Skip to content

Library Of Heaven’s Path 36

ตอนที่ 36 นักชิมอาหาร

บนโลกใบนี้มีอาชีพต่างๆ มากมาย

อาชีพนักชิมอาหารก็เป็นหนึ่งในนั้น คนประเภทนี้มีความสามารถในการรับรู้และวิเคราะห์รสชาติของอาหารได้ดีกว่าคนทั่วไปหลายร้อยเท่า

แม้ว่านักชิมอาหารทุกคนไม่ได้มีความสามารถสูงส่งไปเสียทั้งหมด แต่ภัตตาคารหลายแห่งก็ยอมจ่ายเงินจำนวนมาก เพื่อว่าจ้างให้นักชิมเหล่านี้มาตรวจสอบรสชาติของเมนูอาหารต่างๆ อาชีพนักชิมจึงเป็นอาชีพที่มีรายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

แต่ว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ไม่ได้มีสถานะทางสังคมสูง ไม่ค่อยเป็นที่เคารพของใครต่อใคร

ทั่วโลกมีอาชีพต่างๆ นับพัน เพื่อเป็นการจัดระเบียบระดับอาชีพต่างๆ อาชีพทั้งหมดจึงถูกแบ่งเป็นระดับบนเก้าขั้น ระดับกลางเก้าขั้น และระดับล่างเก้าขั้น

หมอปรุงยา ช่างตีอาวุธ และนักวางค่ายกลล้วนเป็นอาชีพที่มีเกียรติมาก สร้างประโยชน์ต่อยุทธภพ เป็นอาชีพที่อยู่ใน ‘ระดับบนเก้าขั้น’ ส่วนอาชีพนักชิมอาหารเป็นอาชีพที่ค่อนข้างต่ำต้อย เป็นอาชีพที่อยู่ใน ‘ระดับล่างเก้าขั้น’

เสิ่นปี้หรูมองไปยังชายหนุ่มตรงหน้า เขาสามารถอธิบายถึงจุดบกพร่องต่างๆ ของอาหารและสุราได้อย่างง่ายดาย ความสามารถแบบนี้มีเพียงนักชิมอาหารเท่านั้นที่จะมีได้

“คุณจะเข้าใจแบบนั้นก็ได้” จางเซวียนขี้เกียจอธิบาย

หอสมุดเทียบฟ้าไม่เพียงแต่สามารถมองเห็นข้อบกพร่องของคนทั่วไปได้ แต่ยังสามารถรับรู้ได้ถึงข้อผิดพลาดต่างๆ ของอาหารได้ในการชิมเพียงแค่ครั้งเดียว ด้วยความสามารถเช่นนี้ จะจัดการกับหัวหน้าอู๋มันก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร

“ขอบคุณนะคะที่ช่วยแก้ปัญหาให้ฉันในวันนี้…”

มองว่าอีกฝ่ายยอมรับแล้ว เสิ่นปี้หรูจึงพูดต่อทันที หากไม่ใช่เพราะว่าจางเซวียนสามารถพิสูจน์ข้อผิดพลาดต่างๆ ของอาหารได้ เธอคงจะต้องอับอายขายหน้าสุดๆ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” จางเซวียนตอบ

“อาหารมื้อนี้คุณเป็นคนจัดการ ไม่ถือว่าฉันเป็นคนเลี้ยง คราวหน้าให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณอีกทีนะคะ” เสิ่นปี้หรูเอ่ยกระท่อนกระแท่น

“จะเลี้ยงข้าวผมอีกครั้งหรือ” จางเซวียนคิดแล้วส่ายหัว “อย่าดีกว่าครับ ผมยังอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อบนโลกใบนี้” แม้ว่าการกินข้าวกับสาวสวยระดับนางฟ้าจะเป็นเรื่องที่หาไม่ได้ง่ายๆ แต่จางเซวียนก็รู้ถึงชื่อเสียงอันย่ำแย่ของตัวเอง เสิ่นปี้หรูไม่มีทางที่จะมาชอบเขาได้อยู่แล้ว

ในเมื่อไร้โอกาสพัฒนาความสัมพันธ์ ซ้ำยังทำให้คนอื่นอิจฉาริษยา พากันมาวางแผนเล่นงานตน แล้วตนก็ต้องหาวิธีมาจัดการกับคนเหล่านั้น จางเซวียนรู้สึกว่าเขายังมีเรื่องต้องทำอีกเยอะ ไม่มีเวลามาทำเรื่องอะไรไร้สาระแบบนี้บ่อยๆ

“นี่คุณ…” พอมาได้ยินคำพูดประโยคนี้เข้า เสิ่นปี้หรูรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เธอหงุดหงิดทันที

มีชายหนุ่มมากมายอยากชวนเธอกินข้าว แต่เธอก็ไม่เคยไปกับใครสักคน ทว่าจางเซวียนคนนี้ ขนาดเธอเป็นฝ่ายออกปากชวนด้วยตัวเอง เขายังวางสีหน้าไร้อารมณ์

เจ้าบ้า!

“เอาล่ะ ข้าวก็กินอิ่มแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวก่อนนะครับ พอดียังมีงานค้างอยู่” จางเซวียนไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังโมโห พอพูดจบเขาก็เดินจากไปทันที

“รอเดี๋ยวค่ะ ฉันยังพูดไม่จบ” เสิ่นปี้หรูสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อระงับความโกรธ แล้วมองไปที่จางเซวียนด้วยสายตาที่แสนจะทรงเสน่ห์ “แม้ว่าวันนี้คุณจะช่วยฉันแก้ปัญหา ความเป็นนักชิมอาหารระดับมืออาชีพของคุณมีประโยชน์อย่างมาก แต่อย่างไร… มันก็เป็นเพียงวิชารองไม่ใช่สายวิชาหลัก… สำหรับการเป็นนักรบ นักรบทุกคนจะต้องฝึกยุทธ์แล้วก็เรียนรู้เคล็ดวิชาเป็นหลักต่างหากเล่า…”

สำหรับนักรบแล้ว หากฝึกยุทธ์จนมีปราณแก่กล้าในระดับหนึ่ง ความสามารถในการลิ้มรสชาติของอาหารก็ไม่มีประโยชน์อะไร แม้จางเซวียนอาจจะสามารถทำกำไรจากการชิมอาหารได้ แต่อย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่นักรบควรจะทำ

จากการใช้เวลาอย่างใกล้ชิดกับจางเซวียนเกือบครึ่งวัน เสิ่นปี้หรูแน่ใจว่าจางเซวียนที่ถูกคนอื่นหาว่าเป็นเศษสวะที่จริงแล้วไม่ใช่เลยสักนิด อาจเป็นไปได้ว่าเขาทุ่มเทให้กับการชิมอาหารมากเกินไป จึงทำให้เขาทำข้อสอบประเมินผลได้ไม่ดีนัก

พอคิดได้แบบนี้ แม้จะยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่มาก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเตือนจางเซวียนด้วยความหวังดี

“ครับ” จางเซวียนรู้ว่าอีกฝ่ายเตือนด้วยความหวังดี เขาพยักหน้าแล้วก็เตรียมจะก้าวเท้าเดินจากไป ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนมาจากด้านหลัง

“จางเซวียน แกจะหนีไปไหน วันนี้แกไม่รอดแน่” จู่ๆ ก็มีชายหนุ่มสองคนพร้อมกับอสุรกายตัวใหญ่วิ่งมาดักทางไปของเขา

ที่แท้คือซั่งปิงกับเฉาฉงนั่นเอง

ใบหน้าของทั้งสองในตอนนี้บวมเป่งยิ่งกว่าไข่ห่าน มีรอยเท้าขนาดใหญ่ประทับอยู่ ลายของส้นรองเท้านั้นเห็นได้อย่างชัดเจน รอบปากเต็มไปด้วยหยดเลือด ดูแล้วน่าเวทนาสุดๆ

โดยเฉพาะซั่งปิง บาดแผลจากการถูกซ้อมในช่วงเช้ายังไม่ทันได้หายดี ดันมาโดนฝ่าเท้าอย่างจังเข้าอีกครั้ง ทำให้ปากของเขาถึงกับเปลี่ยนรูปทรงไปเลย ปากเบี้ยวไปมาเหมือนกับมีอะไรมาแขวนอยู่บนปาก ไม่เหลือมาดของความเป็นชายงามหลงเหลืออีก

เขาวางแผนไว้ซะดิบดี กะว่าจะทำเป็นเท่อวดสาว แต่แผนการกลับผิดพลาด แล้วดันมาโดนเล่นงานซะหมดรูป ความสัมพันธ์กับภัตตาคารหงเทียนก็แหลกไม่เหลือซาก และที่สำคัญอาจจะถูกคุณปู่ตำหนิด้วย ความอัปยศอดสูมากมายแบบนี้ใครจะไปรับไหว

เขายิ่งคิดก็ยิ่งแค้น ไม่ต้องพูดอะไรให้เสียเวลาอีกแล้ว เขาตัดสินใจมาหาเรื่องจางเซวียนทันที

“ซั่งปิง นี่คุณกำลังจะทำอะไร” เสิ่นปี้หรูคิดไม่ถึงว่าซั่งปิงจะตามมาหาเรื่องจางเซวียนต่อ เธอรู้สึกทนไม่ได้จึงเอาร่างของตนเองบังจางเซวียนเอาไว้

“อาจารย์เสิ่นช่วยหลีกทางด้วย ผมมีเรื่องส่วนตัวกับจางเซวียนคนนี้”

เดิมทีซั่งปิงก็โกรธจางเซวียนมากอยู่แล้ว พอมาเห็นเสิ่นปี้หรูปกป้องเจ้าเศษสวะตัวนี้อีก เขายิ่งโมโหจนอยากจะระเบิด ความริษยาทำให้เขาบ้าคลั่งขึ้นอย่างมาก เขามองไปที่จางเซวียนด้วยสายตาสุดจะคั่งแค้น “จางเซวียน แกยังเป็นลูกผู้ชายอยู่รึเปล่า ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริงก็อย่าเอาแต่แอบอยู่หลังผู้หญิงสิ ออกมาสู้กับฉันแบบตัวต่อตัวเลย”

คนคนนี้ขาดสติไปแล้ว จางเซวียนลืมตาขึ้น “แอบอยู่หลังผู้หญิงแล้วจะทำไม ทำแบบนี้ได้ถึงเรียกว่าเก่งจริง ถ้าแกแน่จริงก็หาผู้หญิงเอาไว้แอบบ้างสิ”

“นี่แก…” ซั่งปิงเกือบจะกระอักเลือด ผู้ชายทุกคนถ้าถูกด่าว่าเป็นหน้าตัวเมียก็จะต้องโกรธจัดแล้วเล่นงานคนที่พูดทันทีไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเจ้านี่ไม่เป็นไปตามหลักการของธรรมชาติล่ะ

ความน่าอับอายในสายตาของคนอื่นกลายเป็นเรื่องที่มีเกียรติของจางเซวียน มิหนำซ้ำเจ้านั่นยังทำมาเป็นเบ่งอีก ทำไมหน้าของมันถึงได้หนาแบบนี้เนี่ย

“อาจารย์เสิ่น สำหรับสองคนนี้คุณช่วยจัดการแทนผมหน่อย ผมยังมีธุระต้องไปทำ ขอตัวก่อนนะ”

ในฐานะผู้ที่มาจากอีกโลกหนึ่ง ไม่มีอะไรที่จางเซวียนไม่เคยเจอมาก่อน หน้าไม่อายรึ… หน้าไม่อายเรื่องอะไร โลกในอดีตของจางเซวียนเป็นโลกที่ก้าวไกลเป็นอย่างมาก ใครอยากจะทำอะไรก็ทำ แล้วทำไมต้องรู้สึกอับอายต่อคนอื่นในโลกด้วย ปัญหาที่สามารถใช้คนอื่นแก้ไขให้ได้ เขายังจำเป็นต้องเข้าไปจัดการด้วยตัวเองอีกหรือ

ไม่ใช่เพราะว่ากลัว แต่ว่าเขาไม่อยากจะเปิดเผยวรยุทธที่แท้จริงของตน บวกกับการที่ปู่ของอีกฝ่ายเป็นถึงผู้เฒ่าประจำโรงเรียน ถ้าเกิดอะไรขึ้นมิต้องพลอยเสียเวลาไปไกล่เกลี่ยเรื่องอีกนานหรอกหรือ ในเมื่อมีคนออกหน้าแทน มันจึงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย

“…”

เห็นท่าทีของจางเซวียนที่ไม่มีความอับอายเลยแม้แต่น้อย ทำให้เสิ่นปี้หรูพูดอะไรไม่ออก เมื่อครู่เธอคิดว่าเขาจะถูกซั่งปิงยั่วโมโหจนทนไม่ได้แล้วเกิดลงมือขึ้น แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าเธอคิดมากไปจริงๆ

ถ้าเขาคนนี้สามารถโกรธจนลงมือกับคนอื่น แม่หมูตัวอ้วนๆ ก็คงจะปีนต้นไม้ได้เหมือนกัน

“จางเซวียน แกหยุดเดี๋ยวนี้นะ ถ้าฉันไม่ฆ่าแกวันนี้ ก็อย่าเรียกฉันว่าซั่งปิงอีก” เห็นท่าทีไม่ยี่หระของจางเซวียนแบบนี้ ซั่งปิงถึงกับระเบิดอารมณ์ขึ้น เส้นเลือดบนใบหน้าของเขาปูดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นว่าเสิ่นปี้หรูไม่มีท่าทีจะหลีกทาง เขาจึงตะโกนก้อง “ราชสีห์อวตาร ฆ่ามันซะ ถ้าแกฆ่าเจ้านั่นตาย ฉันจะให้แกกินดีทุกมื้อ อีกทั้ง ‘โอสถคลายประสาท’ ที่คุณปู่ให้ฉัน ฉันก็จะเอามันให้แกด้วย”

ราชสีห์อวตารเป็นสัตว์วิเศษระดับหก ถูกมนุษย์ฝึกมาเป็นเวลานาน ทำให้มันสามารถเข้าใจภาษาของมนุษย์ได้อย่างไม่มีปัญหา

ในฐานะสัตว์วิเศษของคุณปู่ มันมีหน้าที่เพียงแค่รักษาความปลอดภัยให้กับซั่งปิงโดยที่ไม่ต้องฟังคำสั่งใดๆ จากเขา แต่ซั่งปิงต้องการจะให้มันเล่นงานจางเซวียน ซั่งปิงถึงกับยอมมอบสิ่งวิเศษทุกอย่างให้กับมัน

เมื่อราชสีห์อวตารได้ยินข้อเสนอของซั่งปิงก็ตาโตขึ้นทันที

การจะควบคุมสัตว์ร้ายขั้นพี่เชวี่ยให้ฝึกพลังปราณได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไม่เหมือนกับฝึกมนุษย์ มันต้องอาศัยการปรับตัวของร่างกายแล้วค่อยๆ ปรับสภาพ แต่ถ้าได้โอสถคลายประสาทเข้าช่วย พลังปราณในร่างจะสามารถเพิ่มพูนขึ้นได้อย่างมหาศาล

โอสถคลายประสาทเป็นยาที่ปรุงขึ้นเพื่อใช้กับนักรบขั้นหก มีสรรพคุณในการคลายเส้นเอ็นและเส้นประสาทของกล้ามเนื้อในร่างกาย ทำให้พลังปราณในตัวคนหรือสัตว์สามารถเพิ่มสูงขึ้นมาอีกขั้น

ซั่งปิงเป็นนักรบขั้นห้า – ติ่งลี่ระดับสูงสุด อีกนิดเดียวก็จะถึงขั้นพี่เชวี่ยแล้ว ดังนั้นผู้เฒ่าซั่งเฉินจึงยอมจ่ายเงินทองจำนวนมากเพื่อเสาะหายาตัวนี้มา เป้าหมายคืออยากจะช่วยให้ซั่งปิงก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้น

ที่จริงซั่งปิงก็ไม่อยากจะเอาโอสถคลายประสาทออกมาใช้ แต่เขาถูกเจ้าเศษสวะตัวนี้เล่นงานจนหมดรูป เขาทนไม่ได้อีกแล้ว วันนี้หากเขาไม่ฆ่าจางเซวียนทิ้ง เขาคงไม่มีหน้าจะมีชีวิตอยู่ในโรงเรียนนี้อีกต่อไป

โดยเฉพาะนางฟ้าที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ เธอคงไม่เหลือความสนใจในตัวเขา

สถานการณ์แบบนี้ใครจะไปทนไหว

“ซั่งปิง คุณจะทำอะไร คิดจะฆ่าคนในโรงเรียนหรือ นี่มันโทษหนักนะ…”

เสิ่นปี้หรูคิดไม่ถึงว่าซั่งปิงจะเกิดคลั่งขึ้นมา สั่งให้ราชสีห์อวตารลงมือสังหารคนอื่น เธอรีบกระโดดเข้าไปปกป้องจางเซวียนแต่ถูกซั่งปิงสกัดเอาไว้ เธอจึงได้แต่ตะโกนห้ามด้วยความตกใจสุดขีด

ในโรงเรียน อาจารย์ทุกคนห้ามลงมือฆ่าฟันกันเอง ไม่อย่างนั้นจะถือว่าฝ่าฝืนกฎระเบียบอย่างรุนแรง และจะถูกลงโทษอย่างหนัก

“เป็นเจ้าจางเซวียนต่างหากที่จะทำร้ายผม ราชสีห์อวตารเล่นงานมันก็เพื่อปกป้องผม แล้วมันก็เป็นเรื่องปกติที่ผมต้องป้องกันตัวเอง ใครจะมาว่าอะไรผมได้” ซั่งปิงตาแดงก่ำเป็นสีเลือด เขาขาดสติไปแล้ว “ราชสีห์อวตาร แกยังรออะไรอยู่อีก รีบไปฆ่ามันซะ”

“นี่คุณ…” เสิ่นปี้หรูรู้สึกตกใจมาก

ไร้ยางอายที่สุด!

ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แล้วผู้เฒ่าซั่งเฉินยังยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือซั่งปิง หรือสามารถจะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องเล็กๆ ได้จนซั่งปิงไม่ต้องถูกลงโทษ ตระกูลซั่งก็นับว่าแย่เอามากๆ

ใครๆ ก็รู้ว่าราชสีห์อวตารเป็นสัตว์วิเศษระดับหก ขนาดนักรบขั้นพี่เชวี่ยเองยังยากจะเอาชนะ แล้วอาจารย์ที่สอบได้ศูนย์คะแนนจากการสอบประเมินผลจะเอาอะไรไปสู้กับมัน

ขณะที่เสิ่นปี้หรูกำลังตะลึงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงราชสีห์อวตารคำรามก้อง มันกระโจนไปที่จางเซวียนทันที ทั้งที่ยังไม่ถึงตัวจางเซวียนเลย แต่แรงกดอากาศที่เกิดจากการกระโจนของมันก็ทำให้หญ้าและใบไม้ต่างๆ ถูกแรงลมพัดจนล้มราบเป็นหน้ากลอง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!