ตอนที่ 180 : อัจฉริยะมักคิดมาก
หลังจากได้ยินคำถามของเดอะฟูล เด็กสาวผมทองเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเข้าสู่ภาวะผู้ชมอีกครั้ง สมาธิจดจ่อรอคำตอบจากเดอะซัน
เธอนึกสงสัยมาตลอดว่า เมืองเงินพิสุทธิ์ตั้งอยู่ที่ใดและแตกต่างจากโลกปรกติของพวกตนตรงไหน แต่ออเดรย์ไม่สามารถซักถามด้วยตัวเองได้ เนื่องจากเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวเกินไป
จนกระทั่งมิสเตอร์ฟูลช่วยถามเรื่องส่วนตัวให้แทน เด็กสาวรู้สึกเหมือนกับได้อ่านสุดยอดนิยายสืบสวนจบหนึ่งเล่มและทิ้งห่างไปนาน จนกระทั่งใครบางคนซื้อเล่มสองมาให้
และคำตอบของเดอะซันไม่ทำให้เธอผิดหวัง พลเมืองเงินพิสุทธิ์ไม่ได้เคารพบูชาเจ็ดเทพหลัก ไม่ได้เคารพบูชามรณาเหมือนกับชาวทวีปใต้ รวมถึงไม่ได้เชื่อในตัวตนพิสดาร เทพนอกรีต หรือปีศาจ ดังเช่น แม่มดบรรพกาล ปราชญ์เร้นลับ ด้านมืดเอกภพ เทพผู้ถูกล่าม หรือพระผู้สร้างแท้จริง ซึ่งแฮงแมนเคยเล่าให้เธอฟังก่อนหน้านี้
…เมืองเงินพิสุทธิ์ช่างสุดยอด! พวกเขาเคารพบูชาพระผู้สร้างต้นกำเนิดเลยหรือ?
เป็นยุคสมัยเริ่มต้นตามคำบอกเล่าของมิสเตอร์แฮงแมนใช่ไหม? กระนั้น คำอธิบายเกี่ยวกับมหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลังค่อนข้างแปลกประหลาด
ออเดรย์ชำเลืองแฮงแมนตามสัญชาตญาณและพบว่าอีกฝ่ายกำลังผงกศีรษะให้
ไคลน์ไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตกใจ เพียงหัวเราะในลำคอพลางซักถามต่อ
“แม้จะถูกเขาทอดทิ้งไปแล้ว?”
…ถูกทอดทิ้ง? พระผู้สร้างต้นกำเนิดทอดทิ้งเมืองเงินพิสุทธิ์?
ทันใดนั้น ดวงตาอัลเจอร์พลันเบิกโพลง มันเริ่มปะติดปะต่อข้อมูลได้จากคำสำคัญ
…ดินแดนเทพทอดทิ้ง?
จากข้อมูลของเอกสารลับโบสถ์วายุสลาตันซึ่งอัลเจอร์·วิลสัน สมาชิกระดับเทียบเท่าบิชอปสามารถเข้าถึงได้
ดินแดนเทพทอดทิ้งเป็นเพียงนามเลื่อนลอยปราศจากคำอธิบายชัดเจน อย่างไรก็ตาม สิ่งแน่ชัดคือดินแดนดังกล่าวจะตั้งอยู่สักแห่งบนจุดสิ้นสุดทะเลโซเนียร์
จากข้อมูลปัจจุบันของมัน แม้กระทั่งพระคาร์ดินัลของโบสถ์หลักก็ยังไม่ทราบว่าดินแทนเทพทอดทิ้งมีสิ่งใดซ่อนอยู่
ไม่มีใครทราบว่าบนดินแดนเทพทอดทิ้งมีสิ่งใดซ่อนอยู่ นอกจากผู้นำสูงสุดของโบสถ์วายุสลาตัน ‘อัครทูตแห่งเทพวายุสลาตัน’ เพียงคนเดียว และบุคคลดังกล่าวคือผู้อยู่เบื้องหลังคำสั่งสำรวจหาดินแดนเทพทอดทิ้ง
อัลเจอร์เคยคาดเดาว่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้สร้างแท้จริงซึ่งชุมนุมแสงเหนือเคารพบูชา แท้จริงแล้วอาจตั้งอยู่บนดินแดนเทพทอดทิ้ง อย่างไรก็ตาม มิสเตอร์ฟูลมิได้ยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว มันจึงยังไม่ปักใจ
แต่ปัจจุบัน อัลเจอร์ได้ตระหนักแล้วว่า หนึ่งในสมาชิกของชุมนุมไพ่ทาโรต์ผู้ใช้นามแฝงว่าเดอะซัน คือผู้อาศัยอยู่ดินแดนเทพทอดทิ้งแห่งนั้น
…มันทั้งตกตะลึงและตื่นเต้น
มิสเตอร์ฟูลทราบมาตลอดว่าดินแดนเทพทอดทิ้งตั้งอยู่บริเวณใด และสามารถดึงคนเข้าร่วมชุมนุมได้ตามใจชอบ!
ดินแดนเทพทอดทิ้งคือปริศนาใหญ่ของโบสถ์วายุสลาตันมานานแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วมิสเตอร์ฟูลผู้นี้ทำได้อย่างไร?
อัลเจอร์แอบชำเลืองเดอะฟูลบนเก้าอี้ประธานชุมนุมในจุดปลายสุดของโต๊ะทองแดงโบราณทรงยาว ภาพตรงหน้าคือบุรุษผู้หนึ่งซึ่งถูกม่านหมอกหนาทึบปกคลุมร่างกาย
ออเดรย์ไม่ได้ตื่นเต้นในเรื่องเดียวกับแฮงแมน เนื่องจากเธอมีข้อมูลของดินแดนเทพทอดทิ้งไม่มาก ได้ยินมาจากปากแฮงแมนเพียงหนเดียวเท่านั้น จึงไม่สามารถเชื่อมโยงกับข้อมูลของมิสเตอร์ฟูลได้
…เมืองเงินพิสุทธิ์มีตำนานเคยถูกพระผู้สร้างต้นกำเนิดทอดทิ้งสินะ
…หืม แล้วทำไมมิสเตอร์แฮงแมนถึงได้ตกตะลึงขนาดนั้น? เขากำลังหวาดกลัวสิ่งใด?
ออเดรย์นั่งไตร่ตรองพลางบันทึกข้อมูลสำคัญลงในความทรงจำ
“ขอรับ พวกเราทุกคนเชื่อว่าจะได้รับความรักจากพระองค์คืนมาในสักวัน บางทีอาจเป็นยามแสงอาทิตย์สาดส่อง”
เดอร์ริคตอบด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ
“ครั้งหนึ่ง พวกเราเคยถูกปกครองด้วยราชวงศ์คนยักษ์ จึงต้องกราบไหว้สรรเสริญราชาคนยักษ์ เออร์เมียร์ อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่หลังจากถูกช่วยเหลือไว้โดยพระองค์ นับแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเราก็ไม่คิดทรยศพระองค์อีกเลย”
…ถูกปกครองโดยราชวงศ์คนยักษ์ นั่นมันตำนานโบราณไม่ใช่หรือ แต่ข้อมูลฟังดูขัดแย้งในตัวเอง
คล้ายกับอัลเจอร์ฉุกคิดบางสิ่งได้ มันหวนนึกถึงคำอธิบายของยุคสมัยสอง ซึ่งถูกบันทึกในบทลับของพระคัมภีร์วายุสลาตัน
ยุคสมัยสองรู้จักกันดีในชื่อยุคมืดแห่งมวลมนุษย์ ในช่วงดังกล่าว ผืนนภา มหาสมุทร และพิภพปฐพี ถูกปกครองโดยเผ่าพันธุ์มังกร คนยักษ์ เอลฟ์ สัตว์กลายพันธุ์ ปีศาจ ฟินิกซ์ หมาป่าอสูร และวิญญาณคนตาย
แต่ในภายหลัง เทพสุริยันเจิดจรัส เทพวายุสลาตัน และเทพปัญญาความรู้ ได้นำกองทัพมวลมนุษย์ทำสงครามกับเหล่าสัตว์วิเศษจนได้รับชัยชนะ ถือเป็นจุดสิ้นสุดยุคสมัยสองและเริ่มต้นยุคสมัยสาม ยุคแห่งความรุ่งโรจน์
อย่างไรก็ตาม ช่วงท้ายยุคสมัยสามกลับถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ยุคแห่งหายนะ
…ราชาคนยักษ์ เออร์เมียร์
ไคลน์ทวนชื่อ
ในบางตำนานและเทวตำนาน ตัวตนดังกล่าวถูกยกย่องไม่ต่างจากเทพ แม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังมีบางกลุ่มคนบูชาเออร์เมียร์ ขนาดไวน์องุ่นลือชื่อของสาธารณรัฐอินทิสก็ยังใช้ชื่อเออร์เมียร์ โดยกล่าวกันว่า ราชาคนยักษ์หลงใหลไวน์องุ่นมาก เนื่องจากสีของมันเหมือนเลือดสด
เมื่อพิจารณาว่า โบสถ์เทพสงครามมีเส้นทางนักรบในครอบครอง ซึ่งเส้นทางนักรบเคยเป็นของคนยักษ์มาก่อน
…หรือว่า
ราชาคนยักษ์เคยเป็นเทพสงครามมาก่อน?
ไคลน์ลองคาดเดาเงียบงัน มันพยักหน้าแผ่วเบาเป็นเชิงรับรู้ แต่ไม่ได้คิดต่อยอดให้ปวดหัว
“แล้วทุกวันนี้ พวกเจ้ายังประกอบพิธีกรรมบูชายัญให้กับมหาเทพผู้ปราดเปรื่องและทรงพลังอยู่ไหม”
“ขอรับ พวกเราหมั่นทำเป็นประจำโดยไม่ขาดตกบกพร่อง นับตั้งแต่ถูกทอดทิ้งและไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากพระองค์”
น้ำเสียงเดอร์ริคแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด
ไคลน์เอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทีผ่อนคลาย มันหลับตาลงหนึ่งข้างพลางกล่าว
“ช่วยเล่ารายละเอียดพิธีกรรมบูชายัญของพวกเจ้าให้ฟังหน่อย”
…มิสเตอร์ฟูลต้องการสืบหาเบื้องหลังการละทิ้งเมืองเงินพิสุทธิ์ หรือเขาต้องการพิสูจน์การมีชีวิตอยู่ของพระผู้สร้างแท้จริงกันแน่?
อัลเจอร์พลันตะลึง ร่างกายเริ่มสั่นเทา
ไม่เพียงหวาดกลัว ขณะเดียวกันก็กำลังตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
…ตนกำลังได้ฟังความลับระหว่างเทพ!
นับเป็นการเปิดโลกใบใหม่อย่างแท้จริง คล้ายกับตัวมันมองเห็นโอกาสพัฒนาอย่างไร้จุดสิ้นสุดในอนาคตร่วมกับชุมนุมไพ่ทาโรต์
…ตนไขว่คว้าพลังและอำนาจมาตลอดก็เพื่อความรู้สึกเช่นนี้ไม่ใช่หรือ? อัลเจอร์เอนหลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทีสบายใจ เชิดคางขึ้นเล็กน้อย จิตใจยังคงพลุ่งพล่านด้วยอาการตื่นเต้น
…มิสเตอร์แฮงแมนไม่สุขุมเหมือนทุกที
ออเดรย์จ้องมองด้วยสีหน้าฉงน
เธอสัมผัสได้เลือนรางว่าอีกฝ่ายเกิดความตกตะลึงหลังจากทราบความลับอันยิ่งใหญ่ระหว่างเดอะฟูลและเดอะซัน
…หากได้รับรางวัลนำจับคีลิงเกอร์เมื่อใด ตนจะใช้เงินก้อนดังกล่าวซื้อการค้นพบของมิสเตอร์แฮงแมนในวันนี้!
เด็กสาวเฝ้ารออย่างคาดหวัง ขณะเดียวกันก็เป็นกังวลเล็กๆ
เดอร์ริคไม่ได้ทราบเลยว่า คำตอบของตนมีน้ำหนักมหาศาลมากเพียงใดต่อมนุษย์แผ่นดินใหญ่ มันยังคงเล่าต่อราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“พวกเราสร้างแท่นบูชาขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ของพระองค์ และเมื่อจบฤดูกาลเก็บเกี่ยวหญ้าผิวทมิฬของทุกปี จะเป็นช่วงเวลาเริ่มต้นพิธีกรรมบูชายัญ พวกเราใช้สัตว์ประหลาดซึ่งจับได้จากส่วนลึกของความมืดเป็นเครื่องสังเวย หลังจากท่องพระนามอันสูงส่งของพระองค์ พวกเราจะเต้นรำถวายท่านและลงมือฆ่าเครื่องสังเวยดังกล่าว ปล่อยให้ดวงวิญญาณและโลหิตสาดกระเซ็นทั่วแท่นบูชา หากจับสัตว์ประหลาดไม่ได้ พวกเราจะใช้คนบาปชั้นต่ำในคุกประจำเมืองเงินพิสุทธิ์แทน จากนั้น พวกเราจะปรุงหญ้าผิวทมิฬให้กลายเป็นอาหารและถวายแด่พระองค์ สุดท้ายเป็นการประสานเสียง ร้องเพลงสรรเสริญพระองค์เพื่อสิ้นสุดพิธีกรรม”
ในเมื่อไคลน์วางแผนประกอบพิธีกรรมบูชายัญให้ตัวเอง มันไม่เรื่องมากเรื่องช่วงเวลา และแท่นบูชาจะเรียบง่ายขนาดไหนก็ได้
…ส่วนสำคัญจึงเป็นเลือดและดวงวิญญาณสัตว์ประหลาดซึ่งมีพลังวิญญาณไหลเวียนอยู่ สิ่งนี้คงเป็นกุญแจสำคัญสำหรับเปิดประตูอาณาจักรวิญญาณ
…ชาวเงินพิสุทธิ์ทำทั้งหมดนั่นโดยไม่หวังการสนองจากอีกฝ่ายเลยหรือ?
…ฟุ่มเฟือยชะมัด
ชายหนุ่มพยายามใช้ความรู้ด้านศาสตร์เร้นลับเพื่อวิเคราะห์แยกส่วนไม่จำเป็นออกจากพิธีกรรมของชาวเงินพิสุทธิ์
“พวกเจ้าใช้คำอธิษฐานว่าอย่างไร แล้วท่องด้วยภาษาใด?”
เดอร์ริคเตรียมคำตอบไว้แล้ว ในเมื่อมันต้องการให้เดอะฟูลช่วยขจัดคำสาปของเมือง จึงพยายามให้ความร่วมมืออย่างเต็มใจ
“พวกเราใช้ภาษาคนยักษ์ขอรับ …เป็นภาษากลางของชาวเงินพิสุทธิ์ ส่วนคำอธิษฐานคือ ผู้ศรัทธาของท่าน ขอภาวนาให้ท่านรับฟังคำขอร้อง ผู้ศรัทธาของท่าน ขอภาวนาให้ท่านรับเครื่องเซ่นสังเวย ผู้ศรัทธาของท่าน ขอภาวนาให้ท่านเปิดประตูอาณาจักรของท่าน”
…
ไคลน์นั่งฟังอย่างเงียบงันโดยปล่อยให้สายหมอกสีเทาไหลเวียนรอบตัวอย่างเชื่องช้า ขณะเดียวกันก็ผงกศีรษะเป็นระยะโดยไม่กล่าวสิ่งใด
…เกี่ยวกับความรู้ในคราวนี้ ท่านเดอะฟูลคงไม่คิดแบ่งปันใครแน่
อัลเจอร์ไม่ได้มองเป็นเรื่องแปลก เหล่าเทพไม่มีทางเผยความลับให้มนุษย์โดยง่ายอยู่แล้ว
ด้านเดอร์ริคก็เต็มใจเล่าให้ฟังโดยไม่หวังสิ่งแลกเปลี่ยน เนื่องจากเด็กหนุ่มปรารถนาความช่วยเหลือจากมิสเตอร์ฟูลระยะยาว ในการพัฒนาตัวมันให้แข็งแกร่งขึ้นโดยเร็ว เพื่อขจัดคำสาปของเมืองเงินพิสุทธิ์
หลังจากบทสนทนาจิปาถะจบลง ไคลน์ประกาศสิ้นสุดชุมนุมพลางจ้องมองร่างแฮงแมน จัสติสและเดอะซันเลือนหายไปต่อหน้า
มันกวาดสายตามองรอบตัวและพบทะเลหมอกสีเทาไร้ขอบเขต ประปรายด้วยดาวแดงเข้มระยิบระยับราวกับพวกมันสถิตภายในนี้ตลอดกาล
อย่างไรก็ตาม หลังจากกลายเป็นผู้วิเศษลำดับ 8 ตัวตลก มันตระหนักว่าตนสามารถอัญเชิญสมาชิกร่วมชุมนุมเพิ่มได้
…อย่างน้อยก็สองคน
ไคลน์ผงกศีรษะ
มันไม่รีบร้อนรับสมาชิกใหม่เพิ่ม จะทำเหมือนเดิมคือตรวจสอบอย่างละเอียดก่อนดึงเข้ามายังมิติสายหมอก หากจัสติสหรือแฮงแมนแนะนำใคร มันต้องเฝ้าสังเกตจนมั่นใจค่อยดำเนินการ
…เหมือนกับเดอะซัน
พูดถึงเดอะซัน ไคลน์จำได้ว่าในช่วงแรก เด็กหนุ่มคนนั้นภาวนาผ่านบอลคริสตัลสีใส แต่หลังจากดึงเข้าร่วมมิติสายหมอก บอลลูกดังกล่าวกลับหายไป
หรือว่า เงื่อนไขการดึงเข้ามิติสายหมอกคือ อีกฝ่ายต้องมีสมบัติวิเศษอยู่ใกล้ตัวในขณะนั้น
หรือดาวแดงแต่ละดวงบนมิติสายหมอกหมายถึงสมบัติวิเศษแต่ละชิ้นบนโลกมนุษย์? และเมื่อการเชื่อมต่อสมบูรณ์ พวกมันจะถูกส่งกลับคืนมิติสายหมอก?
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง จัสติสกับแฮงแมนเองก็มีสมบัติวิเศษรอบตัวขณะถูกอัญเชิญหรือ?
ลองสมมติว่าใช่ แปลว่าบุคคลธรรมดาปราศจากสมบัติวิเศษ ต้องท่องคาถา
– เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ –
และรอให้ตนตอบรับ จึงจะถูกอัญเชิญขึ้นมาบนมิติสายหมอกได้
…ไว้ค่อยหาโอกาสทดสอบในอนาคต
ชายหนุ่มไม่รีรอ มันส่งจิตตัวเองดำดิ่งกลับสู่โลกปรกติ ทิ้งให้พระราชวังโบราณ โต๊ะทองแดง และเก้าอี้ยี่สิบสองตัว เด่นตระหง่านท่ามกลางสายหมอกสีเทาอย่างเงียบงันต่อไป
ปัจจุบัน มันระงับการไหลซึมของพลังวิญญาณจากโอสถตัวตลกได้หมดจดแล้ว หมายความว่า ผลกระทบด้านลบจะไม่แสดงผลเพิ่มไปกว่านี้ ถึงเวลาทดสอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเองอย่างเป็นทางการ
…ผลลัพธ์ในคราวนี้จะออกมาเป็นแบบใด
ชายหนุ่มเกิดความคาดหวังและกังวล ขณะเดียวกัน โสตประสาทได้ยินเสียงกระซิบแหบพร่าจากการดำดิ่งกลับมายังโลก
……………………