ตอนที่ 166 หอสมุดพระราชวัง
“อย่างนั้นรึ?” เซินจุยหันมามองปรมาจารย์หยวนหยู่
“เมื่อสองสามวันที่แล้ว มีปรมาจารย์ท่านหนึ่งมาถึงเมืองหลวง และหากดูจากสิ่งที่เขาทำ เขาน่าจะเป็นมากกว่าปรมาจารย์ระดับ 1 ดาว”
ปรมาจารย์หยวนหยู่พูดถึงข่าวที่เขาได้ยินมา
“ปรมาจารย์? ที่ไม่ใช่แค่ 1 ดาวรึ?” ช่วงนี้ฮ่องเต้เซินจุยทรงอยู่นอกวังเกือบตลอดเวลา และไม่มีเวลาอ่านรายงานที่อำมาตย์เฉียนส่งให้ ดังนั้นจึงไม่ทรงทราบถึงเหตุการณ์ระดับ 5 ดาว
“ขอรับ… ปรมาจารย์ผู้นี้รักษาอาการป่วยให้ภรรยาของหลิงเทียนหยู่โดยแทบไม่ต้องใช้ความพยายาม รักษาความเจ็บปวดเรื้อรังของตู้เหมี่ยวชวน…” ปรมาจารย์หยวนหยู่รำลึกถึงสิ่งที่เขาได้รู้มา
ในฐานะนายแพทย์ เขาเคยได้รับเชิญให้ไปรักษาอาการของคนเหล่านั้นอยู่ครั้งหนึ่ง จึงรู้ระดับความยากเย็นของปัญหาได้เป็นอย่างดี แต่ปรมาจารย์หยางผู้นี้สามารถรักษาคนเหล่านั้นได้ในระยะเวลาเพียงสิบถึงยี่สิบนาที เรื่องนี้ทำให้เขาอัศจรรย์ใจนัก และนั่นคือเหตุที่ทำให้เขาอยากขอเข้าพบ
“เขาเป็นปรมาจารย์เพียงเพราะรักษาผู้คนน่ะหรือ?” ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ ปรมาจารย์จวงส่ายหน้า “แม้ปรมาจารย์จะรอบรู้ในทุกด้าน แต่หน้าที่หลักก็คือการให้คำชี้แนะผู้คนในการฝ่าด่านวรยุทธที่มีอยู่ ถ้าเป็นเพียงการรักษา นั่นก็หมายความว่าเขาเป็นเพียงนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น”
ปรมาจารย์หลิวและปรมาจารย์เจิงต่างก็ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยกับคำพูดของปรมาจารย์หยวนหยู่เช่นกัน
ไม่แปลกที่พวกเขาจะสงสัย เพราะแม้จะรู้กันว่าปรมาจารย์คือผู้ที่มีความสามารถในการให้คำชี้แนะในทุกศาสตร์รวมถึงการรักษาผู้คนด้วย แต่นั่นก็หมายถึงปรมาจารย์ระดับสูงกว่านี้ สำหรับปรมาจารย์ระดับ 1 ดาวหรือ 2 ดาวทั่วไปจะทำได้เพียงให้คำชี้แนะให้ฝ่าด่านวรยุทธไปได้เท่านั้น หรืออาจรวมถึงความรู้ในบางด้านที่พวกเขามีทักษะเชี่ยวชาญอยู่แล้ว
ยิ่งกว่านั้นปรมาจารย์ยังเป็นบุคคลผู้ทรงเกียรติที่ผู้คนจับตามองไม่ว่าจะไปที่ไหน จะเป็นไปได้อย่างไรที่มีปรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาในอาณาจักรโดยไม่มีใครล่วงรู้ ถึงกับมาเช่าคฤหาสน์และอาศัยอยู่ที่นี่ด้วย?
“เอ่อ…” ปรมาจารย์หยวนหยู่ไม่รู้จะแก้ต่างอย่างไร
“ปรมาจารย์หยางชวน” คนนี้เพิ่งจะสร้างความอึกทึกคึกโครมเป็นอย่างมาก อย่างมาก แม้สิ่งที่เขาทำลงไปส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการรักษาผู้คน และก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ช่วยผู้ใดฝ่าด่านวรยุทธ เว้นแต่กรณีของตู้เหมี่ยวชวน แต่เรื่องที่เขาเป็นปรมาจารย์ก็ยังคงเป็นแค่ข่าวลือ ต่อเมื่อปรมาจารย์หยวนหยู่ได้พบเขานั่นล่ะ จึงจะสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้
“คุณว่าเขาชื่ออะไรนะ? ผมรู้จักปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวทุกคนที่อยู่ในอาณาจักรโดยรอบ” เห็นเขากระอักกระอ่วน ปรมาจารย์หลิวยิ้มและเอ่ยถาม
“เขาชื่อหยางชวน แต่ผมก็ไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเขามากนัก…” ปรมาจารย์หยวนหยู่ตอบ
“หยางชวนรึ?”
ปรมาจารย์หลิวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวชื่อนี้ในอาณาจักรโดยรอบนะ อันที่จริงผมก็รู้จักปรมาจารย์ระดับ 3 ดาวอยู่บางคน แต่ก็ไม่มีใครชื่อนี้เหมือนกัน!”
เหล่าปรมาจารย์ต่างมีแวดวงของตัวเอง แม้ปรมาจารย์หลิวจะเป็นแค่ระดับ 1 ดาว แต่เขาก็รู้คร่าวๆว่าในอาณาจักรโดยรอบนี้มีปรมาจารย์กี่คนในแต่ละระดับ และชื่ออะไรบ้าง หยางชวน…นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อนี้
“เขาต้องเป็นพวกสิบแปดมงกุฎแน่ อย่างที่คุณเล่ามา เขาเรียกเงินสามล้านกับทุกคนที่ขอเข้าพบ ปรมาจารย์ตัวจริงจะยึดติดกับความร่ำรวยหรือ?” ปรมาจารย์จวงเย้ยหยัน
ปรมาจารย์นั้นมีสถานภาพอันน่าทึ่ง ไม่ว่าพวกเขาจะต้องการอะไร เพียงเอ่ยปากคำเดียว ทุกคนก็จะตรงเข้าเติมเต็มความต้องการของเขาทันที แม้แต่เหล่าเชื้อพระวงศ์ การที่อีกฝ่ายต้องเช่าคฤหาสน์และเรียกเงินสามล้านเป็นค่าเข้าพบ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเขาเป็นพวกสิบแปดมงกุฎที่ทำเพื่อเงิน
“เอ่อ…” ปรมาจารย์หยวนหยู่ยังคงไม่เห็นด้วย
สองวันมานี้ ข่าวเรื่องปรมาจารย์หยางชวนแพร่สะพัดราวกับไฟป่า เขาจึงอยากขอเข้าพบ เมื่อได้ฟังทั้งสามปรมาจารย์ยืนยันว่าอีกฝ่ายเป็นสิบแปดมงกุฎอย่างแน่นอน เขารู้สึกไม่เห็นพ้อง
“แต่ก็พิสูจน์ง่ายว่าเขาเป็นสิบแปดมงกุฎหรือไม่ งานวันเกิดของผู้อาวุโสเทียนนั้นยังอีกตั้งสองสามวันและพรุ่งนี้ผมว่าง ผมจะไปคฤหาสน์ของเขากับคุณด้วย เพื่อดูว่าเขาใช่ปรมาจารย์ตัวจริงหรือไม่!” ปรมาจารย์หลิวพูด
“ผมจะไปกับคุณสองคนด้วย ปรมาจารย์น่ะไม่ใช่คนที่ใครควรจะดูถูก แค่คิดว่ามีไอ้หน้าไหนสักคนปลอมตัวเป็นปรมาจารย์ ฮึ่ม…อยากเห็นหน้าเจ้าคนไร้ยางอายคนนั้นที่บังอาจเล่นกับไฟ!” ปรมาจารย์จวงคำรามอย่างเย็นชา
“ผมไปด้วย บอกตามตรงว่าผมก็อยากรู้เหมือนกัน” ปรมาจารย์เจิงหัวเราะหึๆ
“ได้เลย!” ปรมาจารย์หยวนหยู่พยักหน้า
ก็เป็นดังที่ปรมาจารย์ว่าไว้ เป็นไปไม่ได้ที่จะเสแสร้งแกล้งทำเป็นตัวจริง ถ้าฝ่ายนั้นเป็นปรมาจารย์ แม้ว่าทั้งสามปรมาจารย์จะไปที่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่หากฝ่ายนั้นเป็นตัวปลอม พวกเขาจะเปิดโปงทันที โดยที่หมอนั่นจะไม่มีทางสู้ได้เลย
ตลอดการอภิปรายยาวนานของทั้งสามปรมาจารย์ ฮ่องเต้เซินจุยไม่ได้พูดสักคำ
แม้พระองค์จะทรงเป็นประมุขของอาณาจักร แต่เมื่อเทียบกับเหล่าปีศาจที่มีชื่อว่าปรมาจารย์แล้ว พระองค์ก็มิกล้าแสดงความไม่เคารพแม้แต่น้อย ฮ่องเต้เซินจุยทรงถอนหายใจอย่างหมดหวัง
ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวกับความจริงที่ว่าบัดนี้สามปรมาจารย์ได้มาถึงอาณาจักรเทียน
เซวียนและตั้งท่าจะเปิดโปงตัวเขา
จางเซวียนตื่นนอนและยืดเส้นยืดสาย ดวงตะวันลอยโด่งแล้ว
หลังเก็บข้าวของอยู่ครู่หนึ่ง เขากินอาหารเช้าและสั่งงานซุนฉาง “ฉันจะออกไปข้างนอก ถ้ามีใครมาก็ให้เขารอข้างนอกนะ”
“ขอรับนายท่าน” ซุนฉางพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ
เขาพออกพอใจกับการได้เป็นพ่อบ้านให้ปรมาจารย์นัก เพราะไม่ว่าจะเป็นสมาชิกสี่ตระกูลใหญ่หรือพวกขุนน้ำขุนนาง คนที่เขาเคยศิโรราบ มาบัดนี้คนเหล่านั้นต้องก้มหัวให้เขา
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ถ้าปรมาจารย์พูดเช่นนั้น คุณก็ต้องรออยู่ข้างนอกอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง…
เขามีความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมหลังจากกรณีหลิงเทียนหยู่และตู้เหมี่ยวชวน
จางเซวียนไม่รู้ว่าซุนฉางคิดอะไร เขาเข้าใจว่าฝ่ายนั้นเข้าใจคำสั่งดีแล้ว จึงพยักหน้าก่อนจะออกจากคฤหาสน์
เมื่อมาถึงตรอกที่อยู่ห่างออกไป เขาก็คืนร่างกลับเป็นจางเซวียนและเดินไปยังบ้านของลู่เฉินโดยไม่รอช้า
ปรมาจารย์ลู่เฉินบอกเขาว่าวันนี้จะพาไปยังหอสมุดพระราชวัง ในสถานที่นั้น เขาอาจรวบรวมเคล็ดวิชาขั้นพี่เชวี่ยได้มากพอที่จะยกระดับวรยุทธของตัวเองได้
ไม่นานก็มาถึงบ้านของลู่เฉิน
“น้องจาง ผมต้องขออภัยด้วย…” ปรมาจารย์ลู่เฉินมีสีหน้าสำนึกผิดเมื่อเห็นจางเซวียน
“ขออภัย? ตกลงผมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าหอสมุดพระราชวังแล้วหรือ?”
จางเซวียนหัวใจหล่นวูบ
ถ้าเขาเข้าไปไม่ได้ แล้วจะไปหาหนังสือที่ไหนมาให้หอสมุดเทียบฟ้ากันเล่า?
“ไม่ใช่เรื่องนั้น เจ้าลูกชายของผมมันอกตัญญู…” ปรมาจารย์ลู่เฉินส่ายหน้า
“ลูกชายอกตัญญูหรือ?” จางเซวียนไม่เข้าใจว่าปรมาจารย์ลู่เฉินพูดเรื่องอะไร
ลูกชายของคุณอกตัญญูแล้วเกี่ยวอะไรกับผม? ผมไม่ใช่พ่อมันเสียหน่อย…
“คือ…ผมเพิ่งรู้เรื่องนี้เมื่อวาน ดูเหมือนว่าเจ้าลูกชายอกตัญญูของผมจะสร้างปัญหาให้คุณด้วยการยื่นคำท้าในการทดสอบประเมินอาจารย์ ผมเสียใจกับเรื่องนั้นนะ เดี๋ยวผมจะไปที่โรงเรียนและพูดให้เขายอมแพ้เอง…” ปรมาจารย์ลู่เฉินพูด
“การประเมินอาจารย์?” จางเซวียนผงะ “ปรมาจารย์ลู่เฉิน ไม่ใช่ว่า…อาจารย์ลู่ฉวินเป็นลูกชายของคุณนะ?”
“ใช่ เจ้าเด็กอกตัญญูคนนั้นแหละ เมื่อสามปีที่แล้วเรามีเรื่องโต้เถียงกัน แล้วเขาก็หัวฟัดหัวเหวี่ยงออกจากบ้านไป หลังจากนั้นก็ไม่เคยกลับมาที่นี่อีกเลย…” ปรมาจารย์ลู่เฉินส่ายหน้า
“เอ่อ… แต่ผมเตรียมการสำหรับการประเมินอาจารย์ไว้แล้ว ปรมาจารย์ลู่เฉินไม่ต้องกังวลไปหรอก อีกอย่างเขาอาจคิดว่าผมกำลังพยายามจะหลบเลี่ยงเรื่องนี้และมาขอให้คุณไปทำเช่นนั้น…” จางเซวียนยิ้มเจื่อน ไม่นึกเลยว่าลู่ฉวินจะเป็นลูกชายของปรมาจารย์ลู่เฉิน
ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้
อีกอย่าง ข่าวเรื่องการดวลก็แพร่สะพัดไปทั่ว สายไปแล้วที่เขาจะหันหลังกลับ ถ้าอยากจะตบหน้าฝ่ายนั้นก็จะต้องทำให้สมเกียรติ หากปรมาจารย์ลู่เฉินทำเรื่องคึกโครมขึ้นมา ชื่อเสียงของเขามิป่นปี้ไปด้วยหรือ?
ถ้าเขาขอความช่วยเหลือจากตัวพ่อหลังจากที่รู้ว่าไม่อาจสู้กับตัวลูกได้ จะต่างอะไรกับการวิ่งโร่ไปหาพ่อแม่ของนักเรียนหลังจากที่รู้ตัวว่ารับมือกับนักเรียนคนนั้นไม่ไหว?
นี่ไม่ใช่วิธีการรับมือกับปัญหา
“ถ้าอย่างนั้น…” เห็นอีกฝ่ายยืนยัน ปรมาจารย์ลู่เฉินทำได้แค่จบเรื่อง
“น้องจาง ลูกผมน่ะไม่เคยเจอความล้มเหลว ทำให้เขาโตขึ้นมาเป็นคนเชื่อมั่นจนเรียกว่าหลงตัวเองก็ว่าได้ ถ้าคุณแสดงให้เขาเห็นว่าโลกนี้กว้างใหญ่แค่ไหนและยังมีใครบางคนที่เก่งกว่าอยู่เสมอก็จะเป็นการดี เขาจะได้ลดความเย่อหยิ่งทะนงตัวลงเสียบ้าง เป็นผลดีกับอนาคตของเขาด้วย” ปรมาจารย์ลู่เฉินพูดถึงความคาดหวังของตน
ลูกชายของเขาช่างเย่อหยิ่งทะนงตนนัก เพียงเขาพูดสองสามคำ เจ้านั่นก็ออกจากบ้านไปและไม่เคยกลับมาอีกเลย เขาแทบจะล้มป่วยจากความโกรธเกรี้ยวในครั้งนั้น
ถ้าน้องจางคนนี้ให้บทเรียนเจ้านั่นได้ก็จะดีมาก ความทุกข์ทรมานจากความล้มเหลวเท่านั้นที่จะทำให้คนๆหนึ่งเข้าใจว่าข้างนอกนั่นยังมีคนที่เก่งกว่าตัวเองอยู่เสมอ ขอเพียงก้มหัวลงเสียบ้างก็จะเดินไปได้ไกลกว่าเดิม
“เอ่อ…ได้เลย จัดให้ตามนั้น!” ในเมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนั้น และเมื่อนึกถึงสิ่งที่อาจารย์ลู่ฉวินคนนี้พยายามจะทำกับเขาแล้ว จางเซวียนก็ไม่รังเกียจที่จะสนองพระเดชพระคุณ
เดินไปคุยไปไม่นานก็ถึงพระราชวัง
หอสมุดนี้อยู่ในพระราชวัง มีหนังสือจำนวนนับไม่ถ้วนจากทั่วทั้งอาณาจักร ซึ่งยาวนานนับตั้งแต่อาณาจักรถูกตั้งขึ้นมา มีแต่สมาชิกราชวงศ์ ขุนนางผู้เรืองอำนาจ และเจ้าหน้าที่จากทางการเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป
ในฐานะราชครูของฮ่องเต้ การที่ปรมาจารย์ลู่เฉินพาคนๆหนึ่งเข้ามาในพระราชวังไม่ใช่เรื่องใหญ่ องครักษ์ตรงเข้ามายืนขนาบข้างเพื่ออนุญาตให้ทั้งคู่เข้าไป
“สมกับเป็นพระราชวัง…” จางเซวียนสำรวจโดยรอบขณะที่เดินตรงไปยังหอสมุด
แม้อาณาจักรเทียนเซวียนจะไม่ใช่อาณาจักรใหญ่ แต่พระราชวังนั้นโอ่อ่าอลังการมาก ไม่ได้เป็นรองพระราชวังในโลกเดิมของเขาเลย จะว่าไปก็อลังการกว่าเสียด้วยซ้ำ
ในพระราชวังมีลานอยู่นับไม่ถ้วน หากไม่มีคนนำทางก็จะหลงทางได้ง่ายมาก
ด้วยการนำของปรมาจารย์ลู่เฉิน พวกเขาผ่านทางเดินหลายทาง และในไม่ช้าก็มาหยุดอยู่หน้าตึกหลังใหญ่
“นี่คือหอสมุดพระราชวัง!” ปรมาจารย์ลู่เฉินยิ้มพร้อมกับชี้ให้ดู
จางเซวียนมองไปและเห็นตึกสูงหลายสิบเมตรอยู่ตรงหน้าเขา มีตัวหนังสือสีทองเขียนไว้ ‘หอสมุด’ มันดูสว่างเรืองรองอย่างน่าตื่นตะลึงเมื่อสะท้อนกับแสงอาทิตย์
“นี่คือตรามังกรทองของฮ่องเต้ ด้วยสิ่งนี้ คุณจะอ่านหนังสือเท่าไรก็ได้ตามที่พอใจ ตราบใดที่ไม่แตะต้องสิ่งใดในนั้น ผมจะไม่เข้าไปกับคุณ”
สะบัดข้อมือเพียงครั้งเดียว เขาหยิบตราสีทองออกมายื่นให้จางเซวียน
มังกรดุร้ายตัวมหึมาถูกจารึกไว้บนนั้น
“ปรมาจารย์ลู่เฉิน ขอบคุณที่ช่วยเหลือ!” รับตรามังกรทองจากมือของอีกฝ่าย จางเซวียนประสานมือคารวะอย่างสำนึกบุญคุณ
หอสมุดพระราชวังเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของอาณาจักร ดังนั้นจึงมีข้อบังคับที่ถูกกำหนดขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญด้านโครงสร้างเพื่อระวังรักษาการตกแต่งภายใน ผู้ที่เข้าไปโดยปราศจากตรานี้อาจถูกควบคุมตัวได้
“ไม่ต้องมีพิธีรีตองกับผมหรอก มันไม่ได้มากมายอะไร เอาล่ะ ผมจะไปแล้ว เชิญอ่านหนังสือให้ทั่วตามสบาย ไม่มีใครรบกวนคุณแน่” ปรมาจารย์ลู่เฉินลูบเคราพร้อมกับหัวเราะหึๆ
“ตกลง!” จางเซวียนไม่รอช้า เขาเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับตรามังกรทองในมือ
หอสมุดพระราชวังมีชื่อเสียงโด่งดัง มีชั้นหนังสือจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ในนั้น มากมายจนสุดสายตา หนังสือเกี่ยวกับศาสตร์ทุกชนิดอัดแน่นอยู่ในชั้น กะด้วยสายตาน่าจะตกประมาณสิบล้านเล่ม
“การจะเข้ามานี่ไม่ง่ายเลย เราจะต้องบันทึกหนังสือทั้งหมดลงในหอสมุดเทียบฟ้าให้ได้!”
ครั้งแรกที่เห็นหนังสือจำนวนมากมายขนาดนั้น จางเซวียนถึงกับตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น เขาไม่ได้รีบร้อนมองหาหนังสือเกี่ยวกับการฝึกวรยุทธ แต่กลับเดินตรงไปยังชั้นหนังสือชั้นแรกและเริ่มพลิกดูหนังสือบนนั้น
ฟึ่บ ฟึ่บ!
เสียงพลิกหนังสือดังก้องไปทั่วหอสมุด
ขณะที่จางเซวียนกำลังง่วนอยู่กับการพลิกหนังสือในหอสมุดนั้น ปรมาจารย์หยวนหยู่ กับปรมาจารย์หลิว ปรมาจารย์เจิง และปรมาจารย์จวงก็มาถึงหน้าประตูคฤหาสน์
“ปรมาจารย์หยางพักอยู่ที่นี่แหละ” ปรมาจารย์หยวนหยู่เอ่ย
“อืม เคาะประตู!” ปรมาจารย์หลิวพูด