ตอนที่ 55 ถูกล้อม (1)
พอพูดจบก็ถูกถามต่อว่าได้ผลไข่มุกทองคำมาจากไหน
จางเซวียนตอบกลับไปว่าประมูลมาจากห้างสรรพสินค้า ทำให้ลู่เฉินและคนอื่นต่างเข้าใจว่าจางเซวียนโชคดี
“จริงสิ น้องชายจางเซวียน ไม่รู้ว่าคุณเป็นคนที่นี่หรือคนที่…” ลู่เฉินถามต่อ
“ผมเป็นอาจารย์ของโรงเรียนหงเทียนครับ” จางเซวียนตอบ
“เป็นเช่นนี้เอง มิน่าล่ะถึงได้เก่งกาจ แถมยังรู้ลึกถึงงานศิลปะอีกด้วย” ลู่เฉินชื่นชมจางเซวียนอย่างมาก พร้อมทั้งหันไปมองที่หวงหวี่และไป๋ซวิน “ภาพวาดสามารถขจัดความร้อนรุ่มในร่างกายมนุษย์ อีกทั้งยังช่วยปรับสมดุลต่างๆ ในร่าง อย่าเอาแต่คิดจะต่อยตีกันไปวันๆ ในเมื่อจางเซวียนเขาเป็นถึงอาจารย์ ตอนที่พวกคุณสองคนมีว่าง ก็ไปขอคำชี้แนะจากเขาเยอะๆ ใครที่สามารถเรียนรู้วิชาได้สำเร็จ ผมจะให้ผ่านการคัดเลือก แล้วผมจะมอบสิ่งที่ต้องการให้”
“รับทราบ” หวงหวี่หน้าบูดทันที แต่ไป๋ซวินกลับดีใจจนบอกไม่ถูก จากการประลองยุทธ เขารู้ดีว่าวรยุทธของจางเซวียนอยู่เหนือเขาอย่างมาก ถ้าสามารถได้รับคำชี้แนะจากยอดฝีมือระดับนี้ จะมีประโยชน์มากกว่าอ่านตำราหลายร้อยเท่า
อย่างน้อยขอคำชี้แนะจากจางเซวียน ก็ไม่กดดันเท่ากับมาขอจากปรมาจารย์ลู่เฉิน
“งั้นวันนี้ผมขอรบกวนเพียงเท่านี้ก่อน ฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ท่านปรมาจารย์ ผมขอตัวก่อนครับ ไว้วันหลังจะมาขอคำชี้แนะใหม่” จางเซวียนเห็นว่าธุระของตนเสร็จแล้วก็กล่าวลาลู่เฉินทันทีโดยไม่ให้เสียเวลา
“คุณมาที่นี่เพื่อจะดูตำราวิชาระดับ 6 แต่ที่ผมไม่มี เอาอย่างนี้ เดียวผมจะลองไปคุยกับเซินจุยดู แล้วผมจะพาคุณไปที่หอเก็บสมุดในหอสมุดหลวงแล้วกัน ช่วงนี้เขาเหมือนจะออกไปล่าสัตว์ ไม่ได้อยู่ในวัง” ปรมาจารย์ลู่เฉินกล่าวขึ้น
“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ขอขอบคุณท่านปรมาจารย์มากครับ” เมื่อได้ยินคำพูดของลู่เฉิน จางเซวียนก็รู้สึกดีใจขึ้นมา ตำราวิชาระดับ 6 ถ้าเป็นสถานที่ปกติคงหาซื้อไม่ได้ แต่ถ้าเป็นหอสมุดหลวง ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่ามีหนังสือและตำราครบถ้วนที่สุดในอาณาจักรเทียนเซวียน ในนั้นจะต้องมีหนังสือที่จางเซวียนต้องการอย่างแน่นอน
ถ้าสามารถไปที่นั่นได้สักครั้งแล้วได้ฝึกวิชาระดับ 6 บางที่อาจจะสามารถฝึกจนทำให้ตัวเองบรรลุวิชาอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย
“อย่าเกรงใจไปเลย…” ลู่เฉินยิ้มแล้วพยักหน้า
จางเซวียนเดินออกจากบ้านท่านราชครูแล้วมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนหงเทียนทันที
ตอนที่เขากินข้าวกับเสิ่นปี้หรูเรียบร้อยก็หัวค่ำแล้ว มาตอนนี้ดวงจันทร์ตั้งฉากกับศีรษะพอดี ถ้าใช้ระบบการนับเวลาของโลกเดิมของเขา ก็จะเรียกว่าตอนนี้ว่าเป็นเวลาเที่ยงคืน
แม้ว่าจะเสียเวลาไปมาก แต่จางเซวียนก็ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าแต่กลับรู้สึกตื่นเต้นกลับสิ่งที่เกิดขึ้น
บอกได้เลยว่าการไปบ้านท่านราชครูหนนี้คุ้มค่ามาก
ร่างกายของเขามีพลังปราณที่แข็งแกร่งรายล้อมไปทั่ว กล้ามเนื้อของเขาได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ หากเจอกับนักรบขั้น 6 เขาก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวอีกแล้ว และเขาก็ยังเจอตำราวิชาระดับ 6 อีกหลายสิบเล่ม แม้จะไม่สามารถรวบรวมความรู้บนหนังสือทั้งหมดจนเป็นวิชาเทียบฟ้าได้ แต่อย่างน้อยมันก็มีประโยชน์ต่อการฝึกวิชาอื่นๆ ไม่มากก็น้อย
“ตอนนี้พลังปราณในร่างกายสูงถึง 90 ขั้น ถ้าหาวิธีที่จะทำให้พลังปราณในร่างเพิ่มขึ้น แบบนี้วรยุทธของเราจะเพิ่มขึ้นอีกไหมนะ”
แม้ว่าตำราฝึกฝนกล้ามเนื้อจะมีมากในห้องสมุดของลู่เฉิน แต่ทั้งหมดเป็นหนังสือขั้นพื้นฐานที่ง่ายๆ หนังสือพวกนี้พอถูกหอสมุดเทียบฟ้าเรียบเรียงขึ้นยังมีผลลัพธ์ได้ดีขนาดนี้ วันหลังถ้าเรียบเรียงหนังสือที่มีคุณภาพมากกว่านี้ แล้วผลลัพธ์จะดีขนาดไหนนะ
จางเซวียนที่กำลังรู้สึกดีใจอยู่ก็ได้ยินเสียงดังขึ้น
พลังปราณในร่างกายเขาเพิ่มขึ้น ทำให้หูของเขาก็ดีขึ้นด้วย จางเซวียนรับรู้ได้ทันทีว่ามีคนแอบสะกดรอยตามเขามา
จางเซวียนหยุดเดิน “สหายที่ตามมาด้านหลัง จงออกมาเถิด ดีนะที่ผมระมัดระวังตัวเอง”
“ความระมัดระวังของแกจะมีประโยชน์อะไร เจ้าบ้า แกมาทุบหม้อข้าวหม้อแกงของพวกเรา วันนี้แกก็ต้องตายอยู่ตรงนี้แหละ…”
สิ้นเสียงจางเซวียน คนกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากเงามืดแล้วล้อมจางเซวียนเอาไว้ ทุกคนต่างมองจางเซวียนด้วยสายตาอันเย็นชา
“เป็นพวกคุณนั่นเอง” จางเซวียนจำพวกเขาได้
คนหนึ่งคือสิบแปดมงกุฎที่ถูกเปิดโปงปรมาจารย์โม่หยาง ส่วนอีกคนก็คือเจ้าของร้านก้อนอัญมณี
ส่วนที่เหลือคงจะเป็นพวกลูกสมุนที่ถูกว่าจ้างมา
ปรมาจารย์โม่หยางในตอนนี้มีใบหน้าปูดโปนและเขียวฉ่ำ เบ้าตาดำ เสื้อผ้าก็ถูกฉีกขาดไปหลายชิ้น ไม่มีมาดเป็นคนเหนือคนเมื่อก่อนอีกแล้ว
เห็นที พวกคนที่ถูกหลอกคงไม่ได้เมตตาเขาสักเท่าไหร่
ก็ถูกแหละ คนที่สามารถซื้อก้อนอัญมณีมาถลุงได้อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนระดับเศรษฐี พอรู้ว่าตนถูกหลอก หากไม่ตีไอ้สิบแปดมงกุฎนี้จนตายก็ถือว่ามีเมตตามากแล้ว
ส่วนสภาพของเจ้าของร้านก้อนอัญมณีก็ไม่ได้ดีไปกว่าโม่หยางมากนัก เบ้าตาทั้ง 2 ดำไปหมด ปากถูกต่อยจนเละ หน้าบวมจนพูดอะไรไม่ชัด
เมื่อทั้งสองเห็นจางเซวียน พวกเขาก็แผ่รังสีความเกลียดชังออกมาทันที
พวกเขาเสียเงินมากมายกว่าจะวางแผนสำเร็จ แต่สุดท้ายกลับมาถูกจางเซวียนทำลายลง เงินทองที่ได้มาแล้วยังต้องจ่ายกลับออกไป แถมตัวเองยังถูกซ้อมจนปางตาย ความแค้นของพวกเขาที่มีต่อจางเซวียนแค่คิดก็รู้ว่ามีมาก
“ไอ้เดนนรก หนีไวมากนักนะแก ตอนนี้ฉันจะดูซิว่าแกจะหนีไปไหนได้อีก” สายตาของเจ้าของร้านเหมือนกับสายตาของหมาป่าที่เห็นก้อนเนื้อ
“พวกคุณจะฆ่าผมรึ” จางเซวียนขมวดคิ้วทันทีที่รู้สึกถึงบรรยากาศมาคุตรงหน้า
มีคนมาหาเรื่องเขาอีกแล้วอ่ะ!
“จะโทษก็โทษปากของแกเถอะ พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา ชาติหน้าจำไว้ว่าต้องควบคุมปากตัวเองให้ดีๆ” โม่หยางพูดขึ้นพร้อมกำหมัดทันที
แผนการลวงโลกของพวกเขาต้องล้มเหลวก็เพราะจางเซวียนคนเดียว พวกเขาควานหาตัวจางเซวียนตั้งนาน พอหาเจอมีหรือว่าจะปล่อยไปง่ายๆ
“เดี๋ยวนะ ผมยังไม่คิดจะตายแล้วจะมีชาติหน้าได้ไง อีกอย่าง ผมก็ไม่คิดจะควบคุมปากตัวเองด้วย” จางเซวียนตอบ
“ไม่คิดจะตายหรือ” สายตาของโม่หยางแผ่รังสีอำมหิตออกมา “เรื่องนี้คงตามใจแกไม่ได้หรอก พี่น้องทุกคน จงฆ่ามันซะ สับให้ละเอียดเอาเนื้อมันไปเลี้ยงหมา”
“รับทราบ” สิ้นเสียงของโม่หยาง เหล่าสมุนก็เริ่มลงมือทันที หนึ่งในนั้นปล่อยหมัดไปที่จางเซวียนอย่างสุดแรง
มองก็รู้ว่าลิ่วล้อคนนี้เป็นนักรบขั้น 5 ระดับสูงสุด
สมแล้ว… คนพวกนี้ถูกอาณาจักรหลิวจูออกหมายจับแล้วยังสามารถหนีมาหลอกลวงชาวบ้านในอาณาจักรเทียนเซวียนได้ เพราะมีฝีมืออยู่จริงๆ
ถ้าเป็นช่วงก่อนคืนนี้ ถึงจางเซวียนจะสามารถเอาชนะคนพวกนี้ได้ ทั้งหมดก็ต้องเพิ่งพาหอสมุดเทียบฟ้าเท่านั้น แต่ตอนนี้ ร่างกายของเขามีพลังปราณที่แข็งแกร่งอย่างมาก มีพลังปราณระดับเกือบ 100 พลังปราณของพวกลิ่วล้อทั้งหลายเทียบอะไรกับเขาไม่ได้เลย
จางเซวียนยิ้มแล้วซัดฝ่ามือออกไป “ไม่รู้จักที่ตายจริงๆ”
“เจ้าสี่ฉายาฝ่ามือเหล็ก มือของเขาสามารถฝ่าก้อนหินได้ เมื่อก่อนนักรบขั้น 6 ระดับต้นๆ ของอาณาจักรหลิวจูถูกเขาฆ่าตายด้วยฝ่ามือเดียว แต่เจ้าหนุ่มนี่กลับไม่ตั้งรับอะไรเลยแล้วดันออกหน้ามารับฝ่ามือของเจ้าสี่อีกด้วย ไอ้โง่เอย”
“พวกเราถูกคนแบบนี้เล่นงานจนหมดรูป มันน่าโมโหจริงๆ” โม่หยางและพรรคพวกเห็นจางเซวียนไปหลบไม่ไหน จึงหัวเราะเยาะในใจ
ลิ่วล้อคนนี้ถึงฝีมือจะไม่ได้โดดเด่น แต่ก็ไม่เป็นรองใครเช่นกัน โดยเฉพาะฝ่ามือของเขาที่สามารถขยี้แผ่นเหล็กจนกลายเป็นฝุ่นผงได้ แล้วชายหนุ่มตรงหน้าที่ใช้มือเปล่าๆ มารับการโจมตีแบบนี้จะไม่เรียกว่ารนหาที่ตายรึ
ในขณะที่ทุกคนต่างคิดว่าจางเซวียนจะถูกฆ่าตายในกระบวนท่าเดียวนั้น พวกเขาเห็นฝ่ามือเหล็กของ ‘เจ้าสี่’ ที่พวกเขาชื่นชม ถูกปัดจนกระเด็นออกข้างแล้วหน้าอกของเจ้าสี่ก็ถูกหมัดแรกของจางเซวียนซัดเสียจนยุบลงไปกับตา
ร่างของเจ้าสี่กระเด็นออกไปหลายสิบเมตร หัวปักกับกองดิน
มองเผินๆ เหมือนต้นหอมต้นหนึ่ง