ตอนที่ 301 : ตื่น
เมี๊ยว!
เสียงแมวดำดังก้องทั่วลานโล่งรายล้อมด้วยแนวต้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นชายปริศนาในชุดคลุมดำหรือเยาวชนชายหญิงแปดคน ทั้งหมดรีบจ้องมองซากศพเป็นตาเดียว
สายลมเย็นเฉียบพลันพัดผ่าน เมื่อแมวดำกระโจนถึงพื้น มันหันกลับมามองบุคคลผู้โยนตนใส่ซากศพ พร้อมกับยกหางตั้งขู่และสะบัดซ้ายขวา
ทันใดนั้น แมวดำพองขนฟูอีกครั้ง ก่อนจะเกร็งขาหลังกระโดดหนึ่งครั้ง และวิ่งเตลิดหายไปในแนวต้นไม้หนาทึบ
น่าเสียดาย ไม่มีใครสนใจพฤติกรรมของมันแม้แต่คนเดียว มนุษย์ทั้งหมดในจุดดังกล่าว กำลังจ้องมองศพไร้วิญญาณในจุดกึ่งกลางวงล้อม
วินาทีสะสมเป็นนาที แต่ซากศพก็ไม่ปรากฏความเปลี่ยนแปลงใดให้เห็น
“ล้มเหลวอีกแล้ว?” หนึ่งในเยาวชนเดินเข้าไปใกล้ นั่งยองลง และใช้ปลายนิ้วแตะสัมผัสซากศพ
“ไม่ตอบสนองเลย” เด็กคนดังกล่าวพูดพลางหันกลับมาหาเพื่อนและชายชุดคลุมดำ
ทันใดนั้น มันสัมผัสถึงสายลมแปลกประหลาดพัดขึ้นมาจากด้านล่าง
แต่ยังไม่ทันสิ้นเสียง ‘ฟ้าว’ …
ศพพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง!
ร่างกายเด็กคนดังกล่าวสั่นเทาเล็กน้อย ก่อนจะแหกปากตะโกนอย่างยินดีปรีดาว่า
“สำเร็จ! สำเร็จแล้ว…”
แต่ยังไม่ทันได้กล่าวจบประโยค ศพด้านหลังเหยียดแขนขึ้นมาหนึ่งข้าง กระชากไหล่เด็กหนุ่มโชคร้ายลงไปกอดรัด และอ้าปากกัดอย่างโหดเหี้ยมหนึ่งคำใหญ่ เสียงเนื้อหนังถูกเถือด้วยฟันคมดังเสียดสี เลือดแดงสดเริ่มหยดกระจัดกระจายเต็มพื้น
“อ๊าก! ช่วยด้วย!” เด็กคนเดิมร้องขอความช่วยเหลือพลางดิ้นรน แต่ก็ไม่สามารถหลุดพ้นเป็นอิสระ
ซากศพเงยหน้าขึ้นพร้อมกับอ้าปากกว้าง เผยให้เห็นฟันขาวเรียงชิดติดเป็นแถว รวมถึงของเหลวสีแดงปนเหลืองไหลแทรกซึม
ชายชุดคลุมดำพลันผงะหลายอึดใจ ก่อนจะหยิบนกหวีด ‘ทองเหลือง’ ออกมาใส่ปากเป่า
ปากขยับพึมพำเป็นภาษาเฮอร์มิส
“ข้าขอสั่งเจ้าในนามแห่งเทพมรณา!”
ขณะสุ้มเสียงก้องกังวาน ศพคืนชีพชะงักการขย้ำร่างเด็กหนุ่มกะทันหัน ร่างกายแข็งค้างสักพักใหญ่
เด็กผู้ถูกตกเป็นเหยื่อของซากศพ สภาพร่างกายของเขาไม่น่าดูนัก ช่วงคอและไหล่เกิดแผลเหวอะหวะ ก่อนจะล้มฟุบอย่างเงียบงันประหนึ่งร่างไร้วิญญาณ
“สำเร็จ…” ชายชุดคลุมดำพึมพำด้วยน้ำเสียงเจือความสุข ปลายนิ้วชี้ไปทางศพพร้อมกับตะโกนเป็นภาษาเฮอร์มิส “จงลุกขึ้น!”
ศพลุกพรวดขึ้นยืน ตามด้วยการวิ่งเต็มฝีเท้าหนีเข้าไปในแนวต้นไม้หนาทึบด้านข้าง
“จงกลับมา!” ชายชุดดำพยายามแหกปากอย่างลนลาน แต่ศพก็ไม่แสดงท่าทีว่าจะหยุด
มันเป่านกหวีดอีกครั้งและตะโกนด้วยวาจาสุดแสนองอาจ
“ในนามแห่งเทพมรณา ข้าขอสั่งให้เจ้ากลับมา!”
เมื่อสิ้นเสียงดังกล่าว ศพได้วิ่งหายเข้าไปในป่าโดยสมบูรณ์
“ในนามแห่ง…” ชายชุดดำยังคงยืนพึมพำคำเดิมในจุดเดิมราวกับมีรากไม้งอกรัด น้ำเสียงและสีหน้ากำลังล่องลอยชัดเจน
ขณะเดียวกัน ภายในแนวป่าทึบ ไคลน์กำลังถือนกหวีดทองแดงอะซิกในมือข้างหนึ่ง และกล่องไม้ขีดไฟในมืออีกข้าง ชายหนุ่มจุดไม้ขีดและสะบัดข้อมือให้ไฟดับ ก่อนจะโยนก้านไม้ขีดกึ่งไหม้เกรียมลงบนพื้นดินตามทาง
ทำเช่นนี้เรื่อยๆ พร้อมกับเดินถอยหลังเป็นเส้นโค้ง
กึก! กึก! กึก!
ซากศพใบหน้าขาวซีดและกลิ่นเหม็นชวนอาเจียนกำลังวิ่งปรี่เข้าหาไคลน์อย่างว่องไว สายตาของมันเพ่งมองเพียงนกหวีดทองแดงเงางามโดยไม่ละไปไหน
ขณะไคลน์ก้าวถอยหลัง มันทำแก้มป่องพลางเล็งนิ้วชี้ไปทางศพ ก่อนจะเลียนเสียง
ปัง!
เมื่อหน้าอกเกิดรูโหว่ขนาดใหญ่ ความเร็วในการวิ่งของศพลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ปัง!
ไคลน์ทำแก้มป่องหนสองพร้อมกับยิงกระสุนอัดอากาศใส่กึ่งกลางศีรษะ
โผละ! กะโหลกซากศพถูกเจาะเป็นรูโหว่ ของเหลวเน่าเปื่อยน่าขยะแขยงสาดกระเซ็น
อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่บาดแผลอันจะทำให้มันถึงแก่ความตาย มันเพียงชะงักและสูญเสียความเร็วไปเล็กน้อย ก่อนจะปรี่เข้าหาไคลน์ต่อเนื่องราวกับไม่เหน็ดเหนื่อย
เมื่อเห็นภาพดังกล่าว ชายหนุ่มถอยหลังหนึ่งก้าวพร้อมกับดีดนิ้วเสียงดัง
เป๊าะ!
เพลิงสีส้มอมแดงลุกโชนจากพื้น ปกคลุมร่างกายซากศพไปพร้อมแผดเผาเศษผ้าห่อหุ้ม
กึก! กึก! กึก!
แม้ร่างกายจะเริ่มไหม้เกรียม แต่ศพก็ไม่หยุดวิ่ง ประหนึ่งกระทิงคลั่งหมายขวิดไคลน์ให้ไส้แตก
เป๊าะ! เป๊าะ! เป๊าะ! ชายหนุ่มดีดนิ้วถี่ยิบ เปลวไฟบนพื้นลุกไหม้ทีละจุด
อันเดดย่อมปราศจากความเจ็บปวด มันโถมตัวเข้าหาไคลน์โดยไม่คิดชีวิต แต่ยิ่งนานเข้าร่างกายก็ยิ่งเสื่อมสภาพ ร่างกายจึงเริ่มละลายคล้ายกับเทียนไข
ในตอนสุดท้าย ซากศพกลายเป็นคบเพลิงแดงลุกโชนโชติช่วง มันเสียหลักล้มลงก่อนถึงตัวไคลน์เล็กน้อย ร่างกายกระดูกคลานไปบนพื้นในลักษณะเชื่องช้า
ไคลน์หยุดยืนรออย่างสุขุม ก่อนศพจะพยุงตัวลุกยืนและโถมใส่ชายหนุ่มด้วยพลังเฮือกสุดท้ายของมัน
ท่อนแขนกระดูกดำจับไหล่ขวาชายหนุ่มได้แน่นขนัด แต่เพียงพริบตาก็เหลือแค่ประกายแสงวิบวับ
ในวินาทีนั้น ร่างไคลน์ถูกแสงสีแดงห่อหุ้มกะทันหัน ก่อนจะหายไปปรากฏตัวบนกองเพลิงไกลสุดในระยะสายตา
ประหนึ่งศพไม่เหลือเรี่ยวแรงสำหรับกระทำสิ่งใดต่อ มันหยุดเคลื่อนไหวและทิ้งตัวลงไปนอนราบบนพื้นดินเย็นเฉียบ ถูกเปลวเพลิงส้มอมแดงแผดเผาภายใต้ร่มเงาสีเขียวเข้ม กลายเป็นซากขี้เถ้าผสมผสานขี้ผึ้งเหลว
แข็งแกร่งกว่าซอมบี้หรือวิญญาณอาฆาตตนใดทั้งหมดในความทรงจำเรา…ยกเว้นลูกน้องของมิสเตอร์อะซิกล่ะนะ… ถ้าเราไม่ผ่านมาเห็นเข้าพอดี รับประกันได้เลยว่าทุกคนในลานกว้างคงถูกฆ่าตายกันหมด…ไคลน์ส่ายศีรษะพลางเดินออกจากแนวต้นไม้ ตรงไปยังทุ่งโล่งด้านหน้า
ขณะเดียวกัน ชายสวมชุดคลุมดำเริ่มตระหนักถึงความผิดปรกติในป่า มันรีบเผ่นหนีสุดฝีก้าวโดยไม่รีรอ ทิ้งให้เยาวชนทั้งแปดคนวิ่งแตกฮือไปคนละทิศละทางอย่างลนลาน แต่หลังจากผ่านไปสักพัก ทุกคนเริ่มคิดได้ว่าไม่ฉลาดนัก ถ้าต้องหนีตายตามลำพังภายใต้ค่ำคืนมืดมิดและสภาพแวดล้อมเปล่าเปลี่ยว เหล่าเยาวชนจึงทยอยกลับมายังจุดรวมตัวทีละคนสองคนอย่างสั่นกลัว
ภาพศพขย้ำหนึ่งในผองเพื่อนยังคงตราตรึงติดในความทรงจำ รวมถึงยังเห็นว่าศพวิ่งได้เร็วกว่าพวกตนมาก กลุ่มเด็กจึงไม่กล้าหนีไปไหนคนเดียว
แผ่นหลังของทุกคนกำลังเย็นเฉียบจนร่างกายเกิดอาการสั่นระริก
พวกเขาหันมองตากันและกัน แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้เด็กชายผู้โชคร้าย ซึ่งตกเป็นเหยื่อการขย้ำของซากศพโครงกระดูก ทุกคนกังวลว่าเด็กคนนี้จะลุกขึ้นมาทำร้ายตนในลักษณะเดียวกัน
ท่ามกลางความเงียบงันพักใหญ่ กลุ่มเด็กหันหน้าไปเห็นตัวตลกสวมเสื้อผ้าฉูดฉาด ใบหน้าถูกทาด้วยสามสี แดง ขาว และเหลือง กำลังเดินออกจากแนวต้นไม้
สิ่งนี้คือเวทมนตร์สร้างภาพมายาของไคลน์
ชายหนุ่มมองไปรอบตัว ไม่รีบไล่ตามชายสวมชุดคลุมดำ แต่เลือกซักถามกลุ่มเด็กด้วยเสียงแหบพร่า
“แกนนำเป็นใคร”
ชายคนนี้เป็นใคร…? คล้ายกับกลุ่มเด็กยังไม่หายจากอาการผวา ต้องรอนานหลายวินาทีจนกระทั่งเด็กหนุ่มสั่นกลัวคนหนึ่งยอมเปิดปากเล่า “เขาเป็นครูสอนภาษาฟุซัคโบราณของพวกเรา…มิสเตอร์คาปุสตี้·รีดด์… เขาอ้างว่าตัวเองเข้าถึงแก่นความตายอย่างถ่องแท้ และพยายามชักชวนให้พวกเราบรรลุปริศนาของชีวิตอมตะไปด้วยกัน”
เป็นครูในโรงเรียนเองหรือ…บรรลุปริศนาของชีวิตอมตะ? ทำไมคนสมัยนี้ถึงได้อวดอุตริกันง่ายนัก…และเมื่อประเมินจากสภาพน่าสมเพชเมื่อครู่ หมอนั่นยังไม่ถึงระดับผู้สื่อวิญญาณ อย่างเก่งก็แค่นักขุดสุสาน หรือไม่ก็ผู้เก็บซากศพ…ไม่สิ อาจไม่ใช่เส้นทางมรณาด้วยซ้ำ แต่เข้าร่วมนิกายวิญญาณเพราะความศรัทธา…เมื่อไคลน์ทราบชื่อเสียงเรียงนามของคาปุสตี้ มันก้มหน้าครุ่นคิดอย่างไม่รีบร้อน
“พวกคุณทุกคนกลับไปได้ และห้ามมารวมตัวกันอีกเด็ดขาด ห้ามบอกใครด้วย ไม่อย่างนั้น ทุกคนจะต้องตาย”
ไคลน์ทวนคำซ้ำด้วยเสียงเข้ม
“ผมพูดจริง ถ้ามาอีก…ทุกคนจะตาย”
กลุ่มเด็กหนุ่มสาวทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายพลางยืนตัวสั่น ฉากเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ทุกคนเชื่อคำพูดไคลน์โดยไม่เคลือบแคลงสงสัย
ขณะกลุ่มเด็กเตรียมเดินทางกลับพร้อมกัน เด็กสาวผมดำขลับเงางามพลันชี้นิ้วไปทางเพื่อนผู้กำลังนอนโอดครวญบนพื้น
“ข…เขาจะรอดไหมคะ?”
“ตอนนี้ยังไม่ตาย แต่ต้องรีบพาไปหาหมอโดยด่วน บอกกับหมอว่าเขาถูกไฮยีน่า สัตว์ชอบกินเนื้อเน่า กัดเข้า”
ไคลน์ไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เพียงหันหลังและเดินกลับไปทางแนวป่า ทางเดียวกับขามา
กลุ่มเด็กจ้องมองหน้ากันและกันอย่างสั่นกลัว จนกระทั่งใครบางคนโพล่งถาม
“ข…ขอโทษค่ะ ขอทราบชื่อคุณได้ไหม”
ไคลน์เพียงยิ้มและจงใจตอบกำกวมด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ก็แค่ยมทูตธรรมดา…”
เมื่อสิ้นเสียง หมอกหนาทึบพลันปกคลุมร่างไคลน์กะทันหัน พร้อมกับการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
แน่นอน ทั้งหมดคือภาพมายา
“ยมทูต…?” กลุ่มเด็กต่างพึมพำด้วยสีหน้าเหม่อลอย แต่ละคนมีจินตนาการต่างกันออกไป
สายลมเย็นพัดผ่าน เด็กๆ ยืนกอดอกตัวสั่น ก่อนจะช่วยกันพยุงร่างบาดเจ็บของเพื่อน และรีบเดินออกจากทุ่งโล่งโดยไม่หันหลังกลับ
…
หมอนั่นอาจไม่ใช่สมาชิกนิกายวิญญาณด้วยซ้ำ…น่าผิดหวังชะมัด…แต่ถ้าชื่อนั่นไม่ใช่ของปลอม เราคงต้องลองแวะไปเยี่ยมเยียนตอนกลางคืน ซักถามให้แน่ชัดว่ารู้อะไรมาบ้าง รวมถึงต้องสั่งสอนให้จำขึ้นใจว่า ห้ามนำเด็กมาเสี่ยงอันตรายอีกเด็ดขาด…คิดว่าระบำวิญญาณและพิธีกรรมคืนชีพเป็นของเด็กเล่นหรือไง…ไคลน์ออกอาการหงุดหงิดตามสัญชาตญาณเดิมสมัยเหยี่ยวราตรี
เพียงไม่นาน ชายหนุ่มเดินกลับมาถึงบ้านพักหรูหราของร็อค·คอร์โรมัน ไคลน์อดทนรออย่างใจเย็นจนกระทั่งบอดี้การ์ดเปิดช่องว่าง
มันปีนรั้วบ้านอย่างชำนาญ เคลื่อนย้ายตัวเองเข้าไปหลบในมุมมืด ปิดท้ายด้วยการปีนท่อแก๊สขึ้นระเบียงชั้นสอง
ปัจจุบัน ‘กระดาษคนตัวแทน’ ยังคงยืนสูบบุหรี่ในจุดเดิม
เป๊าะ! ไคลน์ดีดนิ้ว
ร่างเสมือนของตัวเองเปลี่ยนกลับเป็นแผ่นกระดาษรูปคน ปลิวลอยลงบนฝ่ามืออย่างเชื่องช้า
แต่ผิวกระดาษมีรอยตำหนิสีแดงคล้ายขึ้นสนิม เป็นสัญญาณว่ามิอาจนำกลับมาใช้ใหม่
ไคลน์ไม่กล้าเผาหรือโยนทิ้งส่งเดช เพียงพับให้เรียบร้อยและเก็บใส่กระเป๋า
เมื่อจัดการตัวเองเสร็จ ชายหนุ่มย่างกรายกลับเข้าห้องนอนอาโดล
“ทำไมถึงได้นานนัก?” สจ๊วตถามเสียงสั่น
มันชะโงกหน้ามองมาทางระเบียงเป็นระยะ และพบว่านักสืบเชอร์ล็อก·โมเรียตี้ เอาแต่ยืนสูบบุหรี่มวนแล้วมวนเล่าไม่จบสิ้น แต่สจ๊วตก็ไม่สามารถออกจากห้องนอนอาโดลได้ เพราะต้องเฝ้าจับตาเด็กหนุ่มทุกฝีเก้า
ไคลน์เผยรอยยิ้ม
“ผมแค่ผ่อนคลายตัวเองสักพัก คุณจะทำด้วยก็ได้ ผมไม่ถือ”
“ผ…ผม” ขณะสจ๊วตกำลังจะตอบตกลง สมองมันพลันจินตนาการว่า ตนต้องอยู่ตามลำพังคนเดียวบนระเบียงมืด รายล้อมด้วยสายลมเย็นเฉียบและแสงสว่างอันน้อยนิด รอบตัวมีเพียงบรรยากาศน่าขนลุกเหมือนกับในเรื่องเล่าภูตผี
สจ๊วตยิ้มแห้ง
“ช่างมันเถอะ ผมอยู่นี่แหละ”
ไคลน์อมยิ้มชอบใจ ก่อนจะเดินไปนั่งบนเก้าอี้โยกตัวเก่า ปล่อยให้แรงโน้มถ่วงทำงานของมันอย่างเชื่องช้าท่ามกลางความมืดมิด
เหตุการณ์สงบสุขจนถึงรุ่งสาง ไม่มีความผิดปรกติเกิดขึ้นแม้แต่สิ่งเดียว
เมื่ออาโดลตื่น เด็กหนุ่มพยุงตัวนั่งบนเตียงด้วยสายตาเหม่อลอย
ไคลน์เพียงจ้องมองโดยไม่ส่งเสียง ทำงานคนคุ้มกันไปตามปรกติ รอให้คาสลาน่าและลิเดียเดินเข้ามาเปลี่ยนเวร จึงค่อยกลับไปนอนในห้องพักเพื่อเอาแรง
ขณะกำลังสะลึมสะลือ ไคลน์ได้ยินเสียงร็อค·คอร์โรมันตะโกนลั่นบ้าน
“ลูกพ่อ…! เจ้าหายดีแล้วหรือ! โอ้วายุสลาตัน! ผมจะทำบุญบริจาคเงิน สามร้อยปอนด์ให้โบสถ์! ม…ไม่มีใครคิดฆ่าเจ้าแล้วใช่ไหม ทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิดสินะ?”
สามร้อยปอนด์? ช่างใจบุญอะไรเช่นนี้…ไคลน์พึมพำพร้อมกับนอนพลิกตัวกอดหมอนข้างบนเตียงอ่อนนุ่ม
และหลับสนิทไปในเวลาไม่นาน
เมื่อถึงเที่ยงทรง ไคลน์ลุกตื่นและเดินลงมายังชั้นล่างของบ้านเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน
คาสลาน่าฝั่งตรงข้ามพลันขมวดคิ้วถาม
“เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน?”
“ไม่มี” ไคลน์ตอบห้วน ก่อนจะเผยรอยยิ้ม “คุณหนูอาโดลลุกมาเข้าห้องน้ำนับไหม”
สจ๊วตข้างไคลน์ ออกอาการชะงักเล็กน้อย ตามด้วยการพยักหน้ายืนยันว่าเป็นความจริง
คาสลาน่าจ้องมองสองหนุ่มเขม็ง ก่อนจะเบือนหน้าหนีและตอบเสียงห้วน
“ไม่นับ”
ไคลน์ยกมุมปากพึงพอใจ พลางใช้มีดหั่นชิ้นสเต๊กเข้าปากด้วยท่าทางชำนาญ
………………….



