ตอนที่ 15 เคล็ดวิชาเทียบฟ้า
เคล็ดวิชาระดับสูง อย่าว่าแต่ในโรงเรียนหงเทียนเลย แม้จะเป็นโรงเรียนระดับสูงที่แข็งแกร่งกว่านี้ก็ใช่ว่าจะมีครอบครอง ถึงจะมีก็เก็บไว้อย่างดีและโดยมาก็มักเป็นความลับภายใน เป็นสิ่งที่คนปกตินั้นไม่มีสิทธิจะล่วงรู้ หากเขาสามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาด้วยมือของตนเอง การฝึกยุทธในอนาคตจะต้องรวดเร็วขึ้นเป็นเท่าตัวแน่
“ตอนนี้ฉันยังไม่มีเคล็ดวิชาขั้นสี่ในหัวเลยสักเล่ม ลองไปดูที่หอสมุดสำหรับอาจารย์ดีกว่า”
วิชาหงเทียนเก้าขั้น หากต้องการฝึกฝนขั้นต่อไปล่ะก็ ฝีมือของผู้ฝึกจะต้องผ่านเกณฑ์เสียก่อนจึงจะมีสิทธิได้ครอบครองหนังสือที่สูงขึ้นไปอีกขั้น หนังสือที่เขามีในมือนั้นเป็นเพียงสามขั้นแรกเท่านั้น
เขาเดินออกไปข้างนอก แม้ว่าพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปแล้ว แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยเดินขวักไขว่อยู่ตามท้องถนน แสงจันทร์สว่างสะท้อนบนพื้นผิวของทางเท้า ส่องแสงสีเงินรางๆ มีบรรดาคู่รักสองสามคู่ได้นั่งพลอดรักกันอย่างโรแมนติคภายใต้บรรยากาศภายนอกที่แสนเงียบสงบ
จางเซวียนไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านั้น กลับกัน เขาเร่งฝีเท้าเพื่อไปยังจุดหมาย นั่นก็คือหอสมุดขนาดมหึมา อาคารแห่งนั้นได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนแยกระหว่างหอสมุดของอาจารย์และศิษย์ ภายในอาคารดังกล่าวบรรจุบทสรุปคู่มือลับต่างๆ ตลอดจนเคล็ดวิชาไว้อย่างครบถ้วน นี่คืออีกหนึ่งแหล่งการเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง
“ผู้เฒ่าโม่”
เมื่อเดินเท้าไปยังทางเข้าอาคาร เขาโค้งให้ผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ใกล้ๆกับประตูทางเข้า ผู้เฒ่าโม่คือหนึ่งในผู้ปกป้องหอสมุด กำลังภายในของเขาไม่รู้ว่าถึงระดับไหนแล้ว
ร่ำลือกันว่าเขาอยู่อันดับต้นๆของโรงเรียน เพียงแต่ไม่ได้ลงมือมานานแสนนานจึงไม่มีใครรู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของเขาสักที
“คุณมาที่นี่ทำไม ฝึกถึงขั้นสี่แล้วหรอ?” ผู้เฒ่าโม่หันไปมองเขาและพร้อมกับลูบคางตัวเองเบาๆ
“โชคช่วยเท่านั้นแหละครับ” จางเซวียนไม่ปกปิดเลยว่าเขาก้าวมาถึงขั้นสี่แล้ว
“ดีดี ฝึกซ้อมให้มากๆ โรงเรียนยังต้องการคนเลือดใหม่เช่นคุณ” ผู้เฒ่าโม่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ครับ” จางเซวียนไม่ได้ต่อปากต่อคำใดๆต่อ เขารีบสาวเท้าเดินเข้าไปในห้องทันที
เมื่อเขาเดินลับตาไป ผู้เฒ่าโม่ก็ส่ายหัวและกล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์ “เขาก็หน่วยก้านดีนะ เพียงแต่ขาดพรสวรรค์เท่านั้น ทำให้ฝึกไม่กระเตื้องสักเท่าไหร่” นักรบคนอื่นๆอาจจะใช้เวลาแค่สองปีในการก้าวข้ามกำลังภายในขั้นสาม แต่จางเซวียนต้องใช้เวลาถึง 3 ปี เขาไม่มีพรสวรรค์เอาเสียเลย “เอาเถอะ ในเมื่อมาถึงขั้นสี่แล้ว ถ้าเขาหมั่นฝึกฝน ก็น่าจะเป็นอาจารย์ที่ดีได้ หวังว่าคะแนนเขาจะกระเตื้องขึ้นในการสอบวัดระดับอาจารย์ครั้งต่อไป…” หลังจากบ่นพึมพำได้ไม่นาน ผู้เฒ่าโม่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เขาปิดตาลงอีกครั้ง
จางเซวียนเป็นหนึ่งในอาจารย์ที่สุภาพเรียบร้อย แม้จะไม่มีใครถูกชะตาแต่ก็ไม่มีใครจงเกลียดจงชัง เขาแค่เป็นคนที่ไร้พรสวรรค์คนหนึ่งเท่านั้น
จางเซวียนไม่ได้สนใจจะฟังคำพูดของผู้เฒ่าโม่ เอาแต่มุ่งตรงไปที่อาคารหลัก แม้ว่าโรงเรียนหงเทียนจะมีขนาดใหญ่ถ้าเปรียบเทียบกับที่ทำงานของเขาในโลกเดิม แต่มันก็ดูเล็กกว่ามากเมื่อเทียบกับหอสมุดเทียบฟ้าในสมองของเขา… เทียบกับไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
เขาเดินฉับๆอย่างรวดเร็วไปยังบริเวณที่มีข้อมูลส่วนเคล็ดวิชาหงเทียนเก้าขั้น-จัดการค้นหาขั้นสี่ พอเอื้อมมือออกไปคว้า ก็พลิกหนังสืออ่านอย่างลวกๆ
หืม!
เคล็ดวิชาขั้นสี่ไม่ได้ต่างอะไรจากขั้นสามสักนิด ยังคงมีข้อบกพร่องนับพันข้อ “ที่นี่มีเคล็ดวิชาอื่นๆด้วย ต้องขอชมสักหน่อยแล้วW หลังจากได้รับประสบการณ์การข้ามขั้นเมื่อรอบที่แล้ว จางเซวียนไม่ได้มุ่งประเด็นไปที่ข้อบกพร่อง กลับกัน เขามุ่งไปยังชั้นหนังสือตรงหน้าแทน
บนชั้นหนังสือแถวที่สี่ มีเคล็ดวิชาอยู่มากมายหลายชนิด รวมทั้งเคล็ดวิชาสำหรับนักรบขั้น 4 อีกมากมาย มีการบันทึกไว้อย่างสมบูรณ์และมีคำอธิบายพร้อมสรรพซึ่งเขียนโดยผู้เชี่ยวชาญ เพียงแค่กวาดสายตาผ่านๆก็รู้แล้วว่ามีจำนวนไม่น้อยทีเดียว
ถ้าเป็นคนอื่นมาเห็น ตาของพวกเขาคงเบลอไปชั่วขณะ ที่นี่ยังมีหนังสือจำนวนมาก มีบันทึกจำนวนนับไม่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีทฤษฎีลับบางข้อจดอยู่ด้านท้ายของแต่ละเล่ม ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะวัดว่าข้อมูลไหนเป็นข้อมูลที่ถูกต้องหรือแม่นยำอย่างแท้จริง ถ้าสุ่มเลือกฝึกคงจะใช้เวลานานและก็คงหาบทสรุปที่ดีออกมาไม่ได้ และตัวผู้ฝึกเองนั่นแหละจะเป็นบ้า
แต่กับจางเซวียนผู้ซึ่งการครอบครองหอสมุดเทียบฟ้า ถือว่าไม่ยากเท่าไหร่ในการบอกว่าข้อมูลไหนคือข้อมูลที่ถูกต้อง เขาไม่ลังเลที่จะคว้าหนังสือและพลิกมันผ่านๆ
หืม!!!
หนังสือที่คล้ายกันปรากฎขึ้นในใจของเขา
จางเซวียนยังคงอ่านต่อ และหยิบเล่มต่อไปมาอ่านอย่างต่อเนื่องเล่มแล้วเล่มเล่า
เขาไม่ได้อ่านเพียงคร่าวๆ หรือพลิกไปพลิกมาเท่านั้น เขาพยายามที่จะเพิ่มจำนวนหนังสือในหอสมุดเทียบฟ้าของตัวเองเพื่อที่จะได้มีหนังสือในหัวเยอะๆต่างหาก วิธีนั้นจะทำให้คลังหนังสือของเขาเต็มไปด้วยหนังสือใหม่ๆ และเขาสามารถเปิดอ่านจุดอ่อนจุดแข็งของหนังสือแต่ละเล่มได้
ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เสียงพลิกกระดาษดังไปทั่วห้อง
“หึ… ใจยังรวนเร ก็ไม่ควรรีบร้อนเปิดตัวเอง” เมื่อเห็นจางเซวียนอ่านหนังสือไปเสียทุกเล่ม ผู้เฒ่าโม่ก็ขมวดคิ้วทันที ในเมื่อเลือกที่จะฝึกวิชาหงเทียนเก้าขั้นแล้ว ก็ไม่ควรคิดลองวิชาอื่น ควรรีบคัดลอกวิชาหงเทียนขั้นสี่ และกลับไปฝึกฝน แม้ว่าความรู้เยอะจะเป็นเรื่องดี แต่เมื่อระดับกำลังภายในยังไม่ถึงขั้น รู้ยิ่งเยอะก็ยิ่งจะเพิ่มความโลภให้กับตนเอง ท้ายสุดก็คงรับอะไรไม่ได้สักอย่าง ดีไม่ดีอาจจะเสียสติไปเลยก็ได้
เมื่อสามสิบปีที่ผ่านมาก็เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ มีอาจารย์อัจฉริยะคนหนึ่ง คิดว่าตนต่างจากผู้อื่น อยากจะสร้างเคล็ดวิชาเฉพาะของตนเองจึงเลือกที่จะฝึกไปทั่ว แต่สุดท้ายก็เสียสติไป
เขาเรียกว่าโลภมากลาภหาย… นี่คือสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้ว หลังส่งเสียงหึไปแล้ว พลันเห็นว่าจางเซวียนเพียงแค่เปิดหนังสือแต่ละเล่มแบบผ่านตา ไม่ได้ตั้งใจอ่านเท่าใดนัก ผู้เฒ่าโม่ยิ่งไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่ เขาเริ่มนึกรังเกียจ นี่ถ้าตั้งใจอ่านเสียบ้างอย่างไรก็ได้ความรู้ แต่เมื่ออ่านผ่านๆแบบนี้แม้จะเป็นตัของผู้เฒ่าโม่เองก็ไม่สามารถวิเคราะห์อะไรออก หนูน้อยที่เพิ่งถึงขั้นสี่จะไปได้สักกี่น้ำ?
ทำเป็นเก่ง คงอยากจะโดดเด่นล่ะสิท่า
“ครูของโรงเรียนแห่งนี้ด้อยคุณภาพลงเสียจริงๆ” หลังพูดจบก็หลับตาลงอีกครั้ง ไม่สนใจจางเซวียนอีกต่อไป
“เอาล่ะ เสร็จแล้ว” จางเซวียนอ่านจบทุกเล่มอย่างรวดเร็ว หนังสือเล่มหนึ่ง เพียงหายใจเข้าออกไม่กี่ครั้งก็เปิดผ่านได้หมด ผ่านไปเพียงสองชั่วโมง ความรู้ทั้งหมดก็ถูกจางเซวียนมองผ่านตา ภายในหอสมุดเทียบฟ้ามีหนังสือที่ถอดแบบกันปรากฎขึ้นมามากมาย “กลับดีกว่า”
เมื่อสำเร็จสมประสงค์ เขาแอบยิ้มน้อยๆแล้วเดินไปข้างนอก
“อ้าว ไม่ซีรอกส์งั้นหรือ?” เมื่อเห็นเขาเดินออกไปมือเปล่า ผู้เฒ่าโม่ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป แม้จะทำเป็นเก่งแต่ก็ควรจะซีรอกส์สักชุดกลับไปอ่านสิ มามือเปล่ากลับมือเปล่า แบบนี้จะมาเพื่ออะไรกัน?
“ไม่เป็นไรครับ ที่จริงผมก็แค่ลองเข้ามาดูเท่านั้น” ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรกับเขาอยู่ จางเซวียนได้แต่ยิ้มแล้วจากไป
“ลองเข้ามาดูงั้นรึ ? เหลาะแหละ โรงเรียนควรจะลงโทษคนๆนี้สักหน่อย คนเหลาะแหละอย่างนี้ให้มาเป็นอาจารย์ได้อย่างไรกัน” ผู้เฒ่าโม่เหวี่ยงมือด้วยอารมณ์โกรธ เคล็ดวิชาและตำราต่างๆเป็นพื้นฐานของการฝึกยุทธ ผู้ฝึกทุกคนควรจะให้ความเคารพ แต่เขาคนนี้กลับมาดูเล่น เปิดๆไปมาแล้วก็กลับบ้าน ใช้ไม่เอาเสียเลย
ดูท่าจะต้องหาเวลาไปคุยกับผู้อำนวยการหน่อยแล้ว ควรจะกำจัด ‘จุดอ่อนที่เลวร้าย’ นี้ออกจากกลุ่มอาจารย์ในโรงเรียน
เมื่อกลับไปถึงที่พัก จางเซวียนหยิบปากกา กระดาษและเริ่มพลิกตำราหงเทียนขั้น 4 เพื่อบันทึกส่วนที่ถูกต้องลงไป จากนั้นเขาก็ใส่ข้อมูลในส่วนที่ถูกต้องจากหนังสือเล่มอื่นๆลงไปด้วย หลังจากที่พลิกมันไปเรื่อยๆ จางเซวียนเริ่มกุมขมับอีกครั้ง จริงๆแล้วมันค่อนข้างลำบากที่จะค่อยๆพลิกหนังสือเป็นพันหน้าแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนที่เคยคิดไว้
ขณะที่เขากำลังคิดจัดการกับข้อมูลตรงหน้า จู่ๆร่างของเขาก็กระตุกอีกครั้ง หนังสือทั้งพันเล่มที่ได้รวบรวมในหอสมุดเส้นทางแห่งสวรรค์ค่อยๆรวมกันเป็นหนึ่งเดียวในหัวของเขา
วิ้ง !!!
หนังสือหลายพันเล่มรวมตัวกันด้วยน้ำเสียงที่คมชัดจนกลายเป็นรูปแบบของหนังสือเล่มเดียว หนังสือเล่มรวมนั้นไม่มีชื่อ พอเปิดออกมาก็พบว่า “นี่มัน ….เป็นการนำจุดถูกต้องทั้งหมดของหนังสือนับพันเล่มมารวมกันงั้นหรือ?”
ดูไปสักพัก จางเซวียนก็ตื่นเต้นจนใบหน้าแดงก่ำ เมื่อครู่ยังคิดอยู่เลยว่าจะทำอย่างไรกับการนำหนังสือนับพันเล่มมารวมกัน ไม่คิดเลยว่าหอสมุดจะช่วยผ่านขั้นตอนนี้ไปได้ “หนังสือเล่มนี้ไม่มีจุดผิดเลยแม้แต่จุดเดียว”
หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นจากการรวมตัวของจุดที่ถูกต้องทั้งหมด ไม่มีจุดที่ผิดเลยแม้แต่จุดเดียว เนื้อหาภายใน ไม่ใช่วิชาหงเทียนเก้าขั้น และไม่ใช่วิชาอย่างหนึ่งอย่างใด จะบอกว่าเป็นอะไรที่เขาไม่เคยเจอเลยก็ว่าได้ “ในเมื่อเป็นวิธีการฝึกกำลังภายในที่มาจากหอสมุดเทียบฟ้า งั้นก็เรียกมันว่า ‘วิชาเทียบฟ้า’ ก็แล้วกัน”
พอความคิดนี้ปรากฏ เขาก็ตั้งชื่อหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา
เหมือนว่าใครบางคนจะรับรู้ถึงความคิดของเขา หน้าปกที่เดิมไม่มีชื่อเกิดสั่นสะเทือนเล็กน้อยและในที่สุดก็มีตัวอักษรปรากฏขึ้นบนปกหนังสือ
เคล็ดวิชาเทียบฟ้า!