ตอนที่ 268 : สุสานและโรงพยาบาล
“พวกตาแก่มักแกล้งเล่าเรื่องพิสดารในห้องดับจิตให้ฟังเสมอ เจตนาก็เพื่อให้เราเกิดความหวาดกลัว ดังนั้น เสียงประหลาดเมื่อครู่ต้องเป็นฝีมือกลั่นแกล้งของพวกมันแน่! ใช่แล้ว เราไม่ควรเสียขวัญกับเรื่องแค่นี้ ในห้องดับจิตไม่มีอะไรเลยนอกจากศพ! เฮ่อะ! โลกนี้ไม่มีซอมบี้หรือวิญญาณอาฆาตอยู่จริงสักหน่อย!” หลังจากรถไฟใต้ดินแล่นมาถึงสถานีท่าเรือตอนใต้ของแม่น้ำทัสซอค ไคลน์เช่ารถม้าส่วนตัวเพื่อมุ่งหน้าไปยังสุสาน ‘ออสตัน’ หนึ่งในความดูแลของโบสถ์จักรกลไอน้ำ
ภายใต้ความมืดมิดของท้องฟ้ายามพลบค่ำ ราวกับต้นไม้รอบตัวกำลังแยกเขี้ยวฝนเล็บ ลำต้นสูงตระหง่านแผ่กิ่งก้านบดบังแสงแดดสุดท้ายของวัน ประหนึ่งสัตว์ประหลาดจากเงามืด คอยจ้องทำร้ายผู้คนผ่านไปมา
หลังจากคนขับรถม้ารับเงิน สี่ซูลจากมือไคลน์ มันชำเลืองไปทางสุสานเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาพึมพำ
“ผมต้องรอไหม?”
“ไม่ต้อง ผมแค่มาหาเพื่อน” ไคลน์อธิบายเหตุผลส่งเดช ทันใดนั้น สีหน้าของคนขับรถม้าพลันขาวซีด
ตรงนี้คือสุสาน…มาหาเพื่อน…มืดสนิท…ราวกับคนขับรถม้ากำลังได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นโครมคราม
ไคลน์เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้อง มันกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้ม
“เพื่อนผมเป็นสัปเหร่อ”
คนขับรถม้าถอนหายใจยาว แต่ไม่คิดอยู่ต่อนานกว่านี้ มันรีบฟาดแส้ใส่ม้า เผ่นหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
ไคลน์เดินวนเวียนภายในสุสาน รอจนกว่าท้องฟ้าด้านบนจะมืดสนิท
เมื่อค่ำมืด ปริมาณควันและฝุ่นในบรรยากาศเริ่มลดลง มาพร้อมสายลมเย็นยะเยือกจนกัดผิวหนัง หมอกควันเจือจางกว่าตอนกลางวันพอสมควร แต่กระนั้นก็ยังไม่ช่วยให้เห็นดาวบนท้องฟ้าได้แจ่มชัด เนื่องจากจันทร์แดงกำลังเล่นซ่อนแอบ ไม่ยอมปรากฏกายแบบเต็มดวงเสียที เพียงสาดแสงนวลคล้ายกับส่องลอดผ่านผ้าม่าน
ไคลน์วาดมือสี่จุดบนหน้าอก สัญลักษณ์ตัวแทนของจันทร์แดง ตามด้วยการสวมถุงมือทะมัดทะแมงและปีนป่ายไปบนรั้วเหล็ก ลอบเข้าไปในสุสานอย่างไร้สุ้มเสียง
มันเหลียวซ้ายแลขวาด้วยท่าทางระมัดระวัง หามุมอับซ่อนตัว และหยิบนกหวีดทองแดงออกมากำถือ
ไม่ห่างออกไป ไคลน์มองเห็นป้ายหินหลุมศพแผ่นหนึ่ง ภาพคนตายค่อนข้างสกปรก ถ้อยคำจารึกมัวหมองไม่คมชัด อ่านยากมากภายใต้แสงสว่างเลือนรางเช่นนี้ มันต้องเพ่งสายตาหลายวินาที จึงจะจับใจความได้ว่า
“สหายผ่านทาง ถ้าไม่รบกวนจนเกินไป ขอยืมแรงช่วยทำความหน่อยสิ! ใจมาก!”
ช่างเป็นสุภาพบุรุษอารมณ์ขัน…ตกลง! ฉันเลือกนาย! ไคลน์ชะงักฝีเท้า เอนหลังพิงต้นไม้ใหญ่ จากนั้นก็ยืนรออย่างอดทนท่ามกลางค่ำคืนอากาศเย็นเฉียบ
มันโยนนกหวีดทองแดงขึ้นไปในอากาศ จากนั้นก็ใช้มือคว้าไว้ก่อนจะหล่น โยนอีกครั้ง และรับอีกครั้ง ทำเช่นนี้ซ้ำไปมา จนกระทั่งเวลาผ่านไปยี่สิบนาทีอย่างสูญเปล่า
ไม่มีสัญญาณการคืนชีพ…ไคลน์ล้วงมืออีกข้างออกจากกระเป๋าเสื้อ กวาดสายตามองรอบตัว ยืนยันผลลัพธ์ว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“ไว้ค่อยกลับมาตรวจสอบใหม่ในอีกสองวันให้หลัง หากยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง หมายความว่านกหวีดทองแดงของอะซิกไม่ส่งผลต่อศพผ่านพิธีกรรมของนักบวช” ไคลน์พูดกับตัวเอง ก่อนจะเก็บนกหวีดสีทองแดงกลับเข้ากระเป๋า
ภายในอาณาจักรโลเอ็น วิธีจัดการศพแบ่งออกเป็นสามแบบ ประเภทแรก ฝังพร้อมกับโลงศพ เหมาะสำหรับชนชั้นสูงและกลาง ผู้มีอันจะกิน ประเภทสอง ฝังแบบไม่มีศพ ใช้วิธีการเผา และบรรจุเถ้ากระดูกในกล่อง เป็นตัวเลือกสำหรับชนชั้นกลางค่อนไปทางล่าง รวมถึงคนงานมีฝีมือ กลุ่มนี้มีเงินพอประมาณ แต่คิดว่าโลงศพเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีก็เกิดจากปัจจัยด้านศาสนาและรัฐบาล ตัวอย่างเช่น สาวกของโบสถ์สุริยันเจิดจรัส แทบทุกคนเลือกฝังแบบเผาศพก่อน หรือตัวอย่างเช่น คนจนประเภทต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากรัฐบาล ไม่มีเงินจัดการศพเอง กลุ่มนี้จะถูกเผาและคิดค่าบริการในราคาต่ำ
ทางเลือกสาม นิยมในหมู่คนจน ไม่มีเงินสำหรับซื้อโลงศพ แต่ก็ไม่ต้องการเผาเช่นกัน จึงฝังไว้ในดินด้วยผ้าห่อศพ
เมื่อประเมินจากลักษณะของสุสานและโครงสร้างหลุมศพ ไคลน์มั่นใจว่าเป้าหมายการทดลองของตนเป็นแบบฝังพร้อมโลง
หากนกหวีดอะซิกสามารถปลุกคนตายได้จริง ต่อให้ศพเหลือเพียงกระดูกสีขาว ก็ไม่ควรไร้การตอบสนองโดยสิ้นเชิงเช่นนี้ หรือต่อให้ฝาโลงปิดสนิทและถูกดินทับ อย่างน้อยก็ควรได้ยินเสียงโครมครามดังสอดแทรก
ชายหนุ่มเริ่มขยับตัวเดิน เป้าหมายคือรั้วเหล็กรายล้อมสุสาน แต่ทันใดนั้น ไคลน์พลันฉุกคิดถึงข้อบกพร่องในการทดลองของตน
“หืม…เราควรแบ่งหมวดหมู่ในการทดลองอย่างละเอียด ศพเหล่านี้อาจถูกฝังมานานเกินไปจนตายสนิท ต้องลองกับศพเพิ่งถูกฝังบ้าง”
“ห้ามละเลยรายละเอียดเล็กน้อยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้รับคำตอบอย่างเหมาะสม”
ในช่วงถัดมา ไคลน์เล่นซ่อนแอบกับคนเฝ้าสุสานอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งได้พบหลุมศพใหม่แกะกล่อง เพิ่งถูกฝังเมื่อเที่ยงวัน
คราวนี้ มันถือนกหวีดรอนานถึงครึ่งชั่วโมง แต่ก็ไม่ปรากฏเหตุการณ์ผิดปรกติเช่นเดิม
“ฟู่ว! สามารถสรุปได้ว่า นกหวีดทองแดงของอะซิก ไม่ทำให้ศพผ่านพิธีกรรมนักบวชคืนชีพกลับมาได้ น่าผิดหวังจังแฮะ ไม่สิ แบบนี้ก็ดีแล้ว จุดประสงค์ของนกหวีดไม่ใช่การปลุกศพ แต่เป็นการอัญเชิญผู้ส่งสารต่างหาก! การปลุกศพคือเป็นผลเสีย!” ไคลน์กระชับเสื้อโค้ทกระดุมสองแถว คราวนี้มันมุ่งหน้าไปยังรั้วเหล็กล้อมสุสานโดยไม่ลังเล
แผนลำดับถัดไปคือ เดินทางกลับบ้าน 15 ถนนมินส์เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นค่อยทดลองในกลุ่มเป้าหมายถัดไป
คราวนี้กลุ่มทดลองจะเป็นซากศพยังไม่ผ่านพิธีกรรมทางศาสนา
เป้าหมายจึงต้องเป็นห้องดับจิตของโรงพยาบาลเท่านั้น!
หลังจากกระโดดข้ามรั้ว ไคลน์เดินเท้ากลับเข้าไปในเขตใต้ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด บรรยากาศรอบตัวเงียบสงัด มองเห็นเพียงแนวต้นไม้สีเขียวกำลังโยกเอนอย่างแผ่วเบา
ฉากตรงหน้าทำให้มันนึกถึงค่ำคืนตื่นจากความตายในทิงเก็น กิจกรรมเหมือนกันคือการหนีออกจากสุสานและเดินกลับเข้าตัวเมือง
เฮ่อ…! ไคลน์ถอนหายใจยาว จากนั้นก็เริ่มสับเท้าวิ่งด้วยความเร็วพอประมาณ ราวกับต้องการขจัดอารมณ์เศร้าหมองภายในใจให้หมดจด
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มเช่ารถม้าภายในเขตใต้ มุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน
ยังเหลือเวลาอีกราวหนึ่งชั่วโมง ก่อนสถานีรถไฟใต้ดินจะหยุดให้บริการ ถ้าต้องเดินทางด้วยรถม้าเพียงอย่างเดียว คงเกิดการสิ้นเปลืองเงินทองมากโข
…
เลยเที่ยงคืนวันใหม่ ไคลน์เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดคนงานสีฟ้าอมเทา สวมหมวกแก๊ปดึงต่ำปิดดวงตา และมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลนักบุญเอสตินในเขตสะพานเบ็คลันด์
โรงพยาบาลดังกล่าวอยู่ในความดูแลของโบสถ์จักรกลไอน้ำ
ศพส่วนใหญ่ตายจากอาการป่วย และเมื่อญาติไม่มีเงินพอจะนำไปประกอบพิธี ก็ต้องนำมาฝากไว้ในห้องดับจิตของโรงพยาบาลเป็นการชั่วคราว รอให้รัฐบาลดำเนินการ หรือไม่ก็ส่งต่อไปยังโรงเรียนแพทย์เพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่ เหตุการณ์เช่นนี้พบเห็นได้บ่อยครั้งในช่วงฤดูร้อน แต่เกิดขึ้นไม่มากในฤดูหนาวและใบไม้ร่วง เนื่องจากอากาศเริ่มเย็นจัด
อย่างไรก็ตาม บนโลกปราศจากเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องทำความเย็น ห้องดับจิตโรงพยาบาลก็ไม่สามารถเก็บรักษาศพไว้ได้นานกว่ากันนัก ศพจะถูกดองทันทีเมื่อเข้าระบบ และสำหรับศพมีคิวต้องถูกฝังในวันถัดไป พวกเขาจะนำออกมาทำความสะอาดเป็นครั้งสุดท้าย แน่นอน กฎเหล่านี้จะเข้มงวดอย่างมากในช่วงฤดูร้อน แต่เริ่มอะลุ่มอล่วยในฤดูหนาวและใบไม้ร่วง ส่งผลให้ ปัจจุบันยังมีศพจำนวนหนึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในห้องดับจิตเป็นเวลานาน
ห้องดับจิตของโรงพยาบาลนักบุญเอสตินถูกสร้างเป็นชั้นใต้ดิน ถึงแม้จะเป็นฤดูร้อน แต่อากาศก็ยังเย็นกว่าจุดอื่นของโรงพยาบาลมาก ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า ช่วงฤดูหนาวและใบไม้ร่วงจะเย็นยะเยือกขนาดไหน
ไคลน์อาศัยประสบการณ์สมัยเคยเป็นเหยี่ยวราตรี รวมถึงความคล่องตัวจากพลังโอสถตัวตลก ลอบแทรกซึมเข้าไปในอาคารโรงพยาบาลอย่างไม่ยากเย็น หลบสายตาพยาบาลและหมอเวร ลงมาถึงชั้นใต้ดินได้โดยสวัสดิภาพ
แต่ยังไม่ทันจะเข้าใกล้ห้องดับจิต อากาศบริเวณทางเดินใต้ดินก็เริ่มหนาวเหน็บ
หลังจากผ่านห้องภารโรงมาได้ ไคลน์ล้วงมือหยิบลวดในกระเป๋า จากนั้นก็สะเดาะกลอนประตูห้องดับจิตอย่างง่ายดาย
สิ่งนี้คือหนึ่งในเทคนิคการแทรกซึมและสะกดรอย มันเคยร่ำเรียนมาจากเหยี่ยวราตรี
ด้วยมือขวาสวมถุงมือสีดำ ชายหนุ่มบรรจงผลักประตูห้องดับจิตเข้าไปอย่างเชื่องช้าและระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็แผ่พลังวิญญาณห่อหุ้มนกหวีดทองแดงไว้ เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่า วิธีนี้สามารถผนึกผลข้างเคียงด้านลบได้จริง
อุณหภูมิภายในห้องเย็นยิ่งกว่าทางเดินด้านนอกเสียอีก ศพส่วนใหญ่ถูกยัดใส่ถุงและเก็บไว้ในลิ้นชักของตู้เหล็ก แต่ก็มีบางร่างถูกนำออกมาวางไว้บนโต๊ะยาวใจกลางห้อง คล้ายกับรอวินิจฉัยบางสิ่ง
ในฐานะลำดับแปด ตัวตลก ไคลน์มิได้หวาดกลัวกับฉากตรงหน้า แต่ก็ยังเกิดความรู้สึกสะอิดสะเอียนอย่างบอกไม่ถูก
พฤติกรรมชายหนุ่มยังคงเป็นไปอย่างระมัดระวัง ประตูด้านหลังถูกบรรจงปิด ก่อนจะย่างกรายตรงไปทางโต๊ะยาว
ผ่านไปสิบนาที ไคลน์พ่นลมหายใจเย็นเฉียบใส่ฝ่ามือ พร้อมกับยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ผิดปรกติใดเกิดขึ้น
แค่นี้คงพอแล้ว…มันนำนาฬิกาพกสีทองออกจากกระเป๋า กดปุ่มเปิดฝา
เมื่อเตรียมความพร้อมเสร็จสรรพ ไคลน์สลายพลังวิญญาณตัวเอง ปลดปล่อยนกหวีดทองแดงของอะซิกให้เป็นอิสระ
ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือไม่ แต่ด้วยเหตุผลบางประการ ไคลน์รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเงียบสงัดจนผิดวิสัย สงบนิ่งชนิดไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอดสิบนาที
ในฐานะนักทำนาย มันค่อนข้างเชื่อมั่นในสัญชาตญาณตัวเอง จึงรีบหยุดเดินและถอยหลังไปทางประตูห้องดับจิต
จนกระทั่งผ่านไปสองนาที…
ศพบนโต๊ะยาวกลางห้องพลันลุกขึ้นนั่ง!
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงโครมครามดังจากฝั่งตู้เหล็ก ราวกับบางสิ่งปรารถนาจะฟักออกจากไข่!
ตึง! ตึง! ตึง! ไคลน์เพ่งสมาธิ สายตามองศพบนโต๊ะอย่างใจเย็น ปากขยับท่องคาถาด้วยเสียงแผ่วเบา
“แดงฉาน!”
ถัดมา ชายหนุ่มถ่ายพลังวิญญาณเข้าไปในยันต์ปัดเป่าวิญญาณ จากนั้นก็ขว้างใส่
เปลวเพลิงสีฟ้าคล้ายน้ำแข็งเริ่มลุกโชนโดยไม่ส่งเสียง บรรยากาศสุขสงบและดำมืดกำลังแผ่ครอบงำไปทั่วห้อง ศพนั่งบนโต๊ะทิ้งตัวลงนอนกลับไปอีกครั้ง เสียงดังโครมครามจากตู้เหล็กพลันชะงักงัน
ไคลน์ ผู้ชำนาญในการรนหาความตาย ไม่คิดประมาทแม้แต่วินาทีเดียว มันซัดยันต์ปัดเป่าวิญญาณซ้ำเข้าไปอีกแผ่น
เนื่องจากภายในห้องมีศพจำนวนมาก มันไม่ต้องการนำพาตัวเองเข้าสู่อันตราย ยันต์แผ่นสามจึงถูกใช้ต่อเนื่องโดยไม่ลังเล เรียกได้ว่าหมดเกลี้ยง ไม่เหลือสำรองไว้ในยามฉุกเฉิน
“ไม่เลว…เท่านี้ก็มั่นใจได้ว่า นกหวีดจะส่งผลเฉพาะศพไม่ผ่านพิธีกรรม รวมถึงสิ่งมีชีวิตประเภทซอมบี้ สามารถยับยั้งด้วยการแผ่พลังวิญญาณผนึกไว้” ไคลน์พึมพำอย่างพึงพอใจ
เมื่อเห็นว่าไม่มีศพใดขยับตัว มันเตรียมเปิดประตูห้องดับจิตเพื่อเผ่นหนี
แต่ทันใดนั้น หูของไคลน์ได้ยินเสียงฝีเท้าดังระรัวจากด้านนอก ตามด้วยแสงไฟสีเหลืองนวลเล็ดลอดผ่านเข้ามา
ภารโรงแก่ชรา ผู้ได้ยินเสียงศพทุบตู้เหล็กดังโครมคราม กำลังเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับตะเกียงในมือ!
ไคลน์รีบเหลียวซ้ายแลขวา ตามด้วยการวางมือไว้บนกลอนประตู ส่งแรงกระโดดขึ้นไปข้างบนอย่างคล่องแคล่ว และหยุดนิ่งตรงกลางระหว่างบานประตูกับเพดานห้อง
ปลายนิ้วเกาะเกี่ยวร่องเพดานหินแน่นขนัด รักษาการทรงตัวไว้อย่างชำนาญ
แอ๊ด!
ภารโรงแก่ชราเปิดประตูด้วยกุญแจ มันย่างกรายเข้ามาพร้อมกับตะเกียง
ผ่านไปสองสามก้าว มันยกตะเกียงขึ้น กวาดสายตาสำรวจรอบตู้เหล็กและโต๊ะยาวอย่างละเอียด ปิดท้ายด้วยการจ้องศพนานหลายอึดใจ
ด้านหลังภารโรง ไคลน์ปล่อยมือพร้อมกับทิ้งตัวลง ฝ่าเท้าสัมผัสพื้นห้องเงียบเชียบ
ฉวยโอกาสทอง ไคลน์เผ่นออกจากห้องดับจิตด้วยความคล่องแคล่ว ย่องไปได้สองสามก้าว มันตัดสินใจเข้าไปหลบในห้องภารโรงเพื่อดูลาดเลาสักพัก จนกระทั่งมั่นใจ จึงแอบกลับขึ้นไปยังโรงพยาบาลด้านบน
หลังจากภารโรงแก่ชราตรวจสอบอยู่นานและไม่พบความผิดปรกติ มันพึมพำกับตัวเองด้วยเสียงสั่นเทา รีบเผ่นออกจากห้อง ล็อกประตูปิดสนิท และไม่เหลียวหลังกลับมาอีก
เมื่อกลับถึงห้อง มันรีบห่อตัวด้วยผ้าห่มผืนบางหลายชั้น ใช้เวลานานหลายนาทีกว่าหัวใจจะกลับมาเต้นเป็นจังหวะ ปากขยับพึมพำปลอบใจตัวเอง
ในเวลาเดียวกัน ไคลน์เดินด้วยย่างก้าวผ่อนคลายไปบนถนนมืดสลัวและเงียบสงบ มันกำลังสุขใจเพราะเพิ่งเอาตัวรอดจากสถานการณ์อันตรายมาได้อย่างราบรื่น
สายตาจ้องมองเสาตะเกียงสองฝั่งถนน จิตใจกำลังคาดหวังให้ถึงชุมนุมผู้วิเศษครั้งถัดไปโดยเร็ว
ถ้าหาซื้ออาวุธวิเศษให้เดอะซันได้ล่ะก็ มันจะได้รับหนึ่งในวัตถุดิบหลักโอสถนักมายากลมาครอบครอง!
อา…ถึงปัจจุบันจะมีเงินสดไม่มาก แต่เราก็มีสิ่งแลกเปลี่ยนราคาสูงอยู่ไม่น้อย เช่น สูตรโอสถนักอ่านใจ นักขับขาน และผู้ภาวนาแห่งแสง ในขณะเดียวกัน โอสถตัวตลกของเราก็ย่อยไปได้มากแล้ว เนื่องจากใช้เทคนิคสวมบทบาทอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการค้นพบ ‘กฎ’ ของตัวเอง ถือว่าย่อยเร็วกว่ากำหนดพอสมควร คงเสร็จสมบูรณ์ในอีกไม่ช้า…ท่ามกลางถนนกรุงเบ็คลันด์ยามราตรี ไคลน์ปล่อยความคิดให้ล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย
………………….