ตอนที่ 300 : ระบำวิญญาณ
“ผมไปทำอะไรมาบ้าง…” อาโดลพึมพำคำถามเสียงแผ่ว และเริ่มตระหนักว่า ตนจำอะไรในช่วงสองสามวันก่อนไม่ได้เลย
เด็กหนุ่มมองไปรอบตัวอย่างเหม่อลอย เจือความหวาดผวา ตื่นตระหนก และสับสน
“คุณเป็นใคร? ผมกำลังอยู่ไหน?”
“ห้องน้ำบ้านคุณไง จำไม่ได้หรือ? ส่วนผมคือนักสืบเอกชนผู้รับงานปกป้องคุณ” ไคลน์เพ่งมองเด็กหนุ่มผู้เพิ่งได้สติกลับมา มุมปากของมันเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
“บ้านของผม…นักสืบเอกชน…เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่…?” อาโดลยังคงมองไปรอบตัวอย่างเหม่อลอย พลางพึมพำทวนคำซ้ำ
ทันใดนั้น ร่างกายเด็กหนุ่มพลันชะงัก สีหน้าแววตาเปี่ยมด้วยความหวาดกลัวอย่างไม่ปกปิด
“บ…บางที โลกนี้อาจมีผีอยู่จริง! ไม่ผิดแน่ โลกนี้มีภูตผี!”
เด็กหนุ่มกล่าวเสียงสั่นเทา แต่ไคลน์กลับสัมผัสอารมณ์สองขั้วตรงข้ามได้จากประโยคดังกล่าว แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวปะปนกับความตื่นเต้น สีออร่าช่วยยืนยันในเรื่องนี้ได้
ตื่นเต้น? หรือว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะถูกผีสิงเพราะสนองความตื่นเต้นของตัวเอง? เด็กมักกล้าหาญกว่าผู้ใหญ่เพราะไม่หวาดกลัวความตายสินะ…ไคลน์ลองคาดเดา พลางซักถามกลับไปอย่างสงสัย
“ภูตผี?”
หลังจากกลายเป็นนักมายากล เนตรวิญญาณของไคลน์ก็ถูกพัฒนาขึ้นอีกระดับ แต่ยังไม่ถึงขั้นส่องเข้าไปในชั้น ‘วิญญาณดารา’ ของอีกฝ่ายได้ จึงไม่ทราบว่าเป้าหมายเป็นผู้วิเศษหรือไม่
เมื่อได้ยินคำถาม ใบหน้าอาโดลพลันขาวซีด ก่อนจะกลับมาแดงระเรื่ออย่างตื่นเต้น
“ใช่แล้ว! ภูตผี!”
เด็กหนุ่มแกว่งแขนพร้อมกับเสริม
“โลกใบนี้กว้างใหญ่เกินกว่าจินตนาการของพวกเรามาก! ผมพูดจริง! ความตายไม่ใช่จุดจบสุดท้ายของชีวิต!”
คึกคะนองสมกับเป็นวัยรุ่น…แต่ถ้าเราจำไม่ผิด เหมือนจะเคยได้ยินคำสอนทำนองนี้มาก่อน…ไคลน์ครุ่นคิดพลางเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “ผมเชื่ออีกคำกล่าวหนึ่งมากกว่า ในยุคสมัยอดีตกาลก่อนบรรพกาล แม้แต่ความตายก็ไม่มีตัวตนอยู่จริง”
โดยไม่รอให้อาโดลกล่าวสิ่งใด ชายหนุ่มล้วงหยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝา
“แล้วคุณตกอยู่ในสภาพก่อนหน้านี้ได้อย่างไร…อาการคล้ายกับผู้ป่วยทางจิต”
“ผ…ผม” อาโดลเบือนหน้าหนีพลางครุ่นคิดหลายวินาที “ผมมีโอกาสได้เข้าร่วมสมาคมแห่งหนึ่ง…มีหลักคำสอนว่า ความตายไม่ใช่จุดจบสุดท้ายของทุกสิ่ง พวกเราใช้เวทมนตร์บางชนิดเพื่อให้สมาชิกตระหนักถึงความตายและเกิดอารมณ์ปล่อยวาง รวมถึงยังเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนสามารถคืนชีพหลังจากความตายได้!”
ขณะยืนฟัง ไคลน์ ผู้เพิ่งคลานขึ้นจากหลุมศพเมื่อเดือนก่อน เผยรอยยิ้มมุมปาก
“คุณและผองเพื่อนก็เลยพยายามชุบชีวิตคนตาย?”
ความตายไม่ใช่จุดจบ…ยังมีโลกอีกใบหลังความตาย…เกิดอารมณ์ปล่อยวาง…เวทมนตร์…สิ่งเหล่านี้คือคำสอนของนิกายวิญญาณไม่ใช่หรือ…ถ้าจำไม่ผิด เป้าหมายของพวกมันคือการคืนชีพเทพมรณา…ไคลน์พึมพำในใจหลังจากเริ่มพบเบาะแส
“ใช่ครับ!” อาโดลพยักหน้าหนักแน่นด้วยดวงตาระยิบระยับ แต่ก็ยังหลงเหลืออาการหวาดกลัวให้เห็น
“แล้วหาศพคนตายจากไหน” ไคลน์ถามจี้
“พ…พวกเราแอบขุดสุสาน เลือกเฉพาะศพเพิ่งถูกฝังไม่นาน ห…หรือไม่ก็ซื้อต่อจากโรงพยาบาล…” อาโดลกล่าวตะกุกตะกัก
นี่สินะ เรื่องผิดกฎหมายจนสามารถถูกขังคุกได้…ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมร็อค·คาร์โรมันถึงไม่ต้องการแจ้งตำรวจ…รนหาอันตรายเก่งไม่เบานี่…ไคลน์ยังคงยิ้มอ่อนโยน พลางซักถามต่อ “แล้วเคยชุบชีวิตสำเร็จบ้างไหม”
“ยังครับ…ในการรวมตัวครั้งล่าสุด ระหว่างกำลังหาเป้าหมายสำหรับใช้เวทมนตร์ ทุกคนได้มองมาทางผมด้วยสายตาแปลกไป คล้ายกำลังมองมายังซากศพ…จากนั้นพวกเราเริ่มระบำวิญญาณเพื่อหวังติดต่อกับโลกหลังความตาย แล้วผมก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย” ร่างกายอาโดลเริ่มสั่นเทาขณะเล่า
ระบำวิญญาณ? ไม่ผิดแน่ พวกมันคือนิกายวิญญาณ…ถึงขั้นประกอบพิธีกรรมใส่พวกพ้องเชียวหรือ…ไคลน์ขมวดคิ้วและซักถามต่อ “ความทรงจำขาดหายไปตั้งแต่ตรงนั้น จนถึงเมื่อครู่เลยใช่ไหม”
จากเอกสารลับของเหยี่ยวราตรี ‘ระบำ วิญญาณ’ คือพิธีกรรมสังเวยโบราณ นิยมทำในหมู่ชาวทวีปใต้ผู้เคารพบูชาเทพมรณา กล่าวกันว่า เป็นพิธีกรรมทำให้เทพมรณาเกิดความพึงพอใจ
‘ระบำวิญญาณ’ จะอาศัยจังหวะและการเต้นรำให้สอดคล้อง ช่วยให้พลังธรรมชาติหลั่งไหล่เข้าสู่แท่นบูชา และเปลี่ยนเป้าหมายของพิธีกรรมให้เป็นสื่อกลางหรืออุโมงค์วิญญาณ…และเมื่อเอ่ยพระนามศักดิ์สิทธิ์ประกอบ แม้แต่คนธรรมดาก็สามารถสร้างพิธีกรรมเวทมนตร์ซับซ้อนได้ หากมีจำนวนมากพอ
“ครับ” อาโดลตอบเสียงแผ่ว พลางเอียงคอถามอย่างสงสัย “วันนี้วันอะไร? กี่โมง?”
“ศุกร์เช้า ตีหนึ่งสิบสองนาที” ไคลน์ตอบตามความทรงจำ
อาโดลถอนหายใจยาว
“ผมคงพลาดการรวมตัวครั้งถัดไป…ทุกวันศุกร์ตีสามตรง พวกเราจะรวมตัวกันประกอบพิธีกรรมด้านนอกสุสานกรีน”
ได้ชื่อว่าสุสานกรีน เพราะอยู่ไม่ไกลจากถนนสวนกรีนมากนัก
“ยังคิดจะไปอีกหรือ จำไม่ได้เลยสินะว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง คุณควรไปถามพ่อ แม่ หรือคนรับใช้ดูนะ” ไคลน์กล่าวตักเตือน
ถ้ายังมีคราวหน้าอีก แม้แต่ฉันก็อาจช่วยนายไว้ไม่ได้…ชายหนุ่มเสริม
หลังจากเหตุการณ์เมื่อครู่ ไคลน์เริ่มตระหนักถึงจุดอ่อนของนักมายากล นั่นคือความอ่อนแอเมื่อต้องเผชิญหน้าสิ่งมีชีวิตประเภทวิญญาณอาฆาตหรือเงาดำ จากบรรดาเวทมนตร์และกึ่งเวทมนตร์ทั้งเก้าชนิด นอกจาก ‘ควบคุมไฟ’ แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดช่วยจัดการศัตรูประเภทวิญญาณได้อีก ยิ่งถ้าต้องรับมือกับพวกสิ่งร่างได้สมบูรณ์ ไคลน์ก็ยิ่งจนปัญญาหนัก เพราะไม่มีทักษะประเภทปัดเป่าหรือชำระล้างเลย นอกเสียจากจะฆ่าทิ้งทั้งเจ้าของร่างและวิญญาณไปพร้อมกัน
แน่นอน ไคลน์ไม่ได้สิ้นหวังเสียทีเดียว เพราะยังสามารถประกอบพิธีกรรมปัดเป่าวิญญาณกับเป้าหมายได้อยู่ เหมือนในกรณีของเซเลน่า แต่การตั้งแท่นบูชาเตรียมล่วงหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่สามารถใช้ได้สะดวกนักในทางปฏิบัติ รวมถึงยังจะเป็นการเปิดความลับเผยว่าตนคือผู้วิเศษ
สำหรับเหตุการณ์เมื่อครู่ ไคลน์ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนและพบว่า วิญญาณร้ายในร่างอาโดลคงไม่แข็งแกร่งนัก จึงใช้นกหวีดทองแดงล่อออกมา และใช้พลังควบคุมไฟแผดเผา
อย่างไรก็ตาม ทักษะควบคุมไฟไม่ได้ทรงประสิทธิภาพขนาดนั้น หากอีกฝ่ายเป็นวิญญาณร้ายแข็งแกร่งกว่านี้สักนิด เปลวเพลิงของไคลน์คงมิอาจขจัดมันสำเร็จ
เรายังขาดสมบัติวิเศษหรือยันต์สำหรับจัดการสิ่งมีชีวิตประเภทอันเดดโดยเฉพาะ…ถ้ามีสมบัติปิดผนึก 3-0782 ‘ตราศักดิ์สิทธิ์บิดเบือนแห่งสุริยัน’ ก็คงดี…ไคลน์ปล่อยให้ความคิดลอยล่องโดยไม่ได้สนใจเหตุการณ์รอบตัวสักเท่าไร
ราวกับความทรงจำของอาโดลกลับคืนมาบางส่วน ใบหน้าเด็กหนุ่มขาวซีดกะทันหัน ก่อนจะตอบด้วยน้ำสั่นเครือ
“ม…ไม่! ผมไม่อยากไปอีกแล้ว! ไม่เอาอีกเด็ดขาด!”
“ดีมาก” ไคลน์ยิ้มรับ
อาโดลจ้องมองอีกฝ่าย และพบว่าบุรุษคนนี้ไม่เผยความกลัวให้เห็นเลยสักนิด จึงซักถามกลับไปอย่างสงสัย
“คุณไม่กลัวบ้างหรือ หลังจากได้ยินเรื่องเล่าของผมตั้งมากมาย”
ไคลน์เลิกพิงผนังห้องน้ำ มันเหยียดตัวตั้งตรงพร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย
“สำหรับนักสืบเอกชน ผมจะไม่เชื่อคำพูดผู้อื่นอย่างเด็ดขาด จนกว่าจะได้เห็นหลักฐานด้วยตาตัวเอง”
หลังจากเปิดประตูห้องน้ำ ไคลน์ครุ่นคิดเล็กน้อย ว่าตนควรตามสืบเรื่องของนิกายวิญญาณต่อหรือไม่ เพราะสิ่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับความทรงจำของมิสเตอร์อะซิก
อาโดลจ้องมองแผ่นหลังนักสืบเอกชนอย่างเหม่อลอย จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งอึดใจ เด็กหนุ่มเพิ่งตระหนักว่าตนถูกทิ้งไว้ในห้องน้ำตามลำพัง แถมเงามืดจากแสงจันทร์ด้านนอกยังทอดยาวกว่าปรกติ ดูคล้ายสัตว์ประหลาดกำลังหลบซ่อนรอซุ่มโจมตี
เด็กหนุ่มรีบแหกปากด้วยริมฝีปากสั่นเทา
“รอผมด้วยครับ!”
อาโดลรีบจัดการตัวเอง วิ่งออกจากห้องน้ำ และเดินตามหลังไคลน์ไม่ห่าง
เด็กคนนี้ยังมีความหวาดกลัวหลงเหลือในจิตใจ…มีโอกาสกลับมาเป็นปรกติได้…ไคลน์พึมพำพลางนำสองมือล้วงกระเป๋ากางเกง
เมื่อทั้งสองถึงห้องนอนอาโดล สจ๊วตยังคงไม่ทราบว่าเด็กหนุ่มหายเป็นปรกติ จึงเอาแต่จินตนาการภาพภูตผีในสมอง พาลหวาดกลัวไปเองโดยไม่มีมูลเหตุ
หลังจากอาโดลหลับไปอีกครั้ง ไคลน์หยิบนกหวีดทองแดงออกมาควงเล่นรอบสิบนิ้ว
จนกระทั่ง ตีสองห้าสิบนาที ชายหนุ่มโยนเหรียญเพนนีขึ้นไปในอากาศ แบมือรับ และก้มหน้ามองผล ก่อนจะลุกยืนพลางโน้มตัวไปกระซิบสจ๊วต
“ขอออกไปสูบบุหรี่ตรงระเบียง”
“ช่วยเร่งมือด้วย” สจ๊วตเผยสีหน้าหวาดกลัวให้อีกฝ่ายเห็นโดยไม่ปิดบัง
ไคลน์เดินไปหยิบเสื้อโค้ทมาสวม ตรงไปยังระเบียงสุดทางเดินยาว จากนั้นก็หามุมมืดหลบซ่อนตัว
มันนำกระดาษรูปคนตัดหยาบออกมาถือ
ฟุ่บ!
ไคลน์สะบัดข้อมือสุดแรง แผ่นกระดาษเสียดสีกับอากาศจนเกิดเสียงแหลม ก่อนจะขยายตัวกลายเป็นร่างมนุษย์ในพริบตา
ร่างดังกล่าวมีส่วนสูงเท่าไคลน์ จะเรียกว่าหุ่นขี้ผึ้งของไคลน์ก็ไม่ผิด ทุกองค์ประกอบล้วนเหมือนไคลน์ในปัจจุบันจนยากแยกแยะ
นี่คือหนึ่งในรูปแบบการใช้พลัง ‘กระดาษคนตัวแทน’
ชายหนุ่มเพ่งสมาธิพลางกำหมัดแน่น ก่อนจะใช้มือสัมผัส ‘ร่างตัวแทน’ แผ่วเบา
โดยปราศจากสุ้มเสียง ร่างตัวแทนไคลน์คล้ายกับมีชีวิตชีวากะทันหัน มันเดินไปยืนสูบบุหรี่ริมระเบียง โดยแม้แต่ปลายบุหรี่ก็ยังมีสีแดงของไฟลุกไหม้! ควันและกลิ่นยาสูบกำลังลอยโชยทั่วระเบียงอย่างน่าพิศวง
“หลังจากสร้างตัวแทน ภาพมายาดังกล่าวจะอยู่นานได้นานครึ่งชั่วโมง…เรากลายเป็นนักมายากลตัวจริงแล้วสินะ” ไคลน์สวมถุงมือ พลางเหยียดแขนเกาะขอบระเบียง ออกแรงยกตัวขึ้น และไถลลงไปตามแนวท่อแก๊สอย่างเงียบงัน เล็ดลอดสายตาคนคุ้มกันด้านนอกอย่างไม่ยากเย็น
…
ด้านนอกสุสานกรีน ภายในป่าทึบ
ไคลน์ซุ่มตัวบนยอดไม้สูง สายตาเพ่งมองลานกว้างซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไป
รอบตัวชายหนุ่มเต็มไปด้วยใบไม้สีเขียวและกิ่งก้านสีน้ำตาล แต่ทั้งหมดล้วนมีคราบฝุ่นสีเทาสกปรกเกาะหนา
ไคลน์กำลังเห็นเด็กวัยรุ่นทั้งชายและหญิงราวแปดคน สวมชุดคลุมยาวสีดำ กำลังเต้นรำไปมารอบซากศพปริศนา
จังหวะของท่าระบำเป็นไปอย่างคล่องแคล่ว สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเวทมนตร์เข้มข้น
เด็กสาวสะบัดผมปลิวไสว เด็กชายคุกเข่าขยับแขนขาเต้นตามจังหวะ ฉากดังกล่าวสอดคล้องกับบรรยากาศโดยรอบ ประหนึ่งผสมผสานกลมกลืนธรรมชาติอย่างลงตัว
หลังจากเต้นรำราวสี่นาที ทุกสิ่งภายในรัศมีสิบเมตรล้วนถูกบรรยากาศลึกลับเข้าครอบงำกะทันหัน กลิ่นอายความชั่วร้ายคละคลุ้งฟุ้งกระจาย ขณะเดียวกันก็เจือกลิ่นอายคล้ายทวยเทพแผ่วเบา
ไม่ผิดแน่ นี่คือระบำวิญญาณ…พิธีกรรมเวทมนตร์ซึ่งแม้แต่คนธรรมดาก็เข้าร่วมได้…ไคลน์ชำเลืองสายตามองชายชุดคลุมดำ ซึ่งเปล่งเสียงสวดคาถาข้างศพมาได้สักพัก
เมื่อครู่ก็เป็นชายคนนี้ ผู้แนะนำขั้นตอนของพิธีกรรมระบำวิญญาณให้กับเหล่าเยาวชนชายหญิง
คงเป็นหนึ่งในสมาชิกทางการของนิกายวิญญาณ และน่าจะเป็นผู้วิเศษ…ไคลน์พยักหน้ากับตัวเอง สายตายังคงเพ่งมองพิธีกรรมชุบชีวิตอย่างตั้งใจ
จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง เมื่อระบำวิญญาณเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญ ชายคนดังกล่าวเงยหน้าขึ้นพร้อมกับถอดวิกผม เผยให้เห็นศีรษะล้านเตียนและรอยสักพิสดาร
มันชูสองมือขึ้นฟ้าพลางตะโกน
“แด่ท่านเทพมรณา! ท่านเทพมรณาผู้ยิ่งใหญ่…กำลังจะกลับมา!”
หลังจากสิ้นเสียง ระบำวิญญาณรอบนอกพลันชะงัก เยาวชนแปดคนล้วนหยุดนิ่งด้วยสีหน้าแววตาเหม่อลอย เจือความตื่นเต้นผสมผสานหวาดกลัว
ถัดมา ชายคนเดิมคุกเข่าลง เปิดกล่องเหล็กข้างศพ และหยิบวัตถุสีดำออกมา
ไคลน์เพ่งมองสักพัก จนกระทั่งพบว่าวัตถุดังกล่าวคือ…แมวดำ…ดวงตาสีฟ้า
แบบนี้ก็ได้หรือ…ไคลน์ผงะหลายวินาที สมองหวนนึกถึงตำนานปรัมปรามากมายเกี่ยวกับแมวดำ ตัวอย่างเช่น แมวดำคือสัญลักษณ์ของลางร้าย รวมถึง หากแมวดำกระโดดข้ามศพใด ศพนั้นจะลุกขึ้นมา…
แต่ปัจจุบันถือเป็นครั้งแรก กับการได้เห็นใครสักคนนำความเชื่อดังกล่าวมาปฏิบัติจริง!
ชายปริศนาเดินถอยหลังสองก้าวในท่ากอดแมวดำเพื่อไม่ให้กระโดดหนี ผ่านไปหนึ่งอึดใจ มันโยนแมวดำผู้โชคร้ายใส่ซากศพ
เมี๊ยว!
แมวดำรีบโก่งตัวพร้อมกับพองขนด้วยอากัปกิริยาหวาดกลัว ก่อนจะส่งเสียงขู่ฟ่อและกระโดดข้ามศพตามสัญชาตญาณ
ในวินาทีนี้ ราวกับไคลน์ได้ยินแมวตัวนั้นพูดเป็นภาษามนุษย์ว่า…
“ไอ้ลูกโสเภณี!”
………………….