Skip to content

Outside Of Time 1111

Outside of Time
BC

บทที่ 1111 วิสุทธิเทพองค์แรก

ธารโลหิตเทพเจ้ากว้างใหญ่ คลื่นยักษ์ซัดสาด

C

แม่น้ำกว้างขวาง เมื่อมองไปไร้ขอบเขต คล้ายเชื่อมต่อกับขอบฟ้า อานุภาพยิ่งใหญ่ทำให้คนยำเกรง

ยากจินตนาการว่าสังหารเทพเจ้ามากเท่าไรกว่าจะรวมโลหิตเทพเจ้าได้ถึงขั้นนี้ ทำให้ธารโลหิตเทพเจ้าน่ากลัวเช่นนี้

โดยเฉพาะยามสะท้อนแสงเหนือบนเวิ้งฟ้า แม่น้ำสีเลือดจะเปล่งแสงสลัว คล้ายหยดเลือดนับไม่ถ้วนกลิ้งตัวบนผิวน้ำ

คิดเจิดจรัสแข่งกับแสงเหนือ

กลายเป็นภาพคลื่นม้วนซัดงามตระการ

ภาพวาดหนักแน่น แฝงการตกตะกอนทางประวัติศาสตร์ พิสูจน์การเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน แบกรับเรื่องราวเทพเซียน ทั้งเป็นพยานการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างของวงแหวนที่ 5

นัยล้ำลึก

ในภาพวาดสีเลือดตอนนี้ เรือโดดเดี่ยวลำนั้นฝ่าลมโต้คลื่นกำลังมุ่งหน้า

เสียงฝีพายดังก้องกลางฟ้าดิน

ทุกประโยคและคำพูดราวอัสนีบาต ดังก้องในใจสวี่ชิงเหมือนทำนองเต๋า

“จอมเซียนเพียงหนึ่ง”

“บรรพชนคนที่ 5”

ทุกวาจารวมตัวกลางสมองสวี่ชิงอย่างรวดเร็ว กระทั่งกลายเป็นเงาร่างชายชราคนหนึ่ง

ชายชราคือผู้ที่สวี่ชิงเห็นในแผนที่แดนศักดิ์สิทธิ์ปีกมาร นั่งขัดสมาธิบนวงแหวนที่ 5 ขณะเดียวกันก็เป็นคนที่เขาเจอตรงทะเลนอกแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์

“ผู้อาวุโส ทำไม… เรียกจอมเซียนว่าบรรพชนคนที่ 5 เล่า”

สักพักสวี่ชิงค่อยสูดหายใจลึก เอ่ยถามเสียงต่ำ

ฝีพายหยิบบ้องยาสูบขึ้นมา สูดเข้าไปคราหนึ่ง พ่นควันออกมา ก่อนเอ่ยปากกล่าวเรียบๆ

“36 วงแหวนชั้นบนเป็นของโลกเบื้องบน แต่ละแห่งมีวงแหวนชั้นล่างจำนวนต่างกัน หรือก็คือโลกเบื้องล่าง”

“วงแหวนชั้นล่างบ้างมีชื่อ บ้างไม่มีชื่อ”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ฝีพายมองสวี่ชิง สายตาราวเปี่ยมนัยลึกซึ้ง

“โลกชั้นล่างของวงแหวนที่ 5 ไม่มีชื่อ นานมาแล้วเมื่อเทพเจ้าเคลื่อนผ่านวงแหวนที่ 5 ชั้นบน วงแหวนชั้นล่างถูกเรียกว่าโลกเบื้องล่างลำดับที่ 5”

“ในนั้นมีหมื่นเผ่าถูกเทพเจ้ากดขี่ ทุกเผ่าต้องกราบไหว้เทพเพื่อมีชีวิตรอด”

“จากนั้นค่อยเกิดสงคราม ต่อต้าน กำราบ ผงาดง้ำ ฟ้าถล่ม ต่อกรกับเทพ”

“ทุกครั้งล้วนล้มเหลว หลังจากพ่ายแพ้ โลกที่ 5 ถูกลบเลือนทุกสิ่ง เริ่มใหม่อีกครั้ง กลายเป็นอาหารของเทพเจ้าต่อ”

ฝีพายกล่าวต่อเนื่อง คำพูดราวกับกลายเป็นสัญลักษณ์ของกาลเวลา ถักทอเป็นสายน้ำแห่งกาลเวลา ไหลบ่าเสริมความเข้าใจของสวี่ชิง

“กระทั่งครั้งสุดท้าย ภายใต้การนำทัพของจักรพรรดิเผ่ามนุษย์แห่งโลกที่ 5 ได้สร้างความเจิดจรัสซึ่งไม่เคยมีมาก่อน ทำให้สงครามระหว่างเซียนกับเทพ เบื้องบนและเบื้องล่างมาถึงขีดสุด”

“ในสงครามเมื่อจักรพรรดิมนุษย์แห่งโลกที่ 5 ก้าวสู่ระดับจอมเซียน จอมเทพแห่งวงแหวนที่ 5 เกิดเรื่องเกินคาดหมาย กระทั่งล้มล้างวงแหวนที่ 5 ปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่”

“ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกเรียกว่าบรรพชนคนที่ 5”

ฝีพายกล่าวจบแล้วเงยหน้ามองม่านฟ้า ท่าทางเหมือนทอดถอนใจ

สวี่ชิงฟังเงียบๆ หลายครั้งประวัติศาสตร์ล้วนมีความเหมือนกัน

อย่างเช่นวงแหวนที่ 5 นี้ ความจริงก็คล้ายแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ระดับหนึ่ง

แต่เห็นชัดว่าความคืบหน้าที่นี่ราบรื่นกว่า

“ถ้าอย่างนั้นวงแหวนชั้นบนอื่น…” สวี่ชิงเอ่ยถามตามสัญชาตญาณ

“ส่วนใหญ่ล้มเหลว มีเพียงแห่งเดียว เดิมทำให้สำเร็จได้ แต่กลับเป็นเพราะเหตุไม่คาดฝันบางอย่าง ทำให้ล้มเหลว”

เสียงฝีพายเหมือนหวนถึงความหลัง ส่ายศีรษะเล็กน้อย

“ด้วย 36 วงแหวนชั้นบนไม่ใช่ของผู้บำเพ็ญ ไม่ใช่ของเซียน ที่นี่… เป็นเขตแดนของเทพ”

“เทพกับเซียน 2 วิถีนี้ เซียน… มีขีดจำกัด ด้อยกว่าเทพก้าวหนึ่ง”

เสียงฝีพายทุ้มต่ำอยู่บ้าง

“ถ้ากล่าวอย่างถูกต้อง เมื่อเซียนถึงระดับจอมเซียนแล้ว ไม่มีหนทางข้างหน้าอีก หลายปีนี้จอมเซียนบนวงแหวนที่ 5 ชะงักเท้ามาตลอด”

“ส่วนเทพ… เหนือจอมเทพขึ้นไปมีวิสุทธิเทพ!”

“วิสุทธิเทพไม่ใช่ตำนาน มีตัวตนจริง”

“แม้ว่าตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันมีเพียงคนเดียว แต่คนผู้นี้ถูกเรียกว่าวิสุทธิเทพองค์แรก ได้ยินว่าเพราะองค์ท่านปรากฏตัว ถึงเกิดโลกชั้นบนและชั้นล่าง”

“ตำนานการสร้างจริงเท็จยากแยกแยะ ประวัติศาสตร์เก่าแก่เกินไป ไม่มีหลักฐานเชื่อถือได้”

คำพูดฝีพายทำให้สวี่ชิงสั่นสะท้าน รุนแรงกว่าคำพูดก่อนหน้านี้

“วิสุทธิเทพองค์แรก…” สวี่ชิงหายใจกระชั้นถี่ ไม่ทันกล่าวจบ ฝีพายรู้ว่าเขาอยากถามอะไรแล้ว

“องค์ท่านไปยังแดนไม่อาจระบุ ไม่กลับมาอีก”

“ยุคสมัยนับไม่ถ้วนต่อจากนั้น 36 วงแหวนชั้นบนไม่มีวิสุทธิเทพอีก กระทั่งซ่างฮวงปรากฏตัวในวงแหวนที่ 9”

“หลังจากวิสุทธิเทพองค์แรก องค์ท่านมีหวังเป็นวิสุทธิเทพมากสุด สิ่งควรค่าแก่การยินดีคือสุดท้ายองค์ท่านก็พ่ายแพ้”

“ไม่อย่างนั้น…”

ฝีพายไม่ได้บอกผลลัพธ์ แต่สวี่ชิงจินตนาการออก

หากซ่างฮวงทำสำเร็จ ทั้ง 36 วงแหวนชั้นบนคงเปี่ยมอานุภาพเทพนับไม่ถ้วน เซียน… ไม่อาจดำรงอยู่ต่ออีก

สวี่ชิงเงียบไป ทำความเข้าใจคำพูดของคนพายเรือข้ามฟากตรงหน้า

เวลา 1 วันอีกฝ่ายบอกเล่ามากมาย ตั้งแต่แก่นสำคัญของระดับเจ้าเหนือหัวรวมถึงการแบ่งขั้น ความสามารถของระดับกึ่งเซียน รวมถึงทัศนคติต่อโลก คล้ายว่าแทบไม่ปิดบังอะไร บอกกล่าวทั้งหมด

เห็นชัดว่าการทำเช่นนี้เหนือขอบเขตงานของคนพายเรือข้ามฟาก

อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องบอกเรื่องพวกนี้กับตนสักนิด

ทั้งคิดเชื่อมโยงถึงตอนแรก เมื่อตนถูกตามล่า การกระทำของอีกฝ่าย…

การคาดเดาทั้งหมดของสวี่ชิงไม่มีสิ่งใดไม่เกิดขึ้นจริง ในใจเขาเกิดความคิดไม่น้อย

เขาสงสัยว่าคนพายเรือข้ามฟากตรงหน้า… มีความเกี่ยวข้องกับแดนต้องประสงค์

ส่วนจะมาจากแดนต้องประสงค์ ทั้งรู้จักกับผู้บำเพ็ญแห่งแดนต้องประสงค์หรือไม่ สวี่ชิงไม่อาจตรวจสอบ แต่เขาสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเหลือบมองกระบี่ตนหลายครั้ง

ดังนั้นหลังจากเงียบไป สวี่ชิงพลันเอ่ยปาก “ผู้อาวุโส รู้จักแดนต้องประสงค์หรือไม่…”

ฝีพายหรี่ตา ไม่เอ่ยวาจา

สวี่ชิงรอสักพัก ก่อนทอดถอนใจ

แม้ว่าอีกฝ่ายไม่ตอบ แต่การไม่ตอบก็ถือว่าบอกคำตอบแล้ว

“ผู้อาวุโส แดนต้องประสงค์เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่…”

ฝีพายยังไม่เอ่ยคำ ดูดบ้องยาสูบ พ่นควันออกมา

สวี่ชิงเงียบไป

ไม่ซักถามอีก

เวลาผ่านพ้นไปเช่นนี้ วันที่ 6… มาเยือนช้าๆ

ค่าข้ามฟากคือชีวิต 6 วันของผู้ข้าม ด้วยเวลาข้ามฟากคือ 6 วัน

ตอนนี้ล่วงเลยมาถึงวันที่ 6 ปลายทางของธารโลหิตเทพเจ้ากว้างใหญ่ปรากฏขึ้นในสายตาสวี่ชิงแล้ว

นั่นคือแดนดาราทางตะวันตกของวงแหวนที่ 5

เมื่อเข้าใกล้ที่นี่ สายน้ำเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ คลื่นเริ่มน้อยลง มีเพียงเรือยังเหมือนเดิม ผ่านไป 2-3 ชั่วยามพลันใกล้ผ่านพ้นวันที่ 6 แล้ว…

ในที่สุดก็ถึงฝั่งแดนตะวันตก

พื้นดินที่นี่ต่างจากทางใต้ ที่นี่ไม่มีหนองบึง แผ่นดินเป็นสีชาด คล้ายแฝงกำลังเพลิงไว้

“ลงไปเถอะ หากเจ้าข้ามฟากเป็นครั้งที่ 2 ค่าใช้จ่ายจะไม่ใช่ชีวิต 6 วันอีก แต่เป็น 60 ปี”

ฝีพายกล่าวราบเรียบ

สวี่ชิงสูดหายใจลึก ลุกขึ้นคารวะ ไม่กล่าวมากความ เคลื่อนตัวก้าวออกจากเรือขึ้นฝั่ง

เมื่อเหยียบผืนดินตะวันตก สวี่ชิงหันกลับมามองเรือ

บนเรือฝีพายคลุมชุดฟางสวมงอบกำลังดูดบ้องยาสูบ ควันที่พ่นออกมาทำให้เงาร่างเขาเปลี่ยนเป็นพร่าเลือนกว่าเดิม

หวนนึกถึง 6 วันนี้ สวี่ชิงก้มหน้า ค้อมตัวคารวะอีกครั้ง “ขอบคุณผู้อาวุโส”

แม้ว่า 2-3 วันหลังอีกฝ่ายไม่ตอบคำถามตน ทั้งไม่เอ่ยปากอีก แต่เรื่องที่บอกตนก่อนหน้านี้มีความหมายยิ่งใหญ่

เท่ากับเปิดโลกทัศน์ของสวี่ชิง

ดังนั้นด้วยนิสัยสวี่ชิง นี่คือบุญคุณใหญ่หลวง

การคารวะของเขาจึงจริงใจยิ่ง

หลังคารวะสวี่ชิงค่อยหันกลับ ท่องเหินจากไปไกล

กระทั่งเงาร่างหายลับจากฝั่ง ในเรือโดดเดี่ยวเหนือธารโลหิตเทพเจ้า ฝีพายเงยหน้าช้าๆ มองทิศทางที่สวี่ชิงจากไป

“ครองกระบี่ เจ้าคนดื้อดึงนั่นตายแล้วหรือ…” เขากล่าวพึมพำ น้ำเสียงเจือแววหวนถึงความหลัง

สักพักค่อยถอนใจแผ่วเบา

“แดนต้องประสงค์… ไม่ได้ยินคำนี้นานแล้ว เกรงว่านามของข้าคงหายไปจากหมื่นเผ่าแห่งแดนต้องประสงค์แล้ว… ถูกลบเลือนไปจากประวัติศาสตร์”

ขณะกล่าวพึมพำฝีพายยกมือขวาขึ้น ก้มมองกลางฝ่ามือ

กลางฝ่ามือเขามีอักขระคล้ายหน้าคนมากมายเปล่งประกาย แผ่กลิ่นอายแปลกประหลาด

หากสวี่ชิงอยู่ที่นี่ต้องจำได้ทันทีแน่…

อักขระส่องประกายคล้ายหน้าคนพวกนั้นคือ… วิชาเซียน!

ขณะเดียวกันกลางอากาศเหนือทางตะวันตกของวงแหวนที่ 5 สวี่ชิงซึ่งออกจากฝั่งมากำลังห้อตะบึงที่นี่ ข้างหูเขามีเสียงผ่อนคลายของจิ้งจอกดินดังมา

“คนก่อนหน้านี้… น่ากลัวอยู่บ้าง ข้ารู้สึกว่ายามเขามองเจ้า มีความคิดอยากจับข้าออกมาขย้ำ”

“สวี่ชิงเจ้ามาที่นี่ ไม่น่าสนุกสักนิด!”

จิ้งจอกดินอกสั่นขวัญแขวน โดยเฉพาะยามหวนนึกถึงธารโลหิตเทพเจ้า ในใจนางยิ่งสั่นสะท้าน

“ช่างเถอะๆ ข้านอนต่อแล้วกัน”

จิ้งจอกดินกล่าวพึมพำ เก็บกลิ่นอายอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นซิงเหยียนเป็นเช่นนี้ สวี่ชิงไม่สะดวกกล่าวอะไรอีก ตอนนั้นเขาเตือนอีกฝ่ายแล้ว สถานที่ที่ตนไปไม่ต้อนรับเทพ

แต่เห็นชัดว่าซิงเหยียนไม่เชื่อ

“ต่อจากนี้คงอันตรายขึ้น…”

สวี่ชิงลังเล สุดท้ายค่อยเอ่ยเตือนอีกครั้ง

เพียงพริบตากลิ่นอายจิ้งจอกดินเก็บงำขึ้นอีกมาก

บนแดนต้องประสงค์เขาเห็นท่าทีเช่นนี้น้อยนัก จินตนาการได้ว่าคนพาข้ามฟากข่มขวัญซิงเหยียนมากเพียงใด

สวี่ชิงเงียบไป ในใจนึกถึงเงาร่างของคนพาข้ามฟากอย่างอดไม่ได้

“เขาเป็นใครกันแน่…” สวี่ชิงพึมพำ

เรื่องนี้ไม่มีคำตอบ

สักพักสวี่ชิงค่อยสูดหายใจลึก เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ ในสมองนึกถึงแผนที่กับข้อมูลของแดนดาราตะวันตก

เทียบกับ 3 แดนอื่น ภาพรวมแดนดาราตะวันตกค่อนข้างด้อยกว่า โดยเฉพาะสำนักเซียนมรรคาสายตรงทางตะวันตก ถือว่าตกต่ำอยู่บ้าง

สาเหตุหลักเป็นเพราะทูตท่องสวรรค์ทางตะวันตก สภาวะจิตเหนือโลกีย์ ไม่สนความก้าวหน้าของสำนัก ไม่สนสายตาโลกภายนอก

ส่วนใหญ่ผู้บำเพ็ญของสำนักไม่มีความเห็นอะไร

แต่ด้วยเหตุนี้ทำให้ขุมอำนาจที่นี่ช่วงชิง รุกราน พัฒนามากกว่า 3 แดนอื่น

เมื่อทราบข้อมูลพวกนี้ สวี่ชิงนึกถึงดาวตะวันตกนั่น

ในฐานะ 8 มหาดารา ผู้อ่อนแอสุดคือศิษย์ทูตท่องสวรรค์สำนักเซียนมรรคา

‘หลี่เมิ่งถู่…’

‘ทางตระกูลมีจุดเด่นอย่างหนึ่ง ชื่อทายาทสายตรงของตระกูลต้องมีคำว่าถู่’

‘พลังบำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัวช่วงต้น ครองอำนาจ 4 อย่าง ใช้พลังต่อสู้ร่วมกับวิชาเวทประหลาดที่สืบทอดจากตระกูล รวมถึงการบ่มเพาะจากอาจารย์ มีผลงานรบว่าเคยสังหารระดับเจ้าเหนือหัวช่วงกลาง’

ยามครุ่นคิดสวี่ชิงจ้องมองฟ้าดินของแดนตะวันตก

‘ที่นี่สงบกว่าทางใต้มาก เหมาะแก่การรักษาบาดแผล ทว่าไม่เหมาะกับการท้าชิงและขัดเกลาตัวเอง’

‘แต่สำหรับข้าตอนนี้ การหาแหล่งฟื้นฟูอาการบาดเจ็บโดยเร็วต่างหากที่สำคัญ’

‘หนทางต่อจากนี้เป็นอย่างไร… ค่อยว่าตามสถานการณ์’

นัยน์ตาสวี่ชิงฉายแววเด็ดเดี่ยว ร่างไหววูบมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!