ตอนที่ 58 เขาทำได้อย่างไร
เมื่อครู่ตอนที่จางเซวียนพูดถึงเรื่องตั๋วเงิน โม่หยางก็ตกใจมากพออยู่แล้ว
แต่เขาก็ยังสามารถแกล้งทำเป็นเสแสร้งต่อไปได้ ทว่าตอนนี้ เมื่อได้ยินจางเซวียนพูดถึงประวัติของตัวเขาอย่างไม่ผิดเพี้ยน โม่หยางรู้กลัวจางเซวียนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
จางเซวียนสามารถเรียกชื่อจริงของเขาได้อย่างชัดเจน เขาเป็นผู้ร้ายที่ถูกประกาศจับ ชื่อของเขาอาจจะเป็นที่รู้จักกันไปทั่ว แต่เขาเองมีวิชาแปลงเสียง เสียงของเขาที่ถูกดัดแปลงแล้วจะไม่มีใครจำได้อย่างแน่นอน แม้แต่คนในแก๊งของเขาก็ไม่มีใครรู้ประวัติเขา แล้วจางเซวียนรู้เรื่องในอดีตของเขาได้อย่างไร
เรื่องส่วนตัวของเขาที่ถือได้ว่าเป็นความลับของลับที่สุด เป็นสิ่งที่เขาเก็บซ่อนไว้ในใจเพียงคนเดียว ในโลกนี้นอกจากเขาแล้วไม่มีใครรู้อย่างแน่นอน แต่จางเซวียน
กลับพูดถึงประวัติของเขาได้อย่างถูกต้อง โม่หยางได้ยินเข้าจึงแทบจะหงายหลังแล้วเป็นลมไปต่อหน้า
ความลับมีหลายแบบ ซึ่งสามารถแบ่งเป็นความลับทางร่างกาย อาวุธ และวรยุทธ… ความลับเหล่านี้อาจจะถูกเปิดเผยได้ตลอดเวลา แต่ความลับที่ลับมากที่สุดคือวิชา
วิชาแปลงเสียงแม้ว่าเป็นวิชาขั้นต่ำ แต่ก็เป็นวิชาแขนงการโจมตีรูปแบบหนึ่ง ซึ่งไม่ว่าจะเป็นนักรบขั้นไหน หากไม่ตั้งตัวดีๆ ก็จะถูกวิชานี้โจมตีเอาได้ แต่ก่อนโม่หยางเคยถูกนักรบขั้น 7 เล่นงาน แต่เพราะเขาใช้วิชานี้ ก็สามารถพูดจนนักรบขั้น 7 คนนั้นไว้ชีวิตเขา
ที่เมื่อครู่โม่หยางอ้อนวอนขอให้จางเซวียนไว้ชีวิต จริงๆ แล้วเขากำลังใช้วิชาเพื่อทำให้จางเซวียนเสียสติและงวยงง คิดไม่ถึงว่า จางเซวียนไม่เพียงแต่จะไม่เสียสติ แต่เขายังรู้ว่าโม่หยางกำลังคิดจะทำอะไรมีแผนการอะไร
ต่อหน้าของจางเซวียนโม่หยางไม่สามารถปิดบังอะไรได้เลย จะทำอะไรคิดอะไร จางเซวียนก็รู้ไปซะหมด แล้วแบบนี้จะไม่ให้โม่หยางรู้สึกกลัวจนตัวสั่นได้อย่างไร
เมื่อครู่รู้สึกกลัวๆ นิดๆ แต่ตอนนี้กลับกลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้ว
“ไม่ต้องรู้หรอกว่าฉันรู้เรื่องของแกได้อย่างไร ฉันไม่เพียงแต่จะรู้เรื่องในอดีตของแกทั้งหมด ยังรู้จุดอ่อนทุกจุดของวิชาของแกอีกด้วย ฉันจะไม่ฆ่าแกก็ได้ แต่ถ้ารู้ว่าแกยังไปหลอกใครต่อใครอีก รับรองได้ว่าฉันจะต้องตามไปฆ่าแกทิ้งแน่นอน” เพื่อไม่ให้เสียเวลา จางเซวียนก็เตะเข้าที่ร่างของโม่หยางอีกครั้ง
ไส้ติ่งของโม่หยางถูกเตะจนแตก พลังปราณจำนวนมากในตัวเขาสลายไปทันที ร่างของโม่หยางอ่อนระทวยลงอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ ต่อให้เขายังอยากจะไปหลอกคนอื่นอีกเขาก็ไม่กล้าทำแล้ว
“พลังปราณของฉัน…”
โม่หยางสัมผัสได้ว่าพลังปราณในตัวค่อยๆ สูญสลายไป ในใจรู้สึกเคียดแค้นจางเซวียนแบบสุดๆ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรสำหรับโม่หยาง จางเซวียนน่ากลัวเกินมนุษย์ เหมือนปีศาจร้ายตัวหนึ่ง
ตอนนี้ไส้ติ่งอันเป็นจุดอ่อน จุดตาย ของโม่หยางแตกแล้ว พลังปราณในร่างทั้งหมดก็ไหลออกไปจนหมดสิ้น แล้วแบบนี้ยังจะเอาอะไรไปสู้กับจางเซวียนได้อีก
“ไสหัวไป” หลังจากที่จางเซวียนได้สิ่งที่ต้องการและจัดการกับเจ้าลวงโลกเสร็จ เขาก็มุ่งหน้ากลับโรงเรียนหงเทียนทันที
โม่หยางเป็นแค่พวกสิบแปดมงกุฎกระจอกๆ คนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องลงมือฆ่ามันหรอก
เมื่อจางเซวียนกลับถึงห้องพักในโรงเรียนก็เกือบจะตีหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ไม่รู้สึกง่วงหรือเหนื่อยแม้แต่น้อย คืนนี้เกิดเรื่องขึ้นเยอะมาก ถ้าไม่ได้หอสมุดเทียบฟ้าคอยช่วย คิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะรับมือกับเรื่องทั้งหมดได้อย่างไร “ลองเรียบเรียงเนื้อหาของหนังสือวิชาระดับ 6 ที่อ่านจากบ้านของปรมาจารย์ลู่เฉินก่อนดีกว่า”
ตอนที่จางเซวียนฝึกวิชาร่างนวโลหะอยู่นั้น เขาไม่มีเวลาดูหนังสือวิชาระดับ 6 อย่างละเอียด ตอนนี้มีเวลาแล้ว ลองมาศึกษาวิชาระดับ 6 ต่อดีกว่า ในไม่ช้า เนื้อหาของหนังสือจำนวน 10 กว่าเล่มก็ถูกบันทึกเข้าไปในหัวของจางเซวียน แต่เนื้อหายิ่งมากก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกสับสน
“ทำไมเนื้อหาทั้งหมดมันถึงไม่มีความเชื่อมโยงกันเลยล่ะ… ถ้าฝึกวิชาตามเนื้อหาเหล่านี้ เราต้องถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนตายอย่างแน่นอน” จางเซวียนส่ายหัวด้วยความเซ็ง
แม้จะมีหนังสือวิชาลับอยู่สิบกว่าเล่ม แต่จุดบกพร่องของวิชาทั้งหมดมีมากเกินไป ถึงจะสามารถเอาเฉพาะจุดที่ถูกต้องของหนังสือแต่ละเล่มออกมา ก็ไม่สามารถเรียบเรียงให้เป็นเล่มเดียวกันได้ แล้วแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร
“เอาล่ะ หาวิธีที่จะไปอ่านหนังสือวิชาระดับ 6 เพิ่มอีกดีกว่า แล้วจะเอาอย่างไรต่อคอยว่ากัน” จางเซวียนรู้ว่าหนังสือที่ได้มาทั้งหมดไม่มีประโยชน์ใดๆ เขาไม่รู้สึกรีบร้อนอะไร จัดการเรียบเรียงวิชาระดับ 1-3 ในหอสมุดเทียบฟ้าของเขาจนเสร็จ หลังจากทำทุกอย่างแล้วจางเซวียนก็เข้านอนอย่างสงบ
จางเซวียนไม่รู้เลยว่าขณะที่เขาไปที่ห้างสรรพสินค้า บ้านพักในโรงเรียนหงเทียนของผู้เฒ่าซั่งเฉินก็เกิดเรื่องขึ้น
“ท่านปู่ ท่านต้องจัดการเรื่องนี้ให้ผมนะครับ” ซั่งปิงพูดไปร้องไห้ไป เขาเป็นถึงหลานชายแท้ๆ ของผู้เฒ่าประจำโรงเรียน เกิดมาบนกองเงินกองทอง มีวรยุทธเป็นเลิศและเป็นที่เคารพของคนจำนวนมาก วันนี้กลับถูกเล่นงานจนหมดรูป เขารู้สึกโกรธจัดจนเกือบจะเป็นบ้า
เดิมทีคิดจะไปหาเรื่องชาวบ้าน แต่ถูก ‘ชาวบ้าน’ เล่นงานกลับมาจนเละ ตอนเย็นจะไปกินข้าว
ที่ร้านอาหารดันเห็นสาวในดวงใจกำลังนั่งกินอาหารกับไอ้กระจอกคนหนึ่งอยู่… ต่อมาวางแผนจะจัดการกับไอ้กระจอกคนนั้นแต่ก็ไม่เป็นผล ซ้ำยังถูกเล่นงานจนหมดรูป เป็นที่น่าอับอายขายหน้าไปทั่ว
และที่เลวร้ายที่สุดคือ…
“ท่านปู่ ท่านบอกว่าราชสีห์อวตารตัวนี้เชื่องมากไม่ใช่เหรอ ผมสั่งให้มันไปจัดการกับเจ้าจางเซวียน มันไม่เพียงไม่บุกเข้าโจมตีเจ้านั้นแต่กลับมาทำร้ายผมแทน…” ซั่งปิงยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น น้ำตาไหลท่วมไปทั่วทั้งใบหน้า
ราชสีห์อวตารตัวนี้ อยู่กินที่บ้านของตนมานาน พอจะสั่งให้ไปจัดการกับศัตรู ถึงมันจะไม่ทำตามคำสั่งก็ไม่เป็นไร แต่กลับไปฟังคำสั่งของคนอื่นมาเล่นงานเจ้าของบ้านแบบนี้… ซั่งปิงยิ่งคิดยิ่งรู้สึกหดหู่
“ปกติแล้วมันเชื่องมาก…” ซั่งเฉินพูดอย่างอายๆ เขามองไปที่ราชสีห์อวตารด้วยความประหลาดใจ เขาเป็นเพียงนักฝึกสัตว์ธรรมดาคนหนึ่ง ระดับความสามารถไม่สูงหนัก แม้จะสามารถทำให้สัตว์ร้ายเชื่องได้ แต่ก็ไม่สามารถทำให้มันเชื่อฟังคำสั่งได้เต็มร้อย
ด้วยเหตุนี้ การที่ราชสีห์อวตารจะทำอะไรคิดอะไร ซั่งเฉินก็ไม่สามารถจะไปก้าวก่าย ราชสีห์อวตารจะทำอะไรก็ไม่ต้องสนใจความรู้สึกของซั่งเฉินเลยสักนิด
แต่… อย่างไรซะ ราชสีห์อวตารก็ได้รับคำสั่งให้ดูแลความปลอดภัยของหลานชายเขา แล้วทำไมถึงได้ไปฟังคำสั่งคนอื่นแล้วกลับมาเล่นงานซั่งปิงแบบนี้
ราชสีห์อวตารเห็นซั่งเฉินมองมาที่มัน มันมองเขากลับด้วยสายตาที่สุดจะหยิ่งยโส มันยืนขึ้นแล้วเงยหน้า ทำเหมือนกับไม่ใส่ใจว่าอีกฝ่ายจะคิดอะไร รู้สึกอย่างไร
ซั่งปิงเห็นราชสีห์อวตารเป็นแบบนี้ ในใจก็รู้สึกหดหู่มากยิ่งขึ้น
ตอนที่เห็นจางเซวียน มันกลับใช้ลิ้นเลียมือของจางเซวียนเหมือนเจอกับเจ้านาย เชื่องเหมือนลูกสุนัขตัวหนึ่ง แต่ตอนนี้ กลับแสดงท่าทางหยิ่งผยองจองหองเสมือนกับมันเป็นราชาเหนือทุกสิ่งใต้หล้า นี่ตกลงใครเป็นเจ้าของมันกันแน่ หรือว่ามันเป็นเจ้าของของท่านปู่… แล้วท่านปู่เป็น…
“เอาล่ะ ในส่วนของราชสีห์อวตาร ข้าจะสั่งสอนมันเอง” ซั่งเฉินเห็นท่าทางของสัตว์เลี้ยงของตนเป็นแบบนี้ เห็นได้ชัดว่ามันไม่เชื่องและไม่ฟังเขาอีกแล้ว ซั่งเฉินได้แต่พูดปัดๆ ด้วยความอับอาย
“ท่านปู่ คราวนี้ท่านต้องช่วยผมจัดการกับเจ้าจางเซวียน ทางที่ดีท่านควรจะยกเลิกสิทธิของความเป็นอาจารย์ประจำโรงเรียนแห่งนี้ แล้วไล่มันออกไป” เมื่อเห็นความสัมพันธ์ระหว่างปู่ของตนกับราชสีห์อวตาร เป็นความสัมพันธ์แบบสุดแสนจะธรรมดา ซั่งปิงรู้ทันทีว่าราชสีห์อวตารจะไม่เชื่อฟังคำสั่งตนอย่างแน่นอน เขาจึงไม่พูดถึงเรื่องราชสีห์อวตารอีก
เศษสวะที่สอบได้ศูนย์คะแนนในการสอบประเมินผลอาจารย์ แต่กลับทำให้เขาอับอายขายหน้าขนาดนี้ แถมยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาถูกเล่นงานจนบาดเจ็บ ความแค้นแบบนี้จะไม่ระบายออกมาได้อย่างไร
“วางใจได้ เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง แต่… เจ้าจางเซวียนมันทำไมถึงได้โชคดีขนาดนี้ รับนักเรียนได้ถึง 5 คน ถ้าไม่มีเหตุอันควร ต่อให้เป็นตัวข้าเอง จะไล่อาจารย์ของโรงเรียนออกก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ”
ซั่งเฉินรู้ดีว่าจางเซวียนเป็นอาจารย์ที่ได้ลงทะเบียนอย่างถูกต้องกับสมาพันธ์คณาจารย์ต้าลู่ ถึงตนจะเป็นผู้เฒ่าประจำโรงเรียน เป็นผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษา แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้ทำผิดอะไร ตนก็ไม่สามารถจะไล่อาจารย์คนนั้นออกได้
ซั่งเฉินส่ายหัวแล้วเริ่มครุ่นคิด… อาจารย์ที่สอบได้ศูนย์คะแนนคนหนึ่ง ใครจะไปคิดว่าจะสามารถรับนักเรียนได้อีก แล้วไม่ใช่ว่ารับนักเรียนได้เพียงหนึ่งคน แต่รับได้ถึงห้า แล้วนักเรียนเหล่านั้นก็เป็นนักเรียนระดับดีเด่นอีกด้วย
หากไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง อย่างไรก็ไม่มีทางเชื่อเรื่องนี้เด็ดขาด
เมื่อซั่งเฉินเห็นผลสรุปที่รายงานมาถึงสำนักงานการศึกษา เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
เจ้าจางเซวียนคนนี้ทำได้อย่างไรกัน นี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้