเซวียนขมวดคิ้ว

เขาได้เตือนอีกฝ่ายอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่ให้ฝึกฝนเทคนิคนั้นอีก แต่ผู้อาวุโสก็ดูเหมือนจะไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร ทำราวกับชีวิตตัวเองเป็นของเล่น!

นายแพทย์ไป๋หยู่ก้าวออกมาแล้วถามว่า “คุณคือจางเซวียนหรือ?”

ส่วนผู้อาวุโสเลี่ยวที่อยู่ในเปลก็ร้องออกมา “ใช่ เขาคือปรมาจารย์จาง…ปรมาจารย์จาง ได้โปรดช่วยชีวิตผมด้วย!”

ตอนนี้ใบหน้าของเขาซีดเผือด ดูเหมือนจะมีแผ่นน้ำแข็งบางๆ เกาะอยู่บนผิว ทั้งร่างสั่นสะท้านไม่หยุด และยังไม่ทันที่จางเซวียนจะได้ตอบ เขาก็กระเสือกกระสนดิ้นรนจะลุกขึ้นนั่ง

“มันเกิดอะไรขึ้น?” จางเซวียนถามผู้อาวุโสเลี่ยวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

พูดกันตามตรง เหตุผลที่เขาไม่ได้รับมือกับปัญหาของผู้อาวุโสเลี่ยวอย่างเต็มที่ก็ไม่ใช่เพียงเพราะอีกฝ่ายขาดความไว้เนื้อเชื่อใจตัวเขาเท่านั้น แต่เป็นเพราะถึงผู้อาวุโสจะฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังหยินเย็นต่อไปก็จะไม่ก่อให้เกิดปัญหามากมายในระยะสั้น สัญญาณของร่างกายจะเตือนให้เขารู้สึกทันทีที่มีบางอย่างผิดปกติ แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงลงเอยด้วยการอยู่ในสภาพนี้?

“เงียบซะ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครช่วยชีวิตคุณได้!” ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่แตะไหล่ของผู้อาวุโสเลี่ยวให้กลับนอนลงไปก่อนจะหันมามองจางเซวียน “คุณคือคนที่บอกให้เขาหยุดการฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังหยินเย็นใช่ไหม?”

“ผมเอง” จางเซวียนตอบ

“ไร้สาระสิ้นดี!” ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่โบกมืออย่างโกรธเกรี้ยวขณะจ้องหน้าจางเซวียนด้วยแววตาเย็นชา “ก่อนที่จะให้คำแนะนำออกไป คุณได้พยายามทำความเข้าใจความซับซ้อนของสภาพร่างกายของเขาหรือยัง คุณรู้ไหมว่าผลที่ตามมาจากคำแนะนำที่ออกจากปากอันโง่เง่าของคุณน่ะ มันร้ายแรงขนาดไหน?”

“คุณหมายความว่าอย่างไร?” จางเซวียนขมวดคิ้ว นึกไม่ถึงว่าจะถูกอีกฝ่ายตวาดเอาแบบนั้น

เพื่อชดใช้ผู้อาวุโสเลี่ยวสำหรับความเสียหายที่เขาสร้างขึ้น เขาจึงใช้หอสมุดเทียบฟ้าตรวจสอบสภาวะของอีกฝ่าย พบว่าผู้อาวุโสเลี่ยวกำลังทุกข์ทรมานจากความบอบช้ำบางอย่างซึ่งมีแต่จะกำเริบขึ้น หากยังฝึกฝนเคล็ดวิชานั้นต่อไปจะนำความเจ็บปวดมาสู่ร่างกาย เขาจึงตัดสินใจให้คำแนะนำอีกฝ่ายไปแบบนั้น

แต่ทำไมผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่จึงพูดราวกับว่าสภาพปัจจุบันของผู้อาวุโสเลี่ยวเป็นผลจากคำแนะนำของเขาอย่างนั้นแหละ?

ต่อให้เขาให้คำแนะนำผิดจริงๆ ก็แน่นอนว่านักรบระดับเซียนขั้น 7 อย่างผู้อาวุโสเลี่ยวย่อมไม่ทำตามแน่ ทันทีที่พบว่าการหยุดการฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังหยินเย็นทำให้มีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขา

“ผมหมายความว่าอย่างไรหรือ?” ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่คำรามขณะเอาสองมือไพล่หลัง

“เลี่ยวชิงได้รับผลกระทบจากเพลิงพิษในการต่อสู้เมื่อนานมาแล้ว เขาจึงต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังหยินเย็นเพื่อกดข่มเพลิงพิษไว้ แต่คุณกลับแนะนำให้เขาหยุดฝึกฝน ทำให้เพลิงพิษนั้นกำเริบขึ้นอีก คุณจะปฏิเสธหรือว่านั่นไม่ใช่ความผิดของคุณ?”

“ถ้าคุณไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการรักษาโรค ก็ไม่ควรวินิจฉัยอาการของใครด้วยการสังเกตเพียงชั่วครู่ แต่ถ้าคุณเป็นนายแพทย์ นั่นก็ยิ่งเลวร้ายหนักขึ้นไปอีก ท่านอาจารย์ของคุณไม่ได้สอนไว้หรือว่าอย่าด่วนสรุปอะไรง่ายๆ หากยังไม่ได้พิจารณาสภาวะร่างกายของผู้ป่วยอย่างถี่ถ้วน การวินิจฉัยผิดนั้นอาจทำให้ถึงกับเสียชีวิตได้เลยทีเดียวนะ!” ผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว

เขาสนิทสนมกับผู้อาวุโสเลี่ยว และไม่คิดว่าจะพบอีกฝ่ายอยู่ในสภาพใกล้ตายหลังจากที่ไม่ได้เจอกันเพียงสองสามวัน จะไม่ให้โมโหได้อย่างไร?

ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายฟังคำแนะนำที่แสนโอหังของชายหนุ่มคนนี้ เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น

“คุณกำลังบอกผมว่าสภาวะของเขาตอนนี้เป็นผลจากการที่เพลิงพิษกำเริบหรือ?” จางเซวียนถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

ทั้งร่างมีชั้นน้ำแข็งปกคลุม แต่คุณบอกผมว่านั่นเป็นการกำเริบของเพลิงพิษ ล้อผมเล่นหรือเปล่า?

“ก็ใช่น่ะสิ สิ่งที่เขาเผชิญน่ะคือเพลิงพิษทิศเหนือ เมื่อมันสำแดงอาการ ผิวหน้าของมันจะเย็นเยือกราวกับน้ำแข็ง แต่ภายในนั้นเดือดพล่านเหมือนลาวาที่อยู่ใต้ดิน ไม่ช้าพลังปราณของเขาก็จะเหือดแห้งไปหมดและจุดตันเถียนก็จะถูกทำให้พิการ นั่นคือเหตุผลที่เขาต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังหยินเย็นเพื่อกดข่มเพลิงพิษให้อยู่ภายใต้การควบคุม!” นายแพทย์ไป๋หยู่คำราม

“เพลิงพิษทิศเหนือ?” ขณะที่จางเซวียนดูจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับคำๆ นี้ แต่ปรมาจารย์เฟยกลับตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึงเมื่อได้ยิน เขาหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด “นายแพทย์ไป๋ คุณหมายถึงเพลิงพิษทิศเหนือที่พบในอาณาจักรใต้ดินหานฉีใช่ไหม?”

“อาณาจักรใต้ดินหานฉี?”

ในบรรดาอาณาจักรใต้ดินหลายแห่งที่เชื่อมทวีปแห่งปรมาจารย์กับสนามรบของเผ่าพันธุ์ปีศาจ จากโลกอื่น มีอยู่ 7 แห่งที่ว่ากันว่าอันตรายมาก และแห่งที่ 7 ในรายชื่อนั้นก็คืออาณาจักรใต้ดินหานฉี!”

“ผมเคยได้ยินมาเหมือนกัน สิ่งที่น่าสะพรึงที่สุดในอาณาจักรใต้ดินหานฉีก็คือเพลิงพิษทิศเหนือ แม้จะเป็นแค่เปลวไฟ แต่มีองค์ประกอบของน้ำแข็งด้วย ควบคุมพลังทั้งความร้อนและความเย็น แม้ของล้ำค่าระดับเซียนขั้นสูงก็จะหลอมละลายทันทีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับมัน”

ฝูงชนส่งเสียงกระซิบกระซาบกันจนได้ยินไปทั่ว

นักเรียนส่วนใหญ่ในปูชนียสถานนักปราชญ์เป็นอัจฉริยะชั้นยอดที่มาจากกลุ่มอำนาจใหญ่ๆ และตระกูลผู้ทรงพลัง พวกเขาจึงมีความรู้เกี่ยวกับอาณาจักรใต้ดินและข้อมูลอันหลากหลายของมัน

“ใช่แล้ว มันคือเพลิงพิษทิศเหนือ ในครั้งนั้น เพื่อป้องกันเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นไม่ให้เข้าถึงทวีปแห่งปรมาจารย์ เขาดำดิ่งลงไปในเปลวเพลิงอย่างกล้าหาญเพื่อขับไล่พวกมัน แม้เขาจะเอาตัวรอดมาได้เพราะโชคช่วย แต่ก็โชคร้ายที่ต้องได้รับผลกระทบจากเพลิงพิษ” นายแพทย์ไป๋หยู่ถอนหายใจขณะส่ายหน้า

“ผมพยายามทุกวิถีทางแล้วที่จะเยียวยาเขา แม้แต่การถ่ายเลือดและการปรับเปลี่ยนกระดูก แต่ก็ไม่มีวิธีไหนได้ผล ลงท้ายจึงได้แต่ให้เขาฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังหยินเย็นเพื่อกดข่มมันเอาไว้ไปพลางๆ เหตุผลที่ผมหายตัวไประยะหนึ่งก็เพื่อไปตามหาพืชสมุนไพร หวังว่าจะนำมันมาใช้แก้ปัญหาของเขาได้ แต่ใครจะไปคิดว่านักเรียนใหม่อย่างคุณจะโน้มน้าวใจให้เขาล้มเลิกการฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังเย็น ทำให้เพลิงพิษตีกลับและแทบจะทำลายส่วนลึกของจิตวิญญาณของเขา? แม้แต่ผมก็ยังจนปัญญากับสถานการณ์ตอนนี้!”

“เอ่อ…” เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เยียวยาสวรรค์ไป๋หยู่ ทุกคนหันไปมองจางเซวียนเป็นตาเดียว

แม้แต่ปรมาจารย์เฟยก็ขมวดคิ้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!