Skip to content
Home » Blog » Lord of the Mysteries 234

Lord of the Mysteries 234

ตอนที่ 234 : คืนจันทร์เต็มดวง

นิมิตฝันผลการทำนายปรากฏในลักษณะคล้ายคลึงของเดิม แต่คราวนี้ไคลน์มองเห็นรายละเอียดมากกว่า

ฉากแรกยังเป็นห้องคับแคบและมืดสนิทโดยมีเอียน·ไรท์นอนหลับฝันหวานบนเตียงสองชั้น

ฉากสองเป็นท่อระบายน้ำในจุดพบศพเซอเรียล เอียนนั่งยองตรงหน้าศพไม่สมประกอบพร้อมกับเหยียดแขนออกไปลูบไล้ฟันของอดีตนักสืบ ก่อนจะกระตุกดึงฟันซี่หนึ่งออกมา

ฉากสามเป็นถนนเสียงดังโหวกเหวก และผู้คนเดินขวักไขว่หนาแน่น ส่วนมากสวมชุดเรียบง่ายไม่หรูหรา แต่ก็มีหลายคนสวมชุดค่อนไปทางเก่าโทรม

กึ่งกลางถนนเป็นลานหญ้าขนาดไม่ใหญ่นัก ใจกลางลานเป็นปล่องควันเตี้ยคอยพ่นหมอกสีดำตลอดเวลา

เอียนในชุดโค้ทยาวไม่สมส่วนและหมวกทรงกลมทำการกวาดสายตามองรอบตัวอย่างหวาดระแวง ก่อนจะเดินเข้าไปในสำนักงานโทรเลขใจกลางถนน ห่างไม่ไกลเป็นทางเข้าหรูหราของสถานีรถไฟใต้ดิน

ความฝันจบลงตรงนี้

ไคลน์ลืมตาขึ้น ปลายนิ้วชี้เคาะโต๊ะสำริดยาวขณะใช้ความคิด สมองกำลังกลั่นกรองสมมติฐานเบื้องต้นให้ตัวเอง

‘ประเมินจากการซ่อนข้อมูลในฟันและการส่งโทรเลข เซอเรียลกับเอียนคงไม่ใช่คู่หูนักสืบ และเด็กหาข่าวธรรมดาแน่ และการตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากคราวนี้ก็คงไม่ใช่เพราะความโชคร้าย ต้องมีองค์กรคอยลับสนับสนุนเบื้องหลังแน่นอน ฉากสามสามารถยืนยันเรื่องนี้ได้’

ไคลน์ไม่รีบร้อนด่วนสรุปเป็นเรื่องเป็นราวยาวเหยียด ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการอยู่ในห้วงมิติเหนือหมอกเทานานนัก

ชายหนุ่มลุกจากเก้าอี้เดอะฟูลและเดินลึกเข้าไปในสายหมอกสีเทา ตามด้วยการรื้อค้นถุงกระดาษสีน้ำตาล ถุงบรรจุสิ่งของหลังจากฆ่าเมอซอล ทุกซอกมุมจนกระทั่งพบตะกอนพลังเมอซอลด้านใน

ไคลน์ถือวัตถุคล้ายเยลลี่สีแดงและเดินกลับมานั่งบนเก้าอี้ ตามด้วยการเขียนประโยคทำนายลงบนกระดาษหนัง

“เส้นทางโอสถเกี่ยวข้อง”

ระหว่างปากกำลังขยับพึมพำประโยคทำนายด้วยเสียงแผ่ว ไคลน์ใช้มือข้างหนึ่งถือเยลลี่สีแดง ส่วนอีกข้างถือกระดาษหนัง จากนั้นก็หลับไปด้วยภาวะเข้าฌาน

ท่ามกลางความฝันอันล่องลอยโดยมีฉากหลังเป็นสีเทาควันบุหรี่ ราชทูตตัวปัญหาแต่งกายสมบูรณ์แบบไร้จุดตำหนิ ใบหน้าของมันผอมเพรียวเฉกเช่นทุกครั้ง เพียงแต่สีหน้าในปัจจุบันกำลังปลื้มปริ่มผิดวิสัย

ขณะใช้มือข้างหนึ่งถือขวดของเหลวสีแดงเข้ม ราชทูตกล่าวกับเมอซอล

“ดื่มเข้าไปซะ นี่คือโอสถนักล่า แล้วแกจะได้เป็นใหญ่ในกลุ่มซีมังเกอ แต่แน่นอน แกต้องตอบแทนฉันกลับมาด้วยเงินก้อนโต ดังคำจักรพรรดิโรซายล์เคยกล่าวไว้ว่า มือข้างหนึ่งถือไม้เรียว ส่วนอีกข้างถือแครอท*”

(*เป็นสุภาษิต หมายถึงวิธีบงการคนด้วย ‘รางวัล’ และ ‘การทำโทษ’ ควบคู่กัน)

“นักล่า? แต่เบ็คลันด์ไม่มีป่า เป็นเมืองใหญ่เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้าง…”

เมอซอลขมวดคิ้วฉงน

สำหรับคนอ่านเขียนไม่ได้อย่างมัน บริบทนักล่าจะหมายถึงนายพรานและสัตว์ป่า

ราชทูตวัยกลางคนแสยะยิ้มคิกคัก

“เมืองใหญ่ก็เปรียบดังผืนป่าอันมืดมิด มนุษย์ทุกคนในป่าแห่งนี้ถูกจำแนกไว้แค่สองประเภท หากไม่ใช่ผู้ล่าก็ต้องเป็นผู้ถูกล่า ถึงจะเป็นนักล่าอ่อนแอระดับล่างสุด แต่อย่างน้อยก็ยังอยู่ฝ่ายผู้ล่า มีโอกาสทำร้ายเหยื่อตัวใหญ่ได้เช่นกัน ขอให้แกสนุกกับการล่าในอนาคต”

………

ฉากความฝันแตกกระจัดกระจายกลายเป็นประกายแสงหลายจุด ไคลน์ก้มหน้ามองตะกอนพลังในมือพลางพึมพำ

‘เป็นเส้นทางนักล่าเองหรือ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเมอซอลถึงต่อสู้ได้เก่งกาจนัก แถมยังมีการใช้เทคนิคเป่าลูกดอกอาบยาพิษ มันลอบเข้ามาในบ้านและดักซุ่มโดยเราไม่เอะใจแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนยังเข้าไม่ถึงแก่นแท้ของนักล่าสักเท่าไร มันไม่ได้วางกับดักหรือใช้อาวุธให้เหมาะสมกับเวทีต่อสู้ และมันก็ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเราเป็นผู้วิเศษเหมือนกัน แถมยังลำดับ 8 การลงมือจึงเป็นไปอย่างประมาทและไม่เตรียมพร้อม บางทีอาจเป็นเพราะมันเพิ่งดื่มโอสถเข้าไป’

โอสถนักล่าอยู่ในการครอบครองของอดีตราชวงศ์อินทิสเก่า ‘ตระกูลเซารอน’ และราชวงศ์ปัจจุบันของจักรวรรดิฟุซัค ตระกูลไอน์ฮอร์น รวมถึงองค์กรลับหน้าใหม่อย่างชุมนุมกางเขนเหล็กโลหิต เพิ่งก่อตั้งเมื่อราวสองร้อยปีก่อน

‘เมื่อประเมินจากการแต่งกายของราชทูต เราสามารถยืนยันตัวจริงของมันได้ไม่ยาก เอกอัครราชทูตชั้นหนึ่งของสาธารณรัฐอินทิสประจำอาณาจักรโลเอ็น แล้วมันต้องการสมบัติอะไรจากเอียน? ’

เมื่อตระหนักว่าสมองเริ่มอ่อนเพลีย ไคลน์รีบห่อหุ้มกายจิตตนเองด้วยพลังวิญญาณ เพื่อเข้าสู่ภาวะดำดิ่งกลับไปยังโลกจริง

หลังจากวิวทิวทัศน์รอบตัวกลับเป็นห้องนอนอีกครั้ง ไคลน์พยายามตรวจตราหาความปกติ แต่ก็ไม่พบการเปลี่ยนแปลงใด

ฟู่ว!

ชายหนุ่มถอนหายใจผ่อนคลาย มันค่อนข้างมั่นใจว่าพรุ่งนี้ตนจะโน้มน้าวให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์ดำเนินการช่วยเหลือได้

ถัดมา ชายหนุ่มรีบกางแผนผังกรุงเบ็คลันด์ (ซื้อจากสถานีรถจักรไอน้ำเมื่อหลายวันก่อน) และพยายามมองหาสำนักงานโทรเลขใจกลางถนน โดยต้องใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดินด้วย

สถานีรถไฟใต้ดินของเบ็คลันด์ยังมีจำนวนไม่มาก ส่งผลให้ไคลน์กำจัดวงให้แคบลงเหลือเพียงสามจุดคือ :

หนึ่ง สถานีเขตตะวันตก

สอง สถานีเขตนักบุญจอร์จ

สาม สถานีชุมทางเชื่อมเขตตะวันออกและเขตสะพานเบ็คลันด์

เมื่อรวมเข้ากับข้อมูลในฝัน การแต่งกายของชาวเมืองและสถานภาพทางสังคมของผู้คนในละแวกนั้น สมมติฐานน่าเชื่อถือจึงเหลือเพียงข้อเดียวคือ : จุดสาม!

สำนักงานโทรเลขใกล้กับสถานีชุมทางเขตตะวันออกและเขตสะพาน!

‘ในบางครั้งการตีความผลลัพธ์คำทำนายก็ต้องใช้ความรู้ในชีวิตจริงรวมถึงทักษะด้านอนุมานค่อนข้างมาก’

ไคลน์ยิ้มแห้งก่อนจะเดินกลับไปบนโต๊ะอ่านหนังสือและเขียนข้อความเพิ่มเติมลงบนกระดาษแผ่นเก่า กระดาษชี้แจง

“ผมไม่ทราบพิกัดของเอียน·ไรท์ ผมไม่ได้พบเขาอีกเลยนับตั้งแต่เจอศพเซอเรียล แต่จากช่องทางข่าวสารส่วนตัว ผมพอจะทราบว่าเอียน·ไรท์ปรากฏตัวใกล้กับสำนักงานโทรเลขบนถนนรัมขาว”

หลังจากเขียนเสร็จ ไคลน์มิได้พับกระดาษเก็บเข้ากระเป๋าหรือเผาทิ้งด้วยพลังวิญญาณ แต่เลือกวางไว้บนโต๊ะอ่านหนังสืออย่างเรียบร้อยโดยใช้ปากกาทับไว้ ไม่มีการเก็บซ่อนข้อความแต่อย่างใด

ชายหนุ่มยืนจ้องมองกระดาษด้วยสีหน้าดำมืดสักพัก ก่อนจะเดินกลับไปทางเตียนนอนและทิ้งตัวหลับสนิท

ด้านนอกผ้าม่านหน้าต่างสีดำมิดชิดปกปิดกระจกห้องนอน จันทร์แดงเริ่มส่องแสงลอดผ่านกลุ่มเมฆดำบนฟากฟ้าสำเร็จ เปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าทุกครั้ง

……….

ณ หอพักหลังหนึ่งในเขตฮิลส์ตัน

ฟอร์สผู้แยกนอนกับซิล ลุกขึ้นนั่งบนเตียงพลางใช้สองมือกุมศีรษะ ใบหน้าค่อนไปทางสวยกำลังบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวดประหนึ่งถูกอสุรกายสิงร่าง

ผ่านไปหนึ่งอึดใจฟอร์สเลื่อนมือลงมาปิดใบหูพร้อมกับนอนบิดตัวไปมาบนเตียงอย่างทุกข์ทรมาน ราวกับพยายามอดทนต่อเสียงเพรียกแสนโหยหวนจากใครสักคน

เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดบนหน้าผาก เส้นเลือดหลังฝ่ามือปูดนูนจนน่าหวาดเสียว ร่างกายบิดเกร็งสลับชักกระตุกรุนแรงต่อเนื่อง ดวงตาสีฟ้าครามเคยเฉื่อยชาและขี้เล่นในยามปกติ ปัจจุบันกำลังอัดแน่นด้วยความเจ็บปวดเหนือพรรณนา ยากแก่การอธิบายเป็นคำพูด

ในส่วนลึกสุดของตาดำคล้ายกับมีแสงเงาปริศนาซ้อนทับกันหลายชั้น

“ไม่!”

ฟอร์สอดกลั้นไม่ไหวเสียงเจือความทุกข์ทรมานถูกเปล่งจากปากในลักษณะแผ่วเบา ฝ่ามือเลื่อนจากใบหูไปดึงเส้นผมด้วยท่าทางสั่นเทาคลับคล้ายว่าพยายามต่อสู้กับความเจ็บปวดด้วยความเจ็บปวดมากกว่า

หลังจากช่วงเวลานรกแห่งการบิดตัวผ่านไปราวสองนาทีร่างฟอร์สกลับมานอนแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวอีกครั้ง

จนกระทั่งเธอเลื่อนมือมาวางตรงหน้าตัวเองและได้เห็นกระจุกเส้นผมสีน้ำตาลหยักศกสองกำ รอยยิ้มแสนรันทดหดหู่เริ่มปรากฏบนใบหน้าหญิงงาม

“เราโกหกซิลบอกกับเธอว่าเสียงเพรียกในคืนจันทร์เต็มดวงไม่ส่งผลกระทบกับร่างกาย…แต่หารู้ไม่ การสูญเสียเส้นผมถือเป็นฝันร้ายอันดับหนึ่งของหญิงสาวทุกคน”

ฟอร์สพยุงร่างนั่งบนเตียงด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิด สายตาชำเลืองมองผ้าม่าน มันถูกขึงปิดบานหน้าต่างในห้องนอนไว้เพียงครึ่งเดียว

ฟอร์สมองผ่านกระจกใสออกไปสบตากับดวงจันทร์แดงเลือดนก

“อาการเลวร้ายขึ้นทุกครั้ง…คราวหน้าคงถึงจุดคลุ้มคลั่งของเราแล้ว”

ฟอร์สไม่แสร้งปั้นหน้าเข้มแข็ง จิตใจของเธอกำลังอ่อนแอและต้องการใครสักคนดูแล

ในพักหลังฟอร์สพยายามไม่สวมกำไลท่องเที่ยวโลกวิญญาณ แต่ผลลัพธ์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง เธอยังคงได้ยินเสียกเพรียกอันทุกข์ทรมานในคืนจันทร์เต็มดวงเช่นเคย

ฟอร์สพยายามกินยาระงับประสาท พยายามเอ่ยพระนามอันสูงส่งของเทพจักรกลไอน้ำ หรือแม้กระทั่งพิธีกรรมชนิดต่างๆ แต่ก็ไม่มีวิธีใดช่วยให้เธอหลุดพ้นจากหุบเหวแห่งนรกได้เลย ราวกับจิตใจกำลังคืบคลานลึกลงไปในความมืดมิดมากขึ้นทุกขณะ

“ถ้าเราจับใจความเสียงกระซิบได้ก็คงดี เพราะอย่างน้อยก็ได้ตายแบบไม่มีสิ่งใดให้ค้างคาใจ หรือเราจะได้ยินเสียงชัดขึ้นหากกลายเป็นลำดับ 8? แต่ก็ยังไม่เคยเห็นใครขายโอสถนักตุกติกเลยสักครั้ง”

ขณะฟอร์สพึมพำด้วยน้ำเสียงอ่อนเพลียกระจกตาของหญิงสาวสะท้อนแสงสีแดงฉานของดวงจันทร์จนเกิดเป็นภาพอันงดงาม

………

วันจันทร์ช่วงเช้า ไคลน์ตื่นขึ้นและลุกจากเตียงหลังจากเพิ่งหลับสนิทได้ไม่กี่ชั่วโมง

มันเดินผ่านโต๊ะอ่านหนังสือเพื่อเตรียมเปิดหน้าต่างให้แสงสว่างและสายลมผัดผ่านเข้ามาในห้อง มอบความสดชื่นยามเช้า

แต่ทันใดนั้น มุมสายตาเหลือบเห็นแผ่นกระดาษพร้อมข้อความบนโต๊ะอ่านหนังสือ

แผ่นกระดาษหันหัวไปทางหน้าต่าง

อย่างไรก็ตามไคลน์จำได้แม่นยำว่าเมื่อคืนก่อนนอน ตนวางกระดาษหันหัวมาทางเก้าอี้และเตียง!

ทำไมถึงกลับหัวกลับหางหลังจากผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น?

ตาดำไคลน์พลันหดเกร็งมันรีบกระชากผ้าม่านเปิดพร้อมกับมองสำรวจจนทั่วทุกซอกมุม บานมุขหน้าต่างยังคงลงกลอนปิดสนิทดังเดิม ชนิดแม้แต่เศษเสี้ยวสายลมก็ผ่านเข้ามาไม่ได้

ในเมื่อไม่มีลม แล้วกระดาษจะเปลี่ยนทิศทาง 180 องศาได้อย่างไร?

‘ไม่ผิดแน่ มีใครบางคนลอบเข้าบ้านอย่างเงียบเชียบจนเราไม่รู้ตัว!’

ไคลน์ขนลุกไปถึงไขกระดูกมันไม่อยากเชื่อว่าจะมีใครสามารถลอบเข้ามาในบ้านตัวตลกลำดับ 8 ได้อย่างแนบเนียนขนาดนี้

ขณะเดียวกันก็ยังหมายความว่าอีกฝ่ายยังมีเมตตาปรานีไม่เอาชีวิตตนทันที

‘ความเป็นความตายของเราขึ้นอยู่กับอารมณ์ผู้บุกรุกบัดซบนั่น! เป็นฝีมือของคนจากกองทัพ หรือฝีมือของผู้วิเศษจากราชทูตแห่งอินทิสกันแน่? แต่ถ้าประเมินจากการไม่เลื่อนแผ่นกระดาษกลับคืนตำแหน่งเดิม โอกาสเป็นฝ่ายหลังมีมากกว่า และมันมีเจตนาเตือนให้เราระวังตัวเอาไว้ บ้าจริง ลอบเข้าบ้านคนอื่นอย่างไร้ร่องรอยขนาดนี้เชียว…ทำไมนิมิตลางบอกเหตุของตัวตลกถึงไม่ทำงาน แล้วมันไว้ชีวิตเราทำไม? หรือเป็นพวกมีเมตตา? ไม่ใช่แน่ คงมีสักเหตุผลให้มันไม่กระทำในสิ่งง่ายดายอย่างการปิดปากเราและใช้พลังสื่อวิญญาณซักถามคนตาย หรือไม่ต้องการให้เกิดเรื่องบานปลายจนคนของกองทัพสัมผัสถึงความผิดปกติ? ’

ไคลน์พยายามเค้นสมองคิดหาความเป็นไปได้มากมาย

แน่นอนเหตุผลของการเขียนแผ่นกระดาษ ‘คำชี้แจง’ ทิ้งไว้บนโต๊ะก็เพื่อให้อีกฝ่ายทราบความเป็นไปของตน ไคลน์หวังให้ราชทูตเลื่อนการแก้แค้นออกไปก่อน สักสองสามวันก็ยังดี อย่างน้อยก็มีเวลาเตรียมตัวรับมือได้มากขึ้น

แต่ไคลน์คิดว่าอีกฝ่ายจะลอบเข้าบ้านหลังจากตนออกไปข้างนอก ช่วงเวลาดังกล่าวจะปลอดภัยจากสายตาหน่วยพิเศษของกองทัพ

ใครจะไปคิดว่าคนของราชทูตจะบ้าบิ่นถึงขนาดกล้าลงมือขณะเจ้าของยังนอนอยู่ในบ้าน และขณะที่หน่วยพิเศษกองทัพยังคงจับตามองอย่างแน่นหนา

การได้รู้สึกว่าชีวิตของตนกำลังตกอยู่ในเงื้อมมือใครสักคนไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยสักนิด!

‘อีกฝ่ายต้องแข็งแกร่งมาก หรือไม่ก็มีทักษะด้านนี้โดยเฉพาะ’

ไคลน์รีบหันหลังให้มุขหน้าต่างพร้อมกับควักเหรียญเพนนีออกมาโยน

“ใครบางคนลอบเข้ามาในห้องเราเมื่อคืน”

…….

มันพึมพำคาถาเสียงเบามาก ขณะเดียวกันก็ใช้ร่างกายบังเหรียญมิให้บุคคลด้านนอกหน้าต่างมองเห็น

เหรียญทองแดงหมุนรอบตัวกลางอากาศเล็กน้อยไม่เกินระดับหัวไหล่ จากนั้นก็ร่วงลงบนฝ่ามือชายหนุ่ม

ออก ‘ก้อย’

หมายถึงผลลัพธ์ปฏิเสธ ไม่มีใครลอบเข้าห้องนอนไคลน์เมื่อคืน!

‘แต่กระดาษไม่กลับหัวกลับหางเองแน่หรือเราละเมอเดินไปขยับ? เป็นไปไม่ได้ เรายังมีสติชัดเจนขณะหัวหน้าพยายามแทรกแซงความฝัน’

ไคลน์ขมวดคิ้วพลางใช้ความคิด

ผ่านไปหนึ่งอึดใจมันผุดสมมติฐานสองข้อ

หนึ่งคือ คำทำนายถูกรบกวนโดยพลังภายนอกส่งผลให้ได้รับคำตอบเท็จ

และสองคือผู้บุกรุกเมื่อคืนไม่ใช่มนุษย์!

…………..

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!