บทที่ 1055 หันหลังไป
เสียงคำรามเลื่อนลั่นของฟ้าดินตอนนี้ยังคงมีเสียงแว่วสะท้อน
ไม่ว่าเจ้าเหนือหัวที่ 17 จะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่มีกำลังโต้ตอบ ในด้านความเข้าใจในอำนาจของตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเจ้าเหนือหัวที่ 17 คนนี้ด้อยกว่าหลี่ว์หลิงจื่อมาก
โดยเฉพาะบาดแผลของเขาก็ยังคงปะทุอย่างต่อเนื่อง เลือดสดทะลักจากบาดแผลนับไม่ถ้วน อากาศจากในรัศมีสิบล้านลี้แทรกซึมเข้ามาทุกทิศทาง ราวกับจะอัดแน่นเข้าไปในทุกช่องว่างของร่างกายและจิตวิญญาณของเจ้าเหนือหัวที่ 17
ทันทีที่กระบวนท่านี้สำเร็จ เจ้าเหนือหัวที่ 17 จะร่างและจิตสูญสลาย
และความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นจากภาพนี้ก็น่าตื่นตะลึงนัก ดังนั้น ในฟ้าดินที่ห่างออกไป 10 ล้านลี้ มีเงาร่างอันกว้างใหญ่ไพศาลมากมายปรากฏทันที บ้างเป็นร่างจริง บ้างเป็นจิตเทพ ต่างลงมาเยือน
บ้างสีหน้าเคร่งขรึม บ้างแววตาสงสัยตกตะลึง บ้างคล้ายครุ่นคิด ท่าทีจะแตกต่างกันไป ทว่าคลื่นอารมณ์ในใจกลับสั่นสะเทือนไม่ต่างกัน!
“หลี่ว์หลิงจื่อคนนี้ ความเข้าใจในอำนาจของเขาถึงระดับนี้เชียวหรือ!”
“มิน่าเล่ามหาจักรพรรดิหมิงเหยียนถึงให้ความสำคัญกับเขา และไม่น่าแปลกใจเช่นกันที่ตระกูลหลันต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยินต่อแผนการที่วางขึ้นกับเขา!”
“แล้วยังมีเสี่ยเฉินจื่อคนนั้น…ไม่ธรรมดาเลยเหมือนกัน เพียงแต่บนตัวเขานอกจากวิชาลับเพลิงนรกานต์แล้ว จะต้องมีความลับอื่นซ่อนอยู่อีกแน่นอน น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้การต่อสู้ระหว่างเขากับซีหมัวจื่อถูกหลี่หลิงจื่อบดบังอำพรางไว้”
“แต่ว่า จากร่องรอยการหลบหนีของมารฟ้าที่แปรเปลี่ยนมาจากอำนาจอำนาจของซีหมัวจื่อ ก็ยังพอคาดเดาได้ว่าคงใช้วิชาการลึกลับบางอย่างทำให้มารฟ้าหักหลัง”
“อำนาจมารฟ้า แม้พลังสังหารจะน่าตะลึง ทำให้ผู้ที่สัมผัสรับรู้ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด แต่ข้อเสียก็ยากจะแก้ไขเช่นกัน มีความเสี่ยงที่จะถูกหักหลังและสะท้อนกลับกัดกินอยู่ตลอดเวลา”
ในขณะที่ฝ่ายต่างๆ ตกตะลึง ในใจสวี่ชิงก็เกิดความคิดเช่นกัน
การมาถึงของจักรพรรดินีในขณะที่ทำให้เขาโล่งใจ ก็รู้ว่าการคาดเดาของตัวเองเมื่อก่อนหน้านี้ถูกต้อง จักรพรรดินีมายังเผ่าปีกมารฝั่งประจิมเช่นนี้ก็เพื่อชิงความได้เปรียบมาไว้ในมือ
และตอนนี้ ความได้เปรียบเห็นได้ชัดว่าคว้าเอามาได้แล้ว ดังนั้น จึงมีภาพที่ขณะยกมือก็รวมอากาศ 10 ล้านลี้ซัดมาที่ร่างของเจ้าเหนือหัวที่ 17
นี่คือการประกาศอำนาจ
และเป็นการแสดงท่าทีด้วยเช่นกัน
สวี่ชิงในใจเข้าใจกระจ่างแจ้ง จากเรื่องนี้ เขาเรียนรู้ถึงวิธีจัดการเรื่องราวบางอย่างแล้ว
นี่เป็นความรู้ที่เขาไม่เคยเรียนรู้จากนายท่านเจ็ดทางนั้น
จากนั้นสายตาก็จับจ้องไปยังร่างของเจ้าเหนือหัวที่ 17 มองเขาดิ้นรน มองใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเขา สวี่ชิงจินตนาการได้ว่าความหนักของน้ำหนักที่กดไปบนร่างของอีกฝ่ายน่าสะพรึงเพียงใด
ส่วนจักรพรรดินี องค์ท่านสีหน้าสงบนิ่งมาโดยตลอด ไม่ได้เลือกที่จะสังหาร แต่ในเสี้ยวพริบตาที่เจ้าเหนือหัวที่ 17 ใกล้จะทนรับไม่ไหวอีกต่อไปเนตรโลหิตที่หว่างคิ้วก็ปิดลง
เก็บอำนาจลงไป
ดวงอาทิตย์ดวงโตที่ปรากฏออกมาเพราะองค์ท่าน ในเสี้ยวพริบตาที่ปิดลง สุดท้ายก็เลือนหายไป
อากาศที่กดอัดมาบนร่างเจ้าเหนือหัวที่ 17 ก็สลายไปตามสายลม กลับไปยังทุกสารทิศ
และหลังจากที่ไม่มีน้ำหนัก บาดแผลบนร่างของเจ้าเหนือหัวที่ 17 ก็ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ร่างของเงารางเลือนไปทันที หายไปจากที่ตรงนั้น ในยามที่ปรากฏขึ้นก็มาอยู่กลางท้องฟ้าแล้ว มองไปทางจักรพรรดินีด้วยสายตาซับซ้อน ไม่พูดอะไรแม้แต่น้อย
ไม่ใช่แค่เขา แต่เจ้าเหนือหัวฝ่ายต่างๆ ที่จับตามองการต่อสู้นี้ ตอนนี้ต่างเงียบนิ่ง
เพราะการลงมือที่รุนแรง แต่แล้วก็ผ่อนมืออย่างเมตตาเช่นนี้ ไม่เพียงเผยให้เห็นถึงความเข้าใจในอำนาจ แต่ยิ่งเป็นการแสดงออกถึงท่าทีของผู้แข็งแกร่งอย่างชัดเจน
จักรพรรดินีหันมา มองสวี่ชิงผาดหนึ่ง เอ่ยเสียงราบเรียบ “ยังขยับได้หรือไม่”
สวี่ชิงรีบพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ไปเถิด พวกเรากลับเผ่าปีกมารฝั่งบูรพาเถอะ”
จักรพรรดินีพูดจบก็ก้าวเท้าไปทางปลายขอบฟ้า
สวี่ชิงไม่กล้าลังเล ลอยขึ้นฟ้า ตามติดอยู่ข้างหลัง
เช่นนี้เอง ท่ามกลางสายตาของเจ้าเหนือหัวฝ่ายต่างๆ ของเผ่าปีกมารฝ่ายประจิม จักรพรรดินีพาสวี่ชิงเดินไปในท้องฟ้าอย่างสุขุมเยือกเย็น ค่อยๆ หายลับไปยังปลายขอบฟ้า
ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีฝ่ายใดปรากฏตัวขึ้นขัดขวางทั้งนั้น
ส่วนซีหมัวจื่อ เหมือนว่าถูกลืมไปแล้ว
ตายแล้วก็ตายไป
มีเพียงเจ้าเหนือหัวที่ 17 ที่สีหน้าซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม มองไปทางซากศพแห้งเหี่ยวของซีหมัวจื่อที่ถูกมารฟ้าย้อนกัดกิน
สุดท้ายก็ถอนหายใจ เก็บเขาลงไป หันหลังจากไป
การเดินทางไปฝั่งตะวันตกก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้
สายลมกำลังพัดหวนคืน พัดผ่านแผ่นดินนับ 10 ล้านลี้ สายตาที่ล่องลอยมากับสายลมนั้น ก็เริ่มหวนกลับคืนไปเช่นกัน
……
เผ่าปีกมารฝั่งประจิม ในแท่นเต๋าที่คล้ายปีก มหาจักรพรรดิปีกมารที่นั่งขัดสมาธิดึงสายตากลับมา
“น่าสนใจ”
“มั่นใจเพียงนั้นเชียวหรือ ว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าทำตามอำเภอใจตัว”
มหาจักรพรรดิปีกมาร ในดวงตามีแววล้ำลึก เอ่ยพึมพำกับตัวเอง
จากคำพูดของเขาที่ดังออกมา เหนือศีรษะเขาก็มีเสียงหัวเราะแหลมสูงชั่วร้าย
เสียงหัวเราะมาจากคนชุดคุมยาวสีดำที่ถูกโซ่เหล็กมัดคอยแผดเผาอยู่ตลอดเวลาที่กลางอากาศนั่น
“องค์ท่านย่อมมั่นใจอยู่แล้ว!”
มหาจักรพรรดิปีกมารได้ยินก็เงยหน้า มองไปทางคนชุดคลุมยาวสีดำ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็พลันหัวเราะออกมา
……
ตอนนี้ ที่บริเวณรอยต่อระหว่างเผ่าปีกปีกมารฝั่งบูรพาและประจิม จักรพรรดินีเดินทอดน่องอยู่ข้างหน้า ส่วนสวี่ชิงติดตามอยู่ข้างหลัง
ตลอดเส้นทางมา จักรพรรดินีไม่เอ่ยปากพูด สวี่ชิงเองก็ไม่สะดวกจะพูดอะไร
เขากำลังนึกย้อนถึงการเดินทางไปฝั่งบูรพาครั้งนี้ ลองหาประเด็นความรู้เพิ่มเติมเพื่อไปศึกษาเรียนรู้
“นับจากที่จักรพรรดินีมาถึงเผ่าปีกมารประจิม อันดับแรกคือมหาจักรพรรดิปีกมารก็มีโองการเพียง 1 คำ กำหนดทิศทางโดยรวมเอาไว้”
“และหลังจากนั้น เจ้าเหนือหัวฝ่ายต่างๆ ไม่มากก็น้อยก็ต่างแผ่จิตท้าประลองออกมา”
สวี่ชิงครุ่นคิดในใจ
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ระหว่างเผ่าปีกมารฝั่งบูรพาและประจิม เขาก็เข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยากว่านี่คือการต่อสู้ระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย
โดยเฉพาะหลี่ว์หลิงจื่อมีสถานะละเอียดอ่อน ทั้งเป็นลูกศิษย์ของจักรพรรดิหมิงเหยียนแห่งเผ่าปีกมารฝั่งบูรพา ทั้งเป็นสุดยอดอัจฉริยะของเผ่าปีกมารฝั่งบูรพา ยิ่งกว่านั้นยังทำลายแผนการของตระกูลหลัน ได้รับพลังสายเลือดที่มากเพียงพอ อีกทั้งยังเลื่อนขั้นขึ้นเป็นเจ้าเหนือหัว
จากนั้นก็แสดงให้เห็นถึงฝีมืออันเป็นเลิศ เผยความลับที่จักรพรรดิหมิงเหยียนปิดด่านบำเพ็ญตนออกมา แบ่งปันข้อมูลนี้แก่ทุกฝ่าย จนสามารถรวมเจ้าเหนือหัวจากทุกฝ่ายของเผ่าปีกมาฝั่งบูรพาไว้ได้โดยไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ อีกทั้งยังรับช่วงต่ออำนาจและทรัพยากรทั้งหมดของตระกูลหลันได้ด้วยอุปสรรคเพียงเล็กน้อย
ระหว่างนั้น ยังให้สิทธิ์รายชื่อเข้าร่วมติดตามเข้าไปยังสถานที่ปิดด่านของจักรพรรดิหมิงเหยียนอีกหลายตำแหน่ง ยิ่งแฝงไว้ด้วยการใช้เล่ห์กลเพียงเล็กน้อยกำจัดบุคคลสำคัญหลายคนโดยไม่ต้องลงแรงมาก ทำลายกำแพงระหว่างฝั่งบูรพาและฝั่งประจิม ทำให้เผ่าปีกมารฝั่งประจิมเองก็มีโอกาสได้ผลประโยชน์ที่แต่เดิมไม่ควรจะได้จากเรื่องนี้ได้เช่นกัน
สวี่ชิงหลังจากที่ย้อนพิจารณาเรื่องราวอย่างละเอียด ก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากจุดนี้ ขณะเดียวกันก็เข้าใจท่าทีของเผ่าปีกมารฝั่งประจิมได้ชัดเจน
เพราะด้วยภูมิหลังเช่นนั้น สถานะเช่นนั้น และวิธีการเช่นนั้น ประกอบกับการผงาดขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ทำให้หลี่ว์หลิงจื่อเจิดจรัสในแดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมาร เป็นที่จับตามองจากหลายฝ่าย
ทว่าบางเรื่องย่อมมิใช่สิ่งที่สามารถตัดสินได้ง่ายๆ เช่นนั้น ดังนั้นเมื่อมหาจักรพรรดิปีกมารได้กำหนดทิศทางไว้แล้ว สำหรับเผ่าปีกมารฝั่งประจิม การกดดันหลี่ว์หลิงจื่อในระดับหนึ่ง ก็เป็นภารกิจที่ไม่จำเป็นต้องประกาศให้ชัดเจน
“แต่จักรพรรดินีกลับไม่ลงมือรับคำท้าเอง หากแต่ส่งข้าเป็นผู้ออกหน้าท้าประลอง ใช้การนี้มาเพื่อให้ได้อำนาจควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในมือ”
สวี่ชิงสรุปในใจ รู้ว่าตัวเองนับว่าทำภารกิจเสร็จสิ้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ดังนั้น หลังจากที่เจ้าเหนือหัวที่ 17 หลังจากลงมาเยือน จักรพรรดินีก็เลือกที่จะลงมืออย่างแข็งแกร่ง
“เช่นนั้นตรงนี้จึงมีจุดสำคัญอยู่ว่า มหาจักรพรรดิปีกมารไม่ได้มองออกได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ หรือจะเพราะด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่อาจล่วงรู้ จึงจงใจปล่อยให้เป็นไปเช่นนั้น”
สวี่ชิงมองเงาแผ่นหลังจักรพรรดินี หลังจากคิดๆ ในใจก็มีการคาดเดา
เช่นนี้เอง เวลาหมุนไป
ภายใต้การเดินอย่างไม่รีบไม่ร้อนของจักรพรรดินี ในยามแสงพรายรุ้งของอาทิตย์ยามอัสดงสาดทอมายังภูเขาเจ้าเหนือหัวที่ 10 ผู้บำเพ็ญเหล่านั้นที่ล้อมรอบอยู่ที่นี่ก็เห็นคนทั้ง 2 ที่หวนคืนกลับมาบนท้องฟ้า
แต่ละคนต่างก้มศีรษะลงต่ำอย่างตื่นเต้นและเคารพนอบน้อม สวี่ชิงตามจักรพรรดินีกลับมายังภูเขาเจ้าเหนือหัวที่ 10
เหยียบย่างเข้ามาในตำหนักใหญ่ สวี่ชิงหลังจากโค้งคารวะก็ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังพูดเรื่องภาพเทียนไขสีแดงที่อยู่ข้างหลังตัวเองออกมา
จักรพรรดินีได้ยินก็เอ่ยออกมาอย่างสงบนิ่ง
“ข้าคิดว่าเจ้าจะยังปกปิดต่อไปเสียอีก”
“หันหลังไป ถอดเสื้อออก”
สวี่ชิงถอดเสื้อออกทันที หันหลังให้จักรพรรดินี เผยภาพเทียนไขเต็มแผ่นหลังให้เห็น
สายตาจักรพรรดินีมองไป หลังจากมองอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่ง สีหน้าปรากฏแววแปลกประหลาด
หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เอ่ยราบเรียบออกมา
“ต้นกำเนิดของเทียนเล่มนี้ไม่ได้อยู่ที่แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ แต่อยู่ในระบบดาวที่ 9 เป็นองค์กรเก่าแก่องค์กรหนึ่ง”
“ก่อนหน้านี้ ข้าไม่เคยได้ยินว่ามันย้ายมาอยู่บนร่างของผู้บำเพ็ญได้ และมันหากเมื่อจุดขึ้นก็จะสามารถเผาไหม้วิญญาณได้”
“ข้าช่วยเจ้าผนึกมันได้ แต่สำหรับเจ้าแล้ว สิ่งนี้ขณะที่เป็นเคราะห์ภัยก็เป็นโชคเช่นกัน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะใช้มันอย่างไร”
“ดังนั้นผนึกหรือไม่ เจ้าเลือกเอง”
จักรพรรดินีพูดจบก็ดึงสายตากลับมา แล้วนั่งขัดสมาธิอยู่บนที่นั่งสูงสุด
สวี่ชิงสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ในใจขบคิด หลังจากไตร่ตรองถึงคำพูดของจักรพรรดินี เขาไม่ได้ร้องขอให้ผนึกในทันที แต่วางแผนว่าตัวเองจะศึกษาค้นคว้าก่อนอีกสักหน่อย ดังนั้นจึงประสานหมัดขอบคุณ กำลังจะหันหลังจากไป
เสียงของจักรพรรดินีดังขึ้นอีกครั้ง
“ไปจากภูเขาเจ้าเหนือหัวไม่ได้”
“5 วันหลังจากนี้ เจ้าเอาป้ายอาญาสิทธิ์ของข้าไปตำหนักเซียนของเผ่าปีกมารฝั่งบูรพาสักหน่อย”
สวี่ชิงได้ยินก็กะพริบตาปริบๆ ในสมองมีเงาร่างของศิษย์พี่ใหญ่ปรากฏขึ้น ดังนั้นจึงหันมามองจักรพรรดินี “ฝ่าบาท ตำหนักวิชาเซียนเผ่าปีกมารบูรพา…”
จักรพรรดินีแค่นเสียงเย็นขึ้นจมูก “ตำหนักวิชาเซียนเผ่าปีกมารฝั่งบูรพา เมื่อวานนี้ได้ประกาศเชิญให้ขั้วอำนาจเจ้าเหนือหัวเผ่าปีกมารฝั่งบูรพาทุกขั้วอำนาจส่งตัวแทน ไปร่วมเป็นประจักษ์พยานในพิธีมหาปรมาจารย์เซียน”
“ทั้งยังบอกกับทุกฝ่าย เยวี่ยตง ลูกศิษย์มหาปรมาจารย์เซียนรุ่นก่อนแห่งตำหนักวิชาเซียน พ่ายแพ้ในการแข่งขันชิงตำแหน่งมหาปรมาจารย์เซียนรุ่นนี้ ถูกผู้อาวุโสใหญ่แห่งตำหนักวิชาเซียนจับตัวได้”
“5 วันหลังจากนี้จะเริ่มพิธีสืบทอดตำหนักวิชาเซียน หลอมและช่วงชิงวิชาเซียน 6 รากราคะตัณหาของเยวี่ยตง”
“พิธีนี้จำต้องให้ภูเขาเจ้าเหนือหัวทั้งหมดยอมรับ จึงมีการเชิญและเป็นสักขีพยานครั้งนี้”
เสียงของจักรพรรดินีดังในหูสวี่ชิง สวี่ชิงสีหน้าแปลกประหลาดทันที
เขารู้…จักรพรรดินีจะต้องรู้ตัวตนของเยวี่ยตงอย่างแน่นอน
และศิษย์พี่ใหญ่ชิงตำแหน่งมหาปรมาจารย์เซียนกับผู้อาวุโสใหญ่ตำหนักวิชาเซียนล้มเหลว เรื่องนี้…ปฏิกิริยาแรกของสวี่ชิงคือศิษย์พี่ใหญ่จงใจ
เขาเข้าใจศิษย์พี่ใหญ่ที่พึ่งพาไม่ได้อีกทั้งบ้าระห่ำคนนั้นเป็นอย่างดี
“เจ้าไปสักหน่อย ดูว่าเยวี่ยตงนั่นถูกชิงวิชาเซียนอย่างไร”
จักรพรรดินีมองสวี่ชิงผาดหนึ่ง
สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก ตอบรับเสียงดัง
เห็นสวี่ชิงเช่นนี้ จักรพรรดินีก็ยกมือนวดหว่างคิ้ว สิ่งที่องค์ท่านตอนนั้นกังวลที่สุดก็คือเกิดปัจจัยการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจควบคุมได้ ดังนั้นจึงไล่สวี่ชิงและเอ้อร์หนิวออกไป แต่พวกเขาก็ยังจะกลับมา
อีกทั้งต่างก็ชวนให้หนักใจไม่แพ้กันเลย
“สำหรับตำหนักวิชาเซียน ท่าทีของภูเขาเจ้าเหนือหัวทั้งหมดล้วนไม่แทรกแซงกิจการภายใน สนับสนุนเพียงแค่ผู้ชนะเท่านั้น หลังจากเจ้าไปแล้ว อย่าทำให้เรื่องราวบานปลาย”
“แล้วก็บอกศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าด้วย เทพชั้นสูงรื่อเหยียนในเทพทั้ง 3 แห่งนภาคิมหันต์ ก่อนหน้านี้ได้เอ่ยปากว่าจะเกณฑ์เขาเข้าร่วมสงครามของนภาคิมหันต์ แต่ข้าได้ปฏิเสธไปอย่างนุ่มนวลแล้ว”
จักรพรรดินีเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
สวี่ชิงฟังความหมายเชิงข่มขู่ในคำพูดนี้ออก รีบโค้งคารวะ เอ่ยลาจากไป
มองสวี่ชิงจนลับสายตา จักรพรรดินีส่ายหน้า “มิน่าเล่า อาจารย์ของพวกเขาถึงได้ปล่อยพวกเขาอย่างอิสระข้างนอก ไม่ได้ให้คอยอยู่ข้างกาย…”
เวลาไหววูบ 5 วันผ่านไป
เช้าตรู่ ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณที่สาดทอ บนภูเขาเจ้าเหนือหัวที่ 10 เงาร่างสวี่ชิงพุ่งออกมา พุ่งตรงไปทางตำหนักวิชาเซียนเผ่าปีกมารฝั่งบูรพาอย่างรวดเร็ว
จิตใจของเขาไม่ร้อนรน กระวนกระวายเลยแม้แต่น้อย กลับเกิดความคาดหวังเล็กๆ ด้วยซ้ำ
(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)



