ตอนที่ 155 เหตุการณ์ระดับ 5 ดาว
ในอาณาจักรเทียนเซวียนนั้น ตระกูลเฉินเป็นอีกตระกูลหนึ่งที่มีความโดดเด่น เพราะมีนักปรุงยาเป็นสมาชิกของตระกูล
แน่นอนว่าตระกูลนี้ไม่เคยขาดแคลนยา ทุกคนในตระกูลต่างประสบความสำเร็จและเดินยืดอกเสมอ แต่มาตอนนี้ต่างได้รับความขมขื่นกันถ้วนหน้า บรรยากาศซึมเศร้าเข้าครอบงำทั่วทั้งบ้าน
“เอาล่ะ ทำตามกฏเถอะ ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนจะต้องถูกขับออกจากตระกูล!” นักปรุงยาเฉินเสี่ยวมองไปรอบๆห้องโถงก่อนจะกล่าวอย่างสะเทือนใจและสิ้นหวัง
เขาได้รับเชิญให้เป็นกรรมการการประลองวิวาทะยาของเจ้าหนุ่มคนหนึ่งชื่อจางเซวียน แต่ฝ่ายนั้นประกาศว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน ประกอบกับที่เขารู้สึกว่าร่างกายเริ่มจะถดถอยลงจริงๆ ทำให้เขาหดหู่นัก ด้วยเหตุนี้ เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขาจึงเริ่มเตรียมการ
เขาเป็นนักปรุงยาและได้นำพาทั้งตระกูลไปสู่ความรุ่งเรือง เมื่อเขาตาย ผู้คนที่อิจฉาริษยาในความร่ำรวยของเขาจะต้องเข้ารุมทึ้งทุกวิถีทางเพื่อยื้อแย่งส่วนแบ่ง มันคงจะถึงเวลาที่ตระกูลต้องล่มสลาย
เพื่อป้องกันเหตุร้ายดังกล่าว เขาจึงสั่งผู้ชายทุกคนในตระกูลให้ขายสมบัติพัสถานและหายตัวไปจากเมืองหลวงโดยไม่หวนกลับมาอีก
“หัวหน้าตระกูล…” หลังจากเอ่ยคำเหล่านั้น เสียงร้องไห้คร่ำครวญก็อื้ออึง
พวกเขาอยู่อย่างหรูหราฟุ่มเฟือยมาทั้งชีวิต ต่างยอมรับความจริงที่จะต้องย้ายนิวาสถานอย่างกะทันหันไม่ได้
“พอได้แล้ว! นี่สิ่งที่จะต้องเป็นไป… มันใช่เรื่องที่พวกเจ้าต้องมาร้องร่ำคร่ำครวญหรือ? เฉินชง ไปจัดเตรียมสัมภาระที่จำเป็น!” นักปรุงยาเฉินเสี่ยวพูด
เฉินชงคือบุตรชายของเขา เมื่อรู้ว่าตัวเองเหลือเวลาไม่มาก เขาก็ได้วางตัวเฉินชงให้เป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไป
“ขอรับ!” เฉินชงคำนับ ขณะกำลังจะเดินออกไป เด็กหนุ่มคนหนึ่งก็เดินเข้ามากระซิบบางอย่างใส่หู เฉินชงตาโตและรีบเงยหน้า “ท่านพ่อ…”
“อะไร?” นักปรุงยาเฉินเสี่ยวยกถ้วยชาขึ้นและขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
เขาเชื่อมาตลอดว่าบุตรชายให้ความสำคัญกับลำดับอาวุโส แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น?
ลูกไม่รู้หรือว่าความรุ่งเรืองของตระกูลแขวนไว้กับตำแหน่งนักปรุงยาของบิดาเท่านั้น หากปราศจากเกียรติยศชื่อเสียงของบิดาที่จะไปข่มความมักใหญ่ใฝ่สูงของตระกูลอื่น เราจะไม่มีทางรักษาความมั่งคั่งที่ได้มาจากการปรุงยาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ได้
“ท่านพ่อ มีปรมาจารย์ท่านหนึ่งเดินทางมาอาศัยอยู่ในเมืองหลวงของเรา บางที…เขาอาจจะแก้ปัญหาให้ท่านได้…” เห็นสีหน้าไม่พอใจของบิดา เฉินชงรีบบอกโดยไม่อิดเอื้อน
“ปรมาจารย์รึ? ข่าวลือกระมัง?” นักปรุงยาเฉินเสี่ยวส่ายหน้า
ถ้าเป็นปรมาจารย์ตัวจริง เหตุใดตัวเขาที่เป็นนักปรุงยาระดับ 1 ดาวจึงไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย?
“ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ผมส่งเฉินเทาไปสืบมาหลังจากที่ได้ยินข่าวลือเมื่อวาน ปรมาจารย์ท่านนี้ชื่อหยางชวน และไม่เพียงรักษาอาการป่วยให้ภรรยาของหลิงเทียนหยู่ แม้แต่ตู้เหมี่ยวชวนจากตระกูลตู้ยังถึงกับยอมคุกเข่าอยู่หน้าประตู ยิ่งกว่านั้นอีก…”
“ยิ่งกว่านั้นอะไร?”
“ยิ่งกว่านั้นคือ ตอนที่ตู้เหมี่ยวชวนออกมาจากคฤหาสน์หลังจากที่เข้าไปได้ไม่ถึงสิบนาที วรยุทธของเขาเพิ่มจากติ่งลี่ขั้นสูงสุดมาเป็นทงฉวน” เฉินชงละล่ำละลัก “และที่สุดยอดก็คือ…ประธานสมาคมช่างตีเหล็ก หลัวชง ได้เข้าไปในคฤหาสน์นั่นเหมือนกัน พอออกมาก็พร่ำสรรเสริญปรมาจารย์ ยืนยันว่าเขาเป็นปรมาจารย์ตัวจริง…”
เคร้ง!
ก่อนเฉินชงจะพูดจบ ถ้วยชาในมือของบิดาก็ตกลงสู่พื้นและแตกเป็นเสี่ยงๆ ความเฉื่อยเนือยและสิ้นหวังหายวับไป ใบหน้าของเขาแดงก่ำราวกับมีเปลวไฟอยู่ที่แก้ม “ปรมาจารย์ท่านนี้อยู่ที่ไหน? พาพ่อไปหาท่านเดี๋ยวนี้…”
“เดี๋ยวนี้เลยหรือ? ผมต้องขายทรัพย์สมบัติของตระกูลก่อน…”
เฉินชงพึมพำ แต่ก่อนจะพึมพำจบ พ่อของเขาซึ่งดูเหมือนจะหมดลมหายใจได้ทุกขณะก็ไปถึงหน้าประตูแล้ว เขาตวาดก้อง “ขายแม่แกสิ! เร็วเข้า!…”
“….” เฉินชง
“….” สมาชิกตระกูลเฉิน
เสียงร้องไห้คร่ำครวญเงียบลงทันใด ทุกคนอ้าปากหวอขนาดที่หย่อนไข่ไก่ลงไปได้ ต่างก็จนด้วยคำพูดเมื่อเห็นหัวหน้าตระกูลพลิกท่าทีขนาดนั้น
อำมาตย์เฉียนไม่เพียงแต่กุมอำนาจมากมายในอาณาจักรเทียนเซวียน
แต่เขามีตำแหน่งสำคัญ โดยฮ่องเต้เซินจุยจะทรงเรียกตัวเขาเข้าพบคืนเว้นคืนเพื่อให้เขาถวายรายงาน
เขาเปรียบเสมือนสายพระเนตรของฮ่องเต้ โดยจะรวบรวมเรื่องราวข่าวสารบ้านเมืองทั้งหมดแล้วบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรไปให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตร
ด้วยข่าวสารเหล่านี้ ฮ่องเต้เซินจุยจึงทรงทันต่อเหตุการณ์และสามารถตัดสินใจอย่างชาญฉลาดได้ ทรงดูแลให้บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองขึ้นได้อย่างต่อเนื่องและไม่ถูกศัตรูรุกราน
ดังนั้น ทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเซวียน แม้ผู้ที่กุมอำนาจอย่างแท้จริงก็ยังไม่กล้าต่อกรด้วย เพราะกลัวว่าอำมาตย์เฉียนอาจนำข้อมูลที่ผิดเพี้ยนไปทำให้ฮ่องเต้ระแวงสงสัยพวกเขาได้
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่เขาต้องเสาะหาและประมวลข่าวสารเพื่อนำไปรายงาน เขาจึงไปถึงสำนักงานส่วนตัวตั้งแต่เช้าตรู่
ขณะนั้นมีคนเต็มห้อง ต่างถกเถียงกันอลหม่าน
“สร้างความวุ่นวายขนาดนี้ ไม่เหมาะสมเลย!”
เห็นบรรดาลูกน้องโต้เถียงกันแทนที่จะทำงาน อำมาตย์เฉียนให้ขุ่นเคืองนัก
“โอ๊ะ!” ทุกคนรีบกลับไปนั่งที่ของตัวเองอย่างพรั่นพรึง
“ท่านอำมาตย์…”
ชายวัยกลางคนเดินเข้ามา
“อืม สองสามวันนี้มีเหตุการณ์สำคัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง?” อำมาตย์เฉียนทรุดตัวลงนั่ง
นี่คือขอบข่ายงานของเขา เขาจะสอบถามลูกน้องถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงแล้วรวบรวมไว้ ก่อนจะพิจารณาว่ามีเหตุการณ์ใดบ้างที่ควรนำเสนอฮ่องเต้
“สิบวันมานี้ มีเหตุการณ์ระดับ 1 ดาว 17 เหตุการณ์, ระดับ 2 ดาว 12 เหตุการณ์, และระดับ 3 ดาว 3 เหตุการณ์…” ชายผู้นั้นลังเลเล็กน้อยก่อนจะยื่นรายงานให้ปึกหนึ่ง
มีรายละเอียดของเหตุการณ์จำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันถูกแบ่งกลุ่มตามความสำคัญเพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน โดยมีดาวเป็นตัวบ่งบอกระดับความสำคัญ
1 ดาวคือระดับต่ำสุด หมายความว่าเหตุการณ์นั้นมิได้สลักสำคัญอะไร เมื่อจำนวนดาวเพิ่มขึ้น ความสำคัญก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดย 5 ดาวคือระดับสูงสุดที่เหตุการณ์หนึ่งๆจะได้รับ ความรุนแรงของเหตุการณ์นั้นเทียบเท่ากับการถูกข้าศึกบุกรุกหรือการล่มสลายของเมืองเลยทีเดียว
อำมาตย์เฉียนก้มลงอ่านรายงาน
“ท่านอ๋องน้องไป๋ซวินท้าดวลกับบุตรชายของท่านเสนาบดีหลิวเฉิน และทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ ก่อเกิดเป็นความขัดแย้งหนักหน่วงระหว่างสองตระกูลใหญ่…1 ดาว!”
“เลขาธิการพระราชวังลู่จงนำนางบำเรอคนใหม่เข้าบ้าน เธอเป็นพลเมืองของอาณาจักรเทียนเซวียน แต่ตัวตนที่แท้จริงนั้นไม่มีใครรู้…1 ดาว!”
“คนของหอการค้าเทียนเซวียน 17 คนถูกกลุ่มโจรสลัดโจมตีที่บริเวณสันเขา และทั้งหมดเสียชีวิต โจรสลัดน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับที่เพิ่งหนีไปจากเมืองหลวงเมื่อหลายเดือนที่แล้ว…1 ดาว!”
แม้เหตุการณ์ระดับ 1 ดาวจะมีความรุนแรงน้อยที่สุดในการจัดหมวดหมู่ แต่ก็มีผลกระทบต่อเนื่องไม่น้อย ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่ไป๋ซวินท้าดวลกับบุตรชายของท่านเสนาบดี ถ้าเรื่องนี้ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม เหตุการณ์จะต้องบานปลายแน่ ยิ่งถ้ากลายเป็นคดีความฟ้องร้องกันในชั้นศาล จะยิ่งกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงภายในประเทศ
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าผู้คนก็คุ้นชินกับเรื่องทำนองนี้ พวกเขาไม่ร้อนรนเท่าไรนักแม้จะได้เห็นเหตุการณ์เขย่าโลก
“อืม ประเมินได้ดี!” อำมาตย์เฉียนพยักหน้าเมื่ออ่านเหตุการณ์ระดับ 1 ดาวทั้ง 17 เหตุการณ์จบ จากนั้นเขาพลิกหน้าถัดไปเพื่ออ่านเหตุการณ์ระดับ 2 ดาว
“เกิดภัยพิบัติขึ้นบริเวณเทือกเขาทางตะวันตกเฉียงใต้ ผู้คนจำนวนหลายพันไร้ที่อยู่ แต่ตอนนี้จัดหาที่อยู่ให้ได้แล้ว…2 ดาว!”
“ห้องนิรภัยเทียนเซวียนปล่อยธนบัตรชุดใหม่ มูลค่าสูงสุดคือหนึ่งล้าน…ให้ 2 ดาว!”
“ท่านโหวแห่งจุนหนานสำเร็จวรยุทธขั้นทงฉวน ระดับสูงสุด กลายเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของผู้เชี่ยวชาญในอาณาจักร…2 ดาว!”
เรื่องราวเหล่านี้เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการเมืองและราชอาณาจักร มีผลกระทบรุนแรงกว่าเหตุการณ์ระดับ 1 ดาว
เมื่อไล่เรียงเหตุการณ์ระดับ 2 ดาวจบ อำมาตย์เฉียนก็พยักหน้าอีกครั้ง ไม่มีอะไรผิดปกติกับการประเมินอีกเช่นกัน
พลิกไปหน้า 3 มีรายละเอียดของเหตุการณ์ระดับ 3 ดาว
“สมาคมอาจารย์ปลดผู้อาวุโสซั่งเฉินแห่งโรงเรียนหงเทียนออกจากตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการศึกษา ด้วยเหตุที่วางตัวไม่เป็นกลางในการให้คะแนนการทดสอบวัดผลแก่อาจารย์จางเซวียน…3 ดาว!”
“อาจารย์จางเซวียนกับอาจารย์ลู่ฉวินจะแข่งขันกันในการทดสอบประเมินอาจารย์ในอีก 12 วันข้างหน้า…3 ดาว!”
เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสมาคมอาจารย์และโรงเรียนจะได้รับดาวเพิ่ม 1 ดวงโดยอัตโนมัติ อาจารย์ลู่ฉวินเป็นผู้ที่อาจจะได้เป็นปรมาจารย์ของอาณาจักรเทียนเซวียน ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเขาจะได้รับดาวเพิ่ม สองเหตุการณ์นี้จึงได้ 3 ดาว, ไม่เลว!
อำมาตย์เฉียนพยักหน้าอีกครั้ง
“ตรงนี้ไม่มีปัญหาหรอกท่าน…ปัญหาคือ…คือ…” ชายวัยกลางคนมีสีหน้าลังเล
“มีอะไร?” อำมาตย์เฉียนเลิกคิ้ว
“สองสามวันนี้มีบางอย่างเกิดขึ้น และพวกเราไม่อาจประเมินได้ เป็นเรื่องที่พวกเราถกเถียงกันก่อนหน้าที่ท่านจะมา…” ชายผู้นั้นตอบ
“อย่างนั้นรึ? พูดมา!” อำมาตย์เฉียนมองเขาอย่างใคร่รู้
“สามวันที่แล้ว มีชายผู้หนึ่งนามว่าหยางชวน ปรากฏตัวขึ้นในเมืองหลวง เขาอ้างตัวเป็นปรมาจารย์และรักษาอาการป่วยให้ภรรยาของหลิงเทียนหยู่…”
“อืม ฉันได้ยินมาเหมือนกัน ได้แจ้งทางสมาคมอาจารย์ให้ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ว่าแต่ไม่มีชื่อนี้บันทึกไว้นะ อาจจะเป็นลูกเล่นของหลิงเทียนหยู่หรือเปล่า ไม่ต้องสนใจนักหรอก เรื่องนี้น่ะให้ต่ำกว่า 1 ดาว!” อำมาตย์เฉียนพูด
ปรมาจารย์นั้นเหมือนดวงดาวบนฟากฟ้า การปรากฏตัวย่อมทำให้ทุกคนมองเห็น หากอาณาจักรใดมีปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวอยู่ จะเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ได้อย่างดี ถ้าชายผู้นั้นเป็นปรมาจารย์ตัวจริง เหตุใดจึงเข้ามาในเมืองหลวงได้โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้?
“เหตุการณ์ระดับ 1 ดาวหรือ?” ชายวัยกลางคนยิ้มเจื่อนๆ “ผมกลัวว่าเรื่องนี้จะไม่ง่ายอย่างนั้น ถ้าเขาแค่รักษาภรรยาของหลิงเทียนหยู่ล่ะก็ ให้ 1 ดาวก็พอ แต่…เมื่อวานนี้ ตู้เหมี่ยวชวนจากสี่ตระกูลใหญ่ยอมคุกเข่าอยู่หน้าประตูคฤหาสน์ทั้งวัน และพอเข้าไปในคฤหาสน์นั่นได้แค่สิบนาที ก็ฝ่าด่านวรยุทธขั้นติ่งลี่ สูงสุด ไปได้ถึงขั้นทงฉวน!”
“อะไรนะ? พละกำลังเพิ่มขึ้นได้ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?”
อำมาตย์เฉียนผงะ เขามีสีหน้าเคร่งขรึม “ถ้าอย่างนั้นก็ให้ 2 ดาว…”
“เมื่อวานตอนบ่าย ประธานสมาคมช่างตีเหล็ก ท่านหลัวชง ได้เข้าไปในคฤหาสน์หลังนั้น และกลับออกมาด้วยใบหน้าผ่องใสอิ่มเอิบอย่างยิ่ง เขายกย่องเจ้าของคฤหาสน์และยืนยันว่าเป็นปรมาจารย์ตัวจริง…”
โดยไม่ใส่ใจจะให้อำมาตย์เฉียนประเมิน ชายวัยกลางคนพูดต่อ
“หลัวชง…” อำมาตย์เฉียนผลุนผลันลุกขึ้นยืน ดวงตาเบิกโพลง
หลัวชงเป็นใครกัน?
ประธานสมาคมช่างตีเหล็ก หนึ่งในพี่เบิ้มของอาณาจักรเทียนเซวียน!
ถ้าเขาคิดเช่นนั้น จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า…หยางชวนผู้นี้เป็นปรมาจารย์ตัวจริง?
“ถ้า…ถ้าอย่างนั้น…จัดให้เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ระดับ 3 ดาวก็ได้…”
อำมาตย์เฉียนยังงุนงงอยู่
เขาพูดยังไม่ทันจบดี เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้นอีก
“เมื่อเช้า ประธานโอวหยางแห่งสมาคมนักปรุงยา กับนักปรุงยาเฉินเสี่ยว ไปหาเขาถึงคฤหาสน์ แต่ถูกพ่อบ้านกันไว้หน้าประตู นอกจากพวกเขาจะไม่ยอมจากไปแล้ว ยังเฝ้ารออย่างอดทนโดยไม่บ่นสักคำ…”
“นี่…นี่มัน…” อำมาตย์เฉียนหน้าซีด และถอยกรูดอย่างไม่เชื่อหู “นี่มัน…4 ดาว ไม่ล่ะ นี่เป็นเหตุการณ์ระดับ 5 ดาว เร่งมือหน่อย เขียนทั้งหมดนี่ลงไปเร็วๆ ฉันต้องรายงานเรื่องนี้ต่อฮ่องเต้ เอาเร็วที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้เลยนะ!”
“5 ดาวหรือท่าน?”
“ต้องให้บอกซ้ำรึ?”
เหตุการณ์ระดับ 5 ดาว…เรื่องแบบนี้ไม่ปรากฏในอาณาจักรเทียนเซวียนมาหลายทศวรรษแล้ว
บรรดาลูกน้องที่ไม่รู้จะประเมินเหตุการณ์นี้อย่างไร เมื่อได้ยินคำพูดของอำมาตย์เฉียน ต่างก็งงงันกันไปหมด แล้วอีกเพียงครู่ถัดมา ความโกลาหลก็บังเกิด