Skip to content
Home » Blog » Lord of the Mysteries 297

Lord of the Mysteries 297

ตอนที่ 297 : เสียงเพรียกของจันทร์เต็มดวง

ไคลน์สวมโค้ทกระดุมสองแถว หมวกทรงกึ่งสูง และเดินไปยังประตูบ้าน แต่ทันใดนั้นพลันได้ยินเสียงกระซิบมายาดังก้องกังวานภายในสมอง

ใครกัน…? ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางตั้งใจเงี่ยหูฟัง แต่ก็ทราบเพียงว่า อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวและกล่าวด้วยน้ำเสียงขึ้นลง ไม่ไหลลื่นติดต่อกัน คล้ายกับกำลังทุกข์ทรมาน

ในเมื่อไม่มีสิ่งใดให้เร่งรีบออกไปทำ นักมายากลหน้าใหม่อย่างไคลน์จึงถอดหมวกและโยนใส่ราวแขวนผ้าทันที จากนั้นก็กลับไปยังห้องนอน เดินถอยหลังสี่ก้าว ส่งตัวเองเข้าสู่ห้วงมิติเหนือหมอกเทา และปรากฏตัวท่ามกลางพระราชวังโบราณ

แต่หนนี้ไม่มีดวงดาวสีแดงของสมาชิกคนใดยุบพอง ในทางกลับกัน ด้านข้างเก้าอี้ตำแหน่งประธานของเดอะฟูล กำลังปรากฏแสงสว่างส่องกระเพื่อมเป็นระยะ

คำสวดภาวนาจากบุคคลภายนอกชุมนุมทาโรต์…มิสซิล หรือไม่ก็เพื่อสาวผมสีน้ำตาลหยักศกคนนั้น? ไคลน์ลองคาดเดาขณะย้ายตัวเองไปนั่งบนตำแหน่งประจำ

ในเมื่อบัญชีลับของธนาคารเบ็คลันด์ว่างเปล่า ชายหนุ่มจึงไม่กังวลว่าจะมีใครพยายามลักลอบเปิดมัน

ไคลน์เอนหลังอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะเหยียดมือซ้ายตรง แผ่พลังวิญญาณเข้าไปในกลุ่มก้อนคลื่นแสง

ฉากรอบตัวแปรเปลี่ยนทันใด ปรากฏภาพของโต๊ะชากาแฟล้มระเนระนาด โซฟาล้มหงายหลัง กระดาษและหนังสือหล่นกระจายเต็มพื้นห้อง รวมถึงหญิงสาวผมสีน้ำตาลผู้กำลังนอนทุรนทุรายอย่างเจ็บปวด

พร้อมกันนั้น ไคลน์ได้ยินคำสวดภาวนาของอีกฝ่าย

“เดอะฟูลจากต่างยุคสมัย ผู้ปกครองลึกลับเหนือห้วงสายหมอกเทา ราชันเหลืองดำผู้ครองพลังโชคลาภ”

“ได้โปรด…ช่วยฉันด้วย…”

ช่วยด้วย…? เมื่อลองประเมินจากสภาพแวดล้อม หญิงสาวคนนี้คงใกล้คลุ้มคลั่งเต็มที เส้นผมของเธอยืดยาวด้วยความเร็วผิดปรกติ ร่างกายถูกปกคลุมด้วยแสงสีขาวชั่วร้าย แล้วเราจะช่วยเธอได้อย่างไร…? ไคลน์สำรวจสถานการณ์อย่างใจเย็น พลางพึมพำกับตัวเองอย่างฉงน

ทันใดนั้น มันเริ่มสัมผัสถึงต้นตออาการเจ็บปวดของหญิงสาว เป็นเสียงมายาเลือนรางและไม่คมชัดของใครสักคนกำลังเพรียกหา

เสียงเพรียกแห่บพร่า!

คล้ายคลึงกับเสียงขณะไคลน์ส่งตัวเองเข้าสู่มิติสายหมอกอย่างมาก แต่ของหญิงสาวปราศจากความบ้าคลั่งและชั่วร้ายโดยสิ้นเชิง ไม่ปรากฏความมุ่งร้ายแอบแฝงแม้แต่น้อย

ไม่ผิดแน่ เธอคงใกล้คลุ้มคลั่งเพราะได้ยินเสียงเพรียกนี้เข้า…หากหยุดได้ยิน บางทีอาจสงบจิตใจลง และฟื้นฟูตัวเองกลับมาได้ทันท่วงที…เมื่อเกิดความคิดดังกล่าว ไคลน์รีบเหยียดแขนออกไปหาใจกลางคลื่นแสงกระเพื่อมทันที

จากนั้น มันทำการแผ่พลังวิญญาณจำนวนมหาศาลเข้าไป เพื่อสร้างการเชื่อมต่อปริศนาอันแข็งแรงทนทานขึ้น

หลังจากกลายเป็นนักมายากล ผู้วิเศษลำดับกลาง พลังวิญญาณของไคลน์เข้มข้นขึ้นจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด จึงแทบไม่เกิดภาระกับร่างกายเหมือนกับสมัยอดีต

สมองฟอร์สกำลังสับสนสุดขีด ห้วงความคิดเดือดพล่าน ราวกับมีฟองน้ำจำนวนมหาศาลกำลังผุดขึ้นและพยายามแทรกตัวออกจากศีรษะ

“เรากำลังจะตาย…เราไม่อยากตาย…เราไม่อยากกลายเป็นสัตว์ประหลาด…” ภายในสมองของเธอมีแต่ความคิดด้านลบ ความเจ็บปวดถาโถมท่วมท้นร่างกายทุกส่วนเท่าเทียม

ทันใดนั้น สติของหญิงสาวพลันคมชัดกะทันหัน ความเจ็บปวด ความบ้าคลั่ง ความกระวนกระวาย และความสิ้นหวัง ซึ่งฝังลึกเข้าไปในกระดูกของฟอร์สจนยากจะลบเลือน กลับสลายตัวไปอย่างปริศนา ประหนึ่งเหตุการณ์ก่อนหน้าเป็นเพียงภาพลวงตา

เราอดทนผ่านมาได้เพราะวันนี้จบลงเร็วกว่าปรกติ? ไม่น่าใช่ เพราะยิ่งเป็นคืนจัทราโลหิตเช่นนี้ ระยะเวลาความทรมานก็ยิ่งยาวนานกว่าทุกที…ฟอร์สกำลังสับสนสุดขีด เธอตัดสินใจลืมตา ซึ่งหลับไปตั้งแต่เริ่มนอนขดตัว พลางก้มมองด้านล่างตามสัญชาตญาณ และได้พบกับสายหมอกสีเทาไร้ก้นบึ้งลอยล่องใต้ฝ่าเท้า เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็ได้พบกับโต๊ะทองแดงโบราณ ขนาดใหญ่ยาวราวยี่สิบเก้าอี้

เรากำลังอยู่ไหน…? หลังจากผุดความประหลาดใจ ฟอร์สรีบมองรอบตัว และได้พบเสาหินต้นยักษ์วางเรียงราย เหนือขึ้นไปเป็นโดมหลังคาสูงเด่นตระหง่านคล้ายพระราชวัง

ถัดมา บนเก้าอี้ตัวไกลสุดของโต๊ะทองแดงโบราณ เธอได้พบบุคคลปริศนา ร่างกายห่อหุ้มด้วยกลุ่มหมอกสีเทาทึบ ราวกับเป็นพระเจ้าผู้เฝ้ามองทุกสรรพสิ่งจากเบื้องบน

เรากำลังอยู่ไหน? แล้วเขาเป็นใคร? ฟอร์สพรั่งพรูคำถามมากมายภายในใจ

ทันใดนั้น หญิงสาวพลันตระหนักได้ว่าตนกระทำสิ่งใดลงไปก่อนหน้านี้!

ขณะเกิดความเจ็บปวดแสนสาหัส เธอตัดสินใจเอ่ยพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของบุคคลลึกลับ ตามคาถาซึ่งซิลพบในหนังสือ ‘ประวัติศาสตร์ขุนนางโลเอ็น’ คาถาดังกล่าวต้องสงสัยว่าจะเป็นของเทพมารสักตน!

ม…ไม่ใช่แค่วิญญาณมารหรอกหรือ? แต่อย่างน้อย ท่านผู้นี้ก็ช่วยให้เรารอดพ้นจาก เสียงเพรียกสุดเลวร้ายระหว่างคืนจันทราโลหิตมาได้…แถมยังดึงเราเข้ามาในมิติประหลาด… น…นี่มัน…ฟอร์สพยายามข่มความกลัวในใจ ก่อนจะรีบลุกขึ้นพร้อมกับทำท่าคำนับนอบน้อม

“ดิฉันขอทราบนามของท่านได้หรือไม่…”

ทันใดนั้น หญิงสาวหวนนึกถึงเนื้อหาของคาถาซึ่งตนใช้สวดภาวนา จึงรีบโพล่งเสริม

“ท่านคือเดอะฟูล…! เดอะฟูลผู้ยิ่งใหญ่ใช่ไหม?”

ไคลน์ฉีกยิ้ม ผงกศีรษะรับเล็กน้อย

“เรียกเราว่ามิสเตอร์ฟูลก็พอ”

ขณะกล่าว ชายหนุ่มสังเกตเห็นสัญลักษณ์ด้านหลังเก้าอี้ซึ่งฟอร์สถูกเรียกเข้ามานั่ง เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างใหม่

ภายในหนึ่งถึงสองวินาทีถัดมา ภาพดังกล่าวเริ่มคมชัด กลายเป็นฉากคล้ายผนังด้านในห้อง บนผนังเต็มไปด้วยบานประตูมายาลักษณะเดียวกันจำนวนมาก กำลังซ้อนทับไปมาอย่างไม่มีจุดจบ!

ประตู? เมื่อเห็นสัญลักษณ์ดังกล่าว ไคลน์เชื่อมโยงข้อมูลเข้ากับ ‘มิสเตอร์ประตู’ จากในไดอารีของจักรพรรดิโรซายล์ทันที

ระหว่างคืนจันทร์เต็มดวง มิสเตอร์ประตูจะเข้าใกล้โลกมากเป็นพิเศษ และพยายามส่งเสียงเพรียกขอความช่วยเหลือ!

เป็นเสียงของมิสเตอร์ประตูเองหรือ? แถมคืนนี้ยังเป็นจันทราโลหิต เข้มข้นกว่าคืนจันทร์เต็มดวงในยามปรกติมาก… หญิงสาวผมสีน้ำตาลคนนี้มีสัญลักษณ์หลังเก้าอี้เป็นประตู ส่วนเก้าอี้ของมิสซิลเป็นสัญลักษณ์ ‘ดาบแห่งคุณธรรม’ …ไคลน์พยักหน้าแผ่วเบาจนอีกฝ่ายแทบมองไม่เห็น

จากข้อมูลดังกล่าว มันสามารถยืนยันได้ว่า ถ้าตนใช้ห้วงมิติสายหมอกสร้างการเชื่อมต่อถาวรกับผู้วิเศษคนใด ต่อให้ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมเป็นประจำ แต่ด้านหลังของเก้าอี้ก็จะปรากฏสัญลักษณ์ตามสภาพแวดล้อมของอีกฝ่ายเสมอ…

ขณะเดียวกัน ฟอร์สกำลังตกตะลึงปนผวา

เดอะฟูล…เป็นเดอะฟูลจริงด้วย…! พระนามอันสูงส่งบนแผ่นกระดาษดังกล่าว ได้ชี้นำมายังตัวตนลึกลับทรงพลัง!

เขาต้องการอะไรจากเรา? หวังทำสัญญาวิญญาณกับเราหรือ?

ฮะฮะ…อย่างน้อย…อย่างน้อยก็ดีกว่าการกลายเป็นสัตว์ประหลาดและคลุ้มคลั่งจากเสียงเพรียกบัดซบนั่น…อย่างน้อยเราก็สามารถต่อลมหายใจได้อีกสักพัก หลังจากนี้เป็นเพียงกำไรชีวิต…

ขณะฟอร์สกำลังคิดเรื่อยเปื่อย เสียงของเดอะฟูลดังแว่ว โดยอีกฝ่ายกำลังอมยิ้ม

“เจ้าจะได้ยินเสียงเพรียกในทุกคืนจันทร์เต็มดวงใช่ไหม”

เขารู้ได้ยังไง!? ฟอร์สจ้องมองด้วยสีหน้าประหลาดใจสุดขีด ก่อนจะขานตอบอย่างเหม่อลอย

“ใช่ค่ะ”

ยังไม่ทันสิ้นเสียง หญิงสาวผุดข้อสันนิษฐานใหม่ขึ้นได้ จึงรีบซักถามออกไป

“ท…ท่านทราบต้นกำเนิดของเสียงเพรียกเหล่านี้ด้วยหรือ? ท่านทราบใช่ไหมว่าใครกำลังประสงค์ร้ายต่อดิฉัน? และท่านทราบวิธีแก้ปัญหาในระยะยาวด้วยใช่ไหมคะ?”

เจ้านั่นคือสหายผู้น่าสมเพช ถูกกักขังอยู่ท่ามกลางความมืดมิดและพายุเกรี้ยวกราด…ไคลน์เคยคิดจะตอบกลับไปเช่นนี้ เพื่อให้ภาพพจน์ของตนดูยิ่งใหญ่ในสายตาหญิงสาว แต่เมื่อลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วน มันยังไม่มั่นใจว่าเธอได้ยินเสียงเพรียกจากมิสเตอร์ประตูจริงหรือไม่

เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดจนต้องอับอายในอนาคต ไคลน์ข้ามคำถามของหล่อนและกล่าวด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ

“เขาอาจไม่ได้หวังทำร้ายเจ้า เพียงแต่กำลังเรียกหาความช่วยเหลือ”

เสียงเพรียกจึงมิได้แฝงจิตมุ่งร้ายหรือความบ้าคลั่ง แตกต่างจากเสียงพระผู้สร้างแท้จริง

“ขอความช่วยเหลือจากดิฉัน? แต่ยิ่งได้ยินก็ยิ่งใกล้คลุ้มคลั่งเข้าไปทุกที หากไม่ได้ท่านช่วยเหลือเอาไว้ ป่านนี้ดิฉันคงกลายเป็นสัตว์ประหลาดเรียบร้อยแล้ว” ฟอร์สตอบด้วยน้ำเสียงกังขา

ไคลน์ยังคงเผยรอยยิ้ม

“นั่นเพราะเจ้ายังอ่อนแอเกินไป”

“อ่อนแอเกินไป?” ฟอร์สพลันผงะอ้ำอึ้ง

ชายหนุ่มอธิบายสั้นกระชับ

“ระดับตัวตนของเจ้ากับอีกฝ่ายห่างชั้นมากเกินไป เพียงลมหายใจแผ่วเบาของเขา ก็สามารถสร้างลมพายุฉีกทำลายร่างเจ้าได้ในพริบตา เพียงสายตาจ้องมองจากเขา ก็มากพอจะคร่าชีวิตเจ้าได้อย่างฉับพลัน แน่นอน หากเขาพยายามควบคุมพลังสักหน่อย ก็อาจสื่อสารกับเจ้าได้อย่างปรกติ เพียงแต่ว่า เขาต้องส่งเสียงผ่านอุปสรรคหลายต่อหลายชั้น หากอำนาจของเสียงมีน้อยเกินไป ก็อาจถูกทำลายระหว่างทางก่อนจะถึงหูใครสักคน เขาจึงไม่คิดควบคุมพลังตัวเองสักเท่าไร…สมมติว่าเขากำลังร้องขอความช่วยเหลือล่ะนะ”

ระดับตัวตนแตกต่างเกินไป…เราจะเสียชีวิตทันทีหากถูกอีกฝ่ายจ้องมอง…หญิงสาวค่อนข้างตกตะลึงในถ้อยคำจากปากเดอะฟูล แต่หลังจากตรึกตรองสักพัก เธอเลือกเผยรอยยิ้มจืดชืดพลางตอบกลับ

“นั่นทำให้ดิฉันหวนนึกถึงคำกล่าวบางคำ ห้ามจ้องมองเทพโดดเด็ดขาด…”

ไคลน์เพียงยิ้มรับโดยไม่ช่วยไขความกระจ่างให้หล่อน

หมายความว่า…เสียงเพรียกในหัวเรามาจากบุคคลระดับใกล้เคียงเทพ? แต่มิสเตอร์ฟูลกลับสยบอำนาจของอีกฝ่ายง่ายดาย แถมยังเรียกขานด้วยถ้อยคำไม่แสดงการเคารพ…หมายความว่าท่านและอีกฝ่ายมีระดับเท่าเทียมกัน? หรืออาจสูงกว่า? ยิ่งฟอร์สครุ่นคิดในเรื่องดังกล่าว เธอก็ยิ่งพบความน่าตกตะลึงมากขึ้นทุกขณะ ถึงขั้นร่างกายเกิดอาการสั่นเทาอย่างมิอาจควบคุม

ไคลน์ปล่อยให้บรรยากาศเงียบงันนานหลายวินาที ก่อนเริ่มซักถามต่อ

“ทุกคืนจันทร์เต็มดวง เจ้าต้องทุกข์ทรมานนานแค่ไหน?”

“สามถึงห้านาที…หากเป็นจันทราโลหิตจะนานถึงเจ็ดนาที” ฟอร์สพยายามเค้นสมองนึกและตอบอย่างซื่อตรง

ยิ่งได้ฟัง ไคลน์ก็ยิ่งมั่นใจว่าเจ้าของเสียงดังกล่าวคือมิสเตอร์ประตู

ชายหนุ่มตัดบทสนทนา

“อีกสักสองสามนาทีค่อยกลับไปได้ สำหรับเจ้า หนทางเดียวในการเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์นี้คือ…ยกระดับตัวตน”

ฟอร์สลังเลหนึ่งอึดใจก่อนซักถาม

“หากดิฉันต้องเผชิญความทุกข์ในคืนจันทร์เต็มดวงอีก สามารถเอ่ยพระนามอันสูงส่งของท่านได้หรือไม่? ด…ดิฉันยินดีเป็นสาวกรับใช้ของท่าน!”

“ไม่จำเป็น” ไคลน์ส่ายศีรษะพลางฉีกยิ้ม “เรายินดีช่วยเหลือเจ้าในยามยากลำบาก”

“ขอบคุณมากค่ะ!” แม้จะตระหนักว่าตนอาจต้องทำสัญญากับเทพมาร แต่หญิงสาวก็ไม่ลังเลเลยสักนิด เพราะอย่างน้อย ชีวิตก็ยังมีความสุขกว่าการทุกข์ทรมานและกลายเป็นสัตว์ประหลาด

หลังจากยืนยันอนาคตตัวเอง ฟอร์สพ่นลมหายใจผ่อนคลาย ขณะเดียวกันก็ตระหนักว่ารอบตัวเธอมีเก้าอี้ว่างเปล่าจำนวนมาก จึงหันไปหาเดอะฟูลและเอ่ยปากถาม

“มิสเตอร์ฟูล มีสมาชิกคนอื่นด้วยหรือ?”

ไม่สิ…พวกเขาอาจไม่ใช่มนุษย์ก็ได้…หญิงสาวเสริมเอาเองในใจ

ไคลน์ยังคงยิ้มและตอบด้วยท่าทีผ่อนคลายตามปรกติ

“ทุกคนล้วนเหมือนกับเจ้า เราดึงเข้ามาภายในนี้ด้วยเหตุผลแตกต่างกันไป ในภายหลัง คนเหล่านั้นเรียกร้องให้เราจัดการชุมนุมขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีระยะห่างแต่ละครั้งเท่ากันเสมอ เป็นชุมนุมสำหรับแลกเปลี่ยนสูตรโอสถ วัตถุดิบ ข่าวสาร และภารกิจ เราเห็นว่าน่าสนใจ จึงตอบตกลง”

ดวงตาฟอร์สพลันลุกวาว ในเมื่อตัวเองกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกแล้ว เธอตัดสินใจซักถามหยั่งเชิงอีกฝ่าย

“มิสเตอร์ฟูล ดิฉันขอเข้าร่วมการชุมนุมด้วยได้ไหมคะ?”

“แน่นอน บ่ายสามโมงตรงของวันจันทร์ จงทำตัวให้ว่างเข้าไว้” เมื่อกล่าวจบ ไคลน์ชี้นิ้วไปทางสำรับไพ่ทาโรต์ซึ่งปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันตรงหน้าหญิงสาว “ทุกคนจะเรียกแทนกันด้วยชื่อไพ่ทาโรต์ เจ้าเองก็เลือกมาหนึ่งใบจากในกอง ยกเว้นไพ่เหล่านี้ซึ่งถูกเลือกไปก่อนแล้ว…”

ฟอร์สพยักหน้า จากนั้นก็รีบสับไพ่และตัดไพ่พลางขยับปากพึมพำ

“ให้โชคชะตานำพาก็แล้วกัน…”

จากนั้นไม่นาน เธอเลือกหยิบไพ่มาหนึ่งใบพร้อมกับหงายหน้าไพ่ขึ้น

“เดอะเมจิกเชียน!”

………………….

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!