ตอนที่ 193 นั่นปรมาจารย์หยางหรือ?
ลู่ฉวินกับหว่างเชาไม่รู้สักนิดว่าความประทับใจที่ฮ่องเต้เซินจุยกับทั้งสามปรมาจารย์มีต่อพวกเขานั้นหมดสิ้นไม่เหลือซากแล้ว ทั้งคู่มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ของปรมาจารย์หยาง หน้าบานด้วยความตื่นเต้น
ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกเย้ยหยันดูหมิ่นเพราะไม่มีเงิน แต่บัดนี้เขามีเงินสามล้านในมือแล้ว ใครจะอาจหาญมาขัดขวางพวกเขาไว้ได้!
“เอาอย่างนี้ เมื่อเราพบปรมาจารย์หยาง ให้ตรงเข้าเรื่องเลย บอกเขาว่าเราตั้งใจมาขอเป็นศิษย์ และเราจะปรนนิบัติเขาเป็นอย่างดี”
ลู่ฉวินนึกใคร่ครวญสถานการณ์ก่อนจะสรุป “ขนาดปรมาจารย์หลิวกับคนอื่นๆยังยำเกรงเขา แปลว่าเขาน่าจะเป็นปรมาจารย์ระดับ 2 ดาวหรือสูงกว่า หากเรามัวอ้อมค้อม อาจทำให้เขาขุ่นเคืองใจได้ เพราะฉะนั้น คงดีกว่าถ้าเราจะตรงเข้าเรื่องเลย!”
ปรมาจารย์มีสายตาเฉียบคมนัก จะดีที่สุดถ้าไม่มัวสร้างภาพกับคนระดับนั้น หาไม่แล้ว ผู้นั้นอาจเป็นคนโชคร้ายเสียเอง
หากพวกเขาทำให้ปรมาจารย์หยางขุ่นเคือง คงไม่ต้องสงสัยแล้วว่าจะมีโอกาสได้เป็นศิษย์ของเขาหรือไม่
“คุณพูดถูกแล้ว” หว่างเชาพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง
“อือ หว่างเชา คุณบอกว่าผู้อาวุโสหว่างชงเรียนเคล็ดวิชาเพลงหอกแบบใหม่ และใช้เงินมากมายเพื่อการนี้ มันเกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ลู่ฉวินเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้
“เมื่อสองสามวันที่แล้วพ่อผมปลีกตัวไปอยู่คนเดียว ผมเข้าไม่ถึงตัวเขาหรอก มารู้ทีหลังจากพ่อบ้าน
เขาเล่าว่ามีผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งมาที่บ้าน และพ่อก็จ่ายเงินหลายล้านเป็นค่าเรียนเคล็ดวิชาเพลงหอกเพียงกระบวนท่าเดียวจากผู้เชี่ยวชาญคนนั้น เอาจริงๆนะ ผมนึกไม่ออกว่าเคล็ดวิชาแบบไหนกันที่จะมีมูลค่ามหาศาลขนาดนั้น”
หว่างเชาส่ายหน้าอย่างไม่สบายใจ
ในฐานะวงศ์ตระกูลของปรมาจารย์เพลงหอก แม้พวกเขาจะครอบครองทรัพย์สมบัติจำนวนไม่น้อย แต่การใช้เงินทีเดียวสองสามล้านก็สั่นคลอนความมั่นคงของครอบครัวได้ เขาไม่รู้ว่าทำไมพ่อถึงเป็นบ้าขึ้นมาปุบปับและจ่ายเงินจำนวนมากขนาดนั้น
“ในอาณาจักรเทียนเซวียนนี้ ไม่มีใครรู้เรื่องเพลงหอกดีไปกว่าผู้อาวุโสหว่างชง หากเขาเต็มใจควักเงินมากขนาดนั้น ก็หมายความว่าวรยุทธเพลงหอกที่ว่าจะต้องโดดเด่นมาก คุณก็ควรจะเรียนนะ” ลู่ฉวินมีมุมมองต่อเรื่องนี้แตกต่างออกไป
หว่างชงมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเซวียน แม้ฮ่องเต้เซินจุยยังทรงเอ่ยชมเชยเป็นการส่วนพระองค์ ความเก่งกาจในวรยุทธเพลงหอกของเขานั้นอยู่ในระดับที่น่าทึ่ง สำหรับผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งที่เขาเต็มใจจ่ายแพงขนาดนั้น เคล็ดวิชาที่ว่าจะธรรมดาได้อย่างไร?
“ผมก็อยากเรียน แต่พ่อไม่สอน พ่อบ้านเล่าว่าพ่อได้ให้สัญญาว่าจะถ่ายทอดเพลงหอกนี้ให้กับสมาชิกคนอื่นๆในตระกูลก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากผู้ที่คิดค้นมันเท่านั้น ใครที่พยายามลักลอบเรียนจะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก!”
หว่างเชาเบ้ปาก
เรื่องนี้ทำให้เขาอารมณ์เสียอย่างมาก
พ่อของเขาเฝ้าฝึกฝนไอ้เพลงหอกลึกลับนั่นอย่างบ้าคลั่ง และหว่างเชาก็รู้เรื่องนี้แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เรียน เขาจึงขัดอกขัดใจมาก และไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากบ่นออกมาเพื่อเป็นการระบาย
“เพลงหอกตระกูลหว่างนั้นเป็นสุดยอดของอาณาจักร และรู้กันทั่วไปว่าเป็นเทคนิคการต่อสู้ชั้นเลิศ ผมไม่คิดหรอกว่าวรยุทธเพลงหอกของผู้เชี่ยวชาญคนนั้นจะแข็งแกร่งกว่า เป็นไปได้ว่าผู้อาวุโสน่าจะกำลังหาทางฝ่าด่านวรยุทธไปให้ได้อีกขั้น”
เมื่อปลอบใจหว่างเชาแล้ว ลู่ฉวินกำลังจะพูดต่อ แต่จู่ๆก็เห็นหว่างเชาเหลียวหลังกลับไป เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย “มีอะไรหรือ?”
“ดูนั่น เจ้าคนโอหังที่พระราชวัง!”
หว่างเชาชี้ไปด้านหลัง
ลู่ฉวินหันกลับไป และเห็นชายวัยกลางคนในเสื้อคลุมขนสัตว์และหมวกไหมเดินมาในทิศทางเดียวกับพวกเขา
จะเป็นใครอื่นได้นอกจากชายจุ้นจ้านคนนั้น?
“ในเมื่อเขาสามารถนั่งตีเสมอกับทั้งสามปรมาจารย์และฝ่าบาทได้ สถานภาพของเขาก็คงไม่ธรรมดา ถึงจะปากเปราะก็เถอะ อย่าไปวุ่นวายกับเขาเลย สนใจเรื่องของเราดีกว่า!”
เมื่อเห็นเพื่อนรักกำลังจะเปิดศึกฉะฝ่ายนั้น ลู่ฉวินรีบเบี่ยงเบนความสนใจของเขาทันที
แม้เขาจะไม่เคยพบชายวัยกลางคนผู้นั้น แต่คนที่สามารถพูดขัดบทสนทนาระหว่างเขากับฮ่องเต้เซินจุยได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่
ว่าแต่…แล้วไงล่ะ?
พวกเขาเป็นอาจารย์ดาวเด่น มีตระกูลใหญ่หนุนหลัง ทั้งยังเป็นคนดังผู้ทรงอิทธิพลในอาณาจักรเทียนเซวียน ต่อให้ฝ่ายนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ไม่มีความหมายอะไรกับพวกเขาเลย
“อือ เข้าใจแล้ว ว่าแต่…ทำไมดูเหมือนเขากำลังตามเรามาล่ะ?” หว่างเชาสงสัย เขาเหลียวหลังไปมองฝ่ายนั้นอีกครั้ง
ขณะที่ทั้งคู่เดินคุยกัน พวกเขาเลี้ยวหลายต่อหลายครั้ง แต่ชายคนนั้นก็ยังอยู่ข้างหลัง จะเป็นอะไรอื่นได้นอกจากเขาตามมา?
“บางทีเขาอาจจะอยากขอเข้าพบปรมาจารย์หยางเหมือนกัน อย่าพูดอะไรอีกเลย พ่อบ้านซุนอยู่ที่ประตูนั่น เอาเงินไปจ่ายให้เขาดีกว่า…” ลู่ฉวินส่ายหน้า เขาไม่อยากเจอเรื่องยุ่งยากอะไรอีกก่อนที่จะได้เป็นศิษย์ของปรมาจารย์หยาง เมื่อเลี้ยวอีกสองครั้ง คฤหาสน์ของปรมาจารย์หยางก็อยู่ตรงหน้า ยังมีคนอีกมากเข้าคิวอยู่ และพ่อบ้านซุนฉางก็ยังอยู่ที่ประตูนั้นเช่นเดิม
หว่างเชาเดินยืดอกเชิดหน้าเข้าไปทันที เขาแทรกตัวผ่านฝูงชนเข้าไปอย่างทรนง และยื่นเงินสามล้านที่เพิ่งขอยืมมาออกไป
“พี่ซุน นี่คือเงินค่าขอเข้าพบปรมาจารย์หยาง คราวนี้เราเข้าไปข้างในได้แล้วใช่ไหม?”
แกเพิ่งเยาะเย้ยที่เราจนไม่ใช่หรือ?
แค่แป๊บเดียวเราก็มีเงินมา จะบอกว่าเป็นการ…ตบหน้าแกต่อหน้าธารกำนัลก็ว่าได้!
พวกเขาวาดภาพว่าซุนฉางจะต้องหน้าถอดสี คงจะแสดงกิริยานอบน้อม ก้มหลังและประจบประแจงพวกเขา แต่ชายร่างอ้วนเผละกลับขมวดคิ้ว โบกมืออวบอูมอย่างเหลืออดโดยไม่หันมามองเสียด้วยซ้ำ “ความงี่เง่าของพวกคุณนี่มาจากไหนกันนะ? ผมเพิ่งบอกไปหยกๆไม่ใช่หรือ? นับจากนี้ไปปรมาจารย์หยางจะไม่รับเงินของใครแล้ว ต่อให้เป็นเงินเท่าไรก็ช่าง เพราะฉะนั้น ใครที่ไม่ได้ถูกเรียกชื่อก็ไปซะ อย่ามาสร้างปัญหาที่นี่!”
“แก…” หว่างเชาเดือดดาลจนแทบกระอักเลือด
ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลชนชั้นสูงในอาณาจักรเทียนเซวียน เขาได้รับความเคารพอย่างสูงไม่ว่าจะไปที่ไหน แม้แต่ฮ่องเต้เซินจุยยังทรงปฏิบัติต่อเขาด้วยความเกรงใจ แต่พ่อบ้านคนหนึ่งกลับอาจหาญเอ่ยปากไล่ ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่ไล่ถึงสองครั้ง ความหยิ่งทรนงแผดเผาจนเขาแทบจะระเบิดออกมา
“ซุนฉาง คุณรู้ไหมว่ากำลังพูดกับใคร?” หว่างเชาหน้าดำคร่ำเครียด เขาเดินเข้าหาซุนฉางและคำรามลอดไรฟัน
“อ้อ อาจารย์หว่างเชานี่เอง…” ซุนฉางเพิ่งเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดๆ เขาเลิกคิ้ว “ทำไม? คราวนี้คุณเอาเงินมาด้วยหรือ?”
คราวที่แล้วเขาลังเลเพราะอีกฝ่ายเป็นถึงอาจารย์คนดัง แต่เมื่อเห็นว่าปรมาจารย์ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้เลย เขาจึงรู้ว่าจะสูงส่งมาจากไหนหรือจะเป็นอาจารย์คนดังก็ไม่ใช่ประเด็น
ถ้าคุณทำตามกฎ ผมก็จะช่วยพูด แต่ในเมื่อไม่ทำ คุณจะเป็นใครก็เรื่องของคุณ!
หว่างเชาหวิดจะปรี๊ดแตกเมื่อได้ฟังคำตอบของซุนฉาง
ไอ้สารเลว!
แกดูถูกฉันแบบนั้นหมายความว่าอย่างไร!
แกหมายความว่าอย่างไรที่พูดว่า “คราวนี้คุณเอาเงินมาด้วยหรือ?”
หากใครที่ไม่รู้เรื่องราวมาได้ยินเข้า พวกเขาจะต้องคิดว่าฉันหน้าด้านเข้ามาหลายหนแล้วทั้งที่ไม่มีเงิน!
“หว่างเชา ใจเย็นก่อน!”
เห็นเพื่อนใกล้ระเบิดเต็มที ลู่ฉวินส่ายหน้าและเดินเข้ามา
แม้เพื่อนของเขาคนนี้จะเป็นคนปราดเปรื่องและมีทักษะการสอนที่ดี แต่ก็เป็นคนอารมณ์ร้อน ซึ่งนิสัยนี้เคยทำให้เขาตกที่นั่งลำบากมาแล้วหลายครั้ง
หากเขาไม่เข้ามาขวาง ก็เป็นไปได้ว่าหว่างเชาจะบ้าคลั่งขึ้นมาจริงๆ
การทำร้ายชายคนนี้หมายถึงการหยามเกียรติของปรมาจารย์หยาง ไม่เพียงแต่ปรมาจารย์จะไม่รับพวกเขาเป็นศิษย์เท่านั้น แต่ยังจะถูกไล่กลับไปด้วย
ลู่ฉวินรั้งตัวเพื่อนผู้ร้อนรนไว้ เขาประสานมือและยิ้ม “พ่อบ้านซุน ผมคิดว่าคงไม่ต้องแนะนำตัวกันแล้ว เป็นความผิดพลาดของพวกเราเองที่เมื่อครั้งก่อนไม่ได้นำเงินมาด้วย ครั้งนี้เราจึงนำเงินมาพร้อมกับสมุดแนะนำตัว ขอรบกวนคุณช่วยแจ้งปรมาจารย์หยางได้ไหม หากเขาปฏิเสธที่จะพบเราล่ะก็ เราจะล้มเลิกความตั้งใจและไม่รบกวนคุณอีก”
มองปราดเดียวก็ชัดเจนว่าซุนฉางเป็นคนเดินดินธรรมดา การต่อปากต่อคำกับเขามีแต่จะทำให้เรื่องยุ่งยากกว่าเดิม ลู่ฉวินจึงตัดสินใจหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น และพูดตรงเข้าประเด็นทีเดียว
“นายท่านกำชับผมว่าไม่ให้รับสมุดแนะนำตัวของใคร นอกจากผู้ที่ได้จ่ายเงินไว้ก่อนหน้านี้แล้ว จะไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างในอีก แต่เอาเถอะ ในเมื่อคุณทั้งคู่เป็นอาจารย์คนดัง ผมจะช่วย…”
ซุนฉางพยักหน้าอย่างพอใจกับคำพูดของลู่ฉวิน เมื่อพูดยังไม่ทันจบประโยคก็พลันเห็นว่าปรมาจารย์หยางได้มาถึงประตูคฤหาสน์แล้ว เขาผลักประตูให้เปิดออกและเดินเข้าไปในลานบ้าน
อันที่จริงแล้ว การที่ซุนฉางแสดงความโมโหโทโสเมื่อครู่ที่ผ่านมาก็เพื่อปกปิดความจริงที่ว่าปรมาจารย์หยางไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์ เมื่อเห็นเขากลับมา ซุนฉางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขากำลังจะกลับเข้าไปในคฤหาสน์อย่างเบิกบานใจเมื่อได้ยินเสียงตวาดก้อง
“พ่อบ้านซุน ทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร? เราจ่ายเงินและมอบสมุดแนะนำตัวให้แล้ว แต่คุณก็ยังไม่อนุญาตให้เราเข้าไป แล้วทำไมชายผู้นั้นถึงเดินเข้าไปหน้าตาเฉยได้โดยไม่ต้องแจ้งคุณเสียด้วยซ้ำ?”
หว่างเชาโมโหเดือด
ตอนที่เราไม่เอาเงินมา แกก็ทั้งต่อว่าทั้งเยาะเย้ยเราต่อหน้าผู้คน คราวนี้เราเอาเงินมา แกก็ยังปฏิเสธไม่ให้เราเข้า เรารับได้ถ้าทุกคนได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชายที่ใส่เสื้อคลุมขนสัตว์และหมวกไหมคนนั้น?
ไม่ต้องยื่นสมุดแนะนำตัวหรือจ่ายอะไรเลยก็ลอยชายเข้าไปได้ มีสิทธิ์อะไรที่ทำอย่างนั้น? เพราะเขารวยหรือ? เพราะฮ่องเต้เซินจุยให้เกียรติเขาอย่างนั้นหรือ?
แกเพิ่งบอกอยู่หยกๆว่าไม่มีใครเข้าไปได้?
แล้วเกิดอะไรขึ้นกับวาจาศักดิ์สิทธิ์ที่แกเพิ่งพูดไปเล่า?
หว่างเชาโมโหเดือดขนาดที่ว่า หากความโกรธเป็นสิ่งจับต้องได้ มันคงทับซ้อนกันจนพุ่งสูงไปถึงสวรรค์แล้ว
แต่ทันทีที่เขาพูดจบ ฝูงชนโดยรอบก็หันขวับมาจ้องเขาราวกับเห็นคนปัญญาอ่อน นัยน์ตาของคนเหล่านั้นเต็มไปด้วยความสมเพช
เมื่อเห็นสายตาเหล่านั้น ลู่ฉวินพลันคิดได้ เขาตัวสั่นเทิ้มและหน้าตาหมองคล้ำไปทันใด เขาหันไปทางซุนฉางและเอ่ยถาม “พ่อบ้านซุน คนที่เพิ่งเข้าไปนั่นคือ…”
“คือนายท่านของพวกเรา!” ซุนฉางตอบอย่างเย็นชา
“ปรมาจารย์หยางรึ?” ลู่ฉวินรู้สึกราวกับโดนสายฟ้าฟาดใส่ เขายืนโงนเงน
หว่างเชาผู้เดือดดาลก็รู้สึกราวกับเพิ่งถูกตบหน้า ทุกถ้อยคำที่เขาอยากพูดชะงักกึกอยู่ในปาก ชั่วเวลาเพียงเสี้ยววินาที เขาหน้าซีดเผือดและตัวสั่นเทิ้ม
นั่นปรมาจารย์หยางหรือ?
แล้วเราตำหนิเขาที่วัง ว่าเขาจุ้นจ้าน?
เขาพยายามแนะนำเราด้วยความปรารถนาดี แต่เราเขี่ยคำพูดของเขาทิ้งอย่างไม่ให้เกียรติ แถมยังจะสั่งสอนเขาเสียอีก…
นี่มัน…มันเกิดอะไรขึ้น?
ทั้งคู่รู้สึกราวกับโลกที่อยู่รอบตัวพวกเขาค่อยๆแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
แม้ลู่ฉวินกับหว่างเชาจะเป็นบุคคลผู้ทรงเกียรติในสายตาของใครหลายคน เพราะทั้งคู่เป็นอาจารย์คนดังของโรงเรียนหงเทียน แต่จางเซวียนได้กระทบไหล่กับชนชั้นนำของอาณาจักรเทียนเซวียนมากหน้าหลายตาเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา จึงรู้สึกว่าพวกเขาไม่ควรค่าแก่การเหลือบแล
มองดูพวกเขาตอนนี้ ก็เป็นแค่ชายหนุ่มจองหองเท่านั้น
ทั้งคู่จะชอกช้ำระกำใจแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องของจางเซวียน แค่สั่งการไว้กับซุนฉางก็พอแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้อง
ตอนนี้เขานั่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เมื่อได้เรียนศาสตร์ยาพิษเทียบฟ้า เขาก็มีความรู้ในเรื่องดังกล่าวอย่างลึกซึ้ง ซึ่งตอนนี้เขารู้สึกได้ว่ามีรังสีของพิษดำทะมึนอยู่ภายในร่าง
ตอนที่อยู่ในพระราชวัง จางเซวียนมัวยุ่งอยู่กับการช่วยเซินหง จึงไม่มีเวลาพิจารณาเรื่องนี้ แต่เมื่อกลับถึงคฤหาสน์แล้วก็กังวลขึ้นมาอีก และต้องการจะค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้น!
เขามีสุขภาพดีมาตลอด แล้วรังสีพิษมาตกค้างอยู่ในร่างกายได้อย่างไร?
มันเข้ามาตอนไหน?
จางเซวียนให้สงสัยนัก เขารวบรวมสมาธิไปที่รังสีพิษดำทะมึนนั้น
รังสีพิษดังกล่าวซ่อนตัวอยู่ระหว่างอวัยวะของเขา ทำให้ยากที่จะหาเจอ หากไม่ใช่เพราะเขาได้เรียนศาสตร์ยาพิษเทียบฟ้าและมีความเข้าใจเรื่องยาพิษอย่างลึกซึ้งแล้วล่ะก็ จะไม่มีทางรู้สึกถึงมันเสียด้วยซ้ำ
“นี่มันพิษชนิดไหนกัน? ทำไม…เราไม่เคยเห็นมาก่อน?” จางเซวียนขมวดคิ้วเมื่อเพ่งดูมันใกล้ๆ
มีหนังสือเกี่ยวกับยาพิษมากกว่าหนึ่งพันเล่มในหอสมุดพระราชวัง มีเนื้อหาทั้งเรื่องยาพิษหลากหลายชนิด ธรรมชาติของมัน และกลิ่นของมันถูกบันทึกไว้ในนั้น แต่รังสีพิษดำทะมึนที่อยู่ในร่างของเขานี้ไม่ตรงกับพิษที่มีบันทึกไว้ในหนังสือแม้แต่ชนิดเดียว