Skip to content

Outside Of Time 1114

Outside of Time
BC

บทที่ 1114 สาวใช้ตัวน้อยที่น่ารักว่าง่าย

“ผู้อาวุโส ไปเมืองเมฆาทมิฬครั้งนี้ จากเส้นทางที่ตระกูลบอกมาจะใช้เวลาประมาณครึ่งเดือน อีกทั้งจากการทำนายของข้าก่อนหน้านี้ เส้นทางนี้ความเป็นไปได้ที่จะถูกค้นพบก็มีไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”

C

“ดังนั้นผู้เยาว์จึงได้วางแผนเส้นทางขึ้นใหม่ด้วยตนเอง ระหว่างทางจะผ่านทะเลสาบเทียนสุ่ย ภูเขา 9 คด แล้วข้ามทะเลทรายกาลเวลาก็จะถึงค่ายกลส่งข้ามโบราณแห่งหนึ่งเจ้าค่ะ”

“ที่นั่น ผู้เยาว์มีวิธีเปิดใช้งานมัน เพื่อให้พวกเราใช้การส่งข้ามไปถึงยังธารมหาเมฆาที่อยู่ใกล้กับเมืองเมฆาทมิฬที่สุดเจ้าค่ะ”

“เพียงแต่เรื่องเวลา จะนานขึ้นประมาณ 5 วันเจ้าค่ะ…”

บนท้องฟ้า เรือไม้ลำหนึ่งกำลังพุ่งทะยานไปในแสงเรืองรองแห่งขั้วโลก

สวี่ชิงในคราบชายวัยกลางคน นั่งขัดสมาธิอยู่ในเรือไม้ พลิกอ่านตำราโบราณ

ข้างหน้าของเขา อวิ๋นเหมินเชียนฝานที่หน้าตางดงามกำลังเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา

นี่เป็นเวลา 3 ชั่วยามให้หลังนับจากที่พวกเขาเดินทางออกจากเทือกเขาเถ้าวิญญาณมา

ตลอด 3 ชั่วยามนี้ สวี่ชิงอ่านหนังสืออยู่ตลอด ส่วนอวิ๋นเหมินเชียนฝานก็เฝ้าสังเกตอย่างระมัดระวัง

นางรู้ดีว่าเหยียนเสวียนจื่อที่อยู่ข้างหน้าคนนี้คือความหวังในการเดินทางครั้งนี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของตน

แต่นางก็รู้ดีเช่นกันว่า กำลังรบของอีกฝ่ายนั้นไม่ได้สุดยอดไร้เทียมทาน หากพบผู้แข็งแกร่งที่มิอาจต้านทานได้ ย่อมไม่มีทางที่เขาจะสู้จนตัวตายเพื่อนาง

ดังนั้น นางจึงต้องวางแผนเส้นทางใหม่ เพื่อแสวงหาเส้นทางที่ปลอดภัยให้กับตัวเอง

เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงของเส้นทางจะทำให้เวลาที่ใช้เพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นในขณะที่นางเอ่ยปาก ในใจก็กระวนกระวาย สังเกตสีหน้าของสวี่ชิง

“เจ้าจัดการได้เลย”

สวี่ชิงไม่ได้ใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงเส้นทาง แม้จะมั่นใจในกำลังรบของตนเองในตอนนี้ แต่หากไม่ต้องลงมือย่อมเป็นเรื่องดี

เมื่อได้ยินสวี่ชิงตอบเช่นนี้ อวิ๋นเหมินเชียนฝานก็โล่งอก จากนั้นก็บังคับเรือพลางจับตามองสวี่ชิงไปด้วย

ในยามที่เห็นสวี่ชิงขบคิดเนื้อหาในตำราโบราณ นางก็จะควบคุมความเร็วของเรือไม้ ทั้งยังเพิ่มการสกัดกั้นเสียงจากภายนอกด้วย ทำให้ภายในเรือไม้ค่อนข้างเงียบสงบ

เมื่อสังเกตเห็นว่าสวี่ชิงยังคงพลิกอ่านหนังสือต่อไป นางก็จะหยิบผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ออกมาวางไว้ข้างๆ อย่างระมัดระวัง ทั้งยังสังเกตชนิดของผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่สวี่ชิงหยิบขึ้นมาเป็นอันดับแรก พร้อมทั้งจดจำไว้ในใจอย่างเงียบๆ

นอกจากนี้ นางยังประเมินเวลา และหยิบน้ำศักดิ์สิทธิ์กับเหล้าศักดิ์สิทธิ์ออกมา

เมื่อสังเกตได้ว่าสวี่ชิงชอบเหล้าศักดิ์สิทธิ์มากกว่า กาเหล้าที่อยู่ภายใต้การสับเปลี่ยนอยู่ตลอดก็ไม่เคยว่างเปล่าเลย

กระทั่งเมื่อสวี่ชิงวางตำราโบราณลง นางยังหยิบกู่เจิงออกมา ดีดเบาๆ เมื่อพบว่าสวี่ชิงไม่ได้แสดงความไม่พอใจอะไรออกมา นางก็ดีดเบาๆ อย่างขยันขันแข็ง

นอกจากนี้ เวลาที่ผ่านลักษณะภูมิประเทศพิเศษๆ บางแห่ง หากสายตาของสวี่ชิงจับจ้องไป นางก็จะรีบแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะภูมิประเทศบริเวณนั้นที่นางทราบทั้งหมดทันที

ตลอดเส้นทาง นางทำตัวราวกับสาวใช้ ละเอียดรอบคอบยิ่งนัก

แม้การกระทำเหล่านี้ ในตอนแรกยังไม่ค่อยชำนาญ มองออกได้ว่าตั้งแต่เล็กจนโตนางน้อยครั้งนักที่จะทำเช่นนี้

แต่นางตั้งใจมาก พยายามเพื่อให้การเดินทางของสวี่ชิงสะดวกสบายยิ่งขึ้น

พูดได้ว่ายึดสวี่ชิงเป็นหลักไปโดยสมบูรณ์

รายละเอียดเหล่านี้ สวี่ชิงมองเห็นอยู่กับตา ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยห้าม

เช่นนี้เอง 3 วันผ่านไป

ทะเลสาบสีครามผืนหนึ่งปรากฏบนแผ่นดินที่ไกลๆ

มองไปจากท้องฟ้า ทะเลสาบแห่งนี้ราวกับกระจกบานหนึ่ง ผิวน้ำราบเรียบสงบนิ่ง อีกทั้งพลังวิญญาณก็เข้มข้น แผ่ความบริสุทธิ์ออกมา

“ผู้อาวุโส ข้างหน้าคือทะเลสาบเทียนสุ่ยเจ้าค่ะ”

“ตำนานเล่าว่าเมื่อเนิ่นนานมาแล้วในอดีตกาล ในสงครามระหว่างเทพและเซียน คู่บำเพ็ญของผู้นำเซียนเมี่ยวฉีนามว่าเทียนสุ่ย ได้แตกดับลงที่นี่ จนกระทั่งสงครามสิ้นสุดลง ผู้นำเซียนเมี่ยวฉีได้มาถึงที่แห่งนี้ ความรู้สึกคิดถึงคนึงหาพลันผุดขึ้นมา น้ำตาหลั่งรวมกันกลายเป็นทะเลสาบสีครามแห่งนี้เจ้าค่ะ”

ทันทีที่อวิ๋นเหมินเชียนฝานเอ่ยปาก สวี่ชิงก็วางตำราโบราณในมือลง สายตาจับจ้องไปยังทะเลสาบเทียนสุ่ย

เมื่อเห็นสวี่ชิงสนใจตำนานนี้ อวิ๋นเหมินเชียนฝานก็รีบบังคับเรือไม้ทันที ทำให้เรือค่อยๆ ชะลอความเร็วจากการเคลื่อนทะยานไปอย่างเร็วรี่ สุดท้ายก็มาลอยอยู่เหนือทะเลสาบเทียนสุ่ย

ตำแหน่งนี้ทำให้การสังเกตของสวี่ชิงชัดเจนและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

“ทะเลสาบแห่งนี้…”

ในดวงตาของสวี่ชิงฉายประกายแสงเย็นเยือก ยกมือขึ้นคว้า ทันใดนั้น น้ำทะเลสาบแต่ละหยดๆ ก็ลอยขึ้นมาจากในทะเลสาบเทียนสุ่ยที่อยู่ล่าง แล้วพุ่งตรงมาหาสวี่ชิง

ตกลงบนฝ่ามือของเขา

น้ำนี้ดูเหมือนปกติ แต่ผ่านจากวิถีแห่ง 5 ธาตุของสวี่ชิง เขาสัมผัสได้ว่าน้ำทะเลสาบนี้เหมือนว่าจะมีชีวิต แฝงไว้ด้วยเจตจำนง

“ยังคงมีความแตกต่างอยู่บ้าง…”

ในดวงตาของสวี่ชิงอำนาจวิชาเซียนหมุนวนขึ้น เจตจำนงแห่ง 7 อารมณ์ 6 ความปรารถนาแผ่ซ่าน ผนวกเข้ากับธาตุทั้ง 5 ของตน หลังจากตรวจสอบอีกครั้ง เขาก็พบว่าสิ่งที่แฝงอยู่ แท้จริงแล้วไม่ใช่เจตจำนง

แต่เป็นอารมณ์

ในน้ำทะเลสาบนี้ มีความโศกเศร้าอย่างล้ำลึกอยู่

การค้นพบนี้ทำให้จิตใจของสวี่ชิงสั่นไหว ความคิดแผ่ขยายออกไป จมดิ่งลงสู่ห้วงความคิด

“การหลอมรวมของธาตุทั้ง 5 กับอารมณ์ บางทีอาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มากยิ่งขึ้น”

“ข้อนี้ ก็มีความคล้ายคลึงกับแก่นแท้ของวิชาเซียนอยู่บ้าง…”

อวิ๋นเหมินเชียนฝานที่อยู่ข้างๆ สังเกตเห็นฉากนี้ก็ไม่กล้ารบกวน นางคอยเฝ้าระวังรอบทิศทางอยู่ด้านหนึ่ง คอยคุ้มกันให้สวี่ชิง

เวลาผ่านไปทีละนิดๆ ครึ่งชั่วยามต่อมา สวี่ชิงยังคงครุ่นคิด แต่สีหน้าของอวิ๋นเหมินเชียนฝานกลับเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล จู่ๆ นางพลันเงยหน้าขึ้นทอดสายตามองไปที่ปลายขอบฟ้า

ที่ปลายขอบฟ้า สายรุ้งทางหนึ่ง มาด้วยความเร็วที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง กำลังพุ่งทะยานมาที่นี่

ในนั้นเป็นชายชราสวมชุดคลุมยาวสีเทา ด้วยพลังบำเพ็ญระดับเตรียมสู่เทวะโลก 7 ใบ ทำให้การมาถึงของเขาส่งผลให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี

ท้องฟ้าสั่นไหว ผืนดินคำราม ทั่วทั้ง 8 ทิศต่างได้รับผลกระทบ

ส่วนอวิ๋นเหมินเชียนฝาน ทันทีที่เห็นได้อย่างชัดเจน ก็จำผู้มาเยือนได้ทันที

“เซียวเจิง!”

นางจิตใจสั่นสะท้าน

“ผู้อาวุโสที่ปรึกษาแห่งตระกูลตี้หลิง!”

สำหรับผู้แข็งแกร่งของตระกูลตี้หลิง นางในฐานะที่เป็นคนสำคัญของตระกูลอวิ๋นเหมิน ย่อมมีความเข้าใจในด้านข้อมูลเป็นอย่างดี ตอนนี้หลังจากที่จำได้ นางก็หายใจถี่กระชั้น วิกฤตแห่งความเป็นตายรุนแรงอย่างยิ่ง

ขณะเดียวกันความรู้สึกขมขื่นและสิ้นหวังก็เอ่อล้นขึ้นในใจอย่างไม่อาจควบคุมได้

ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงเลยว่าตนเองเปลี่ยนเส้นทางแล้ว ก็ยังจะถูกดักสกัดได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ อีกทั้งพลังบำเพ็ญของผู้มาถึงยังสูงถึงปานนี้

“ผู้บำเพ็ญระดับสูงที่สุดที่ผู้อาวุโสเหยียนเสวียนจื่อสังหารไปก่อนหน้านี้เป็นเพียงระดับเตรียมสู่เทวะ 6 โลกเท่านั้น…”

ในขณะที่อวิ๋นเหมินเชียนฝาจิตใจร้อนรนอยู่นั้น บนท้องฟ้า เซียวเจิงสายตากวาดมอง จับเป้าหมายไปที่เรือไม้ สีหน้าของเขาเย็นชา ราวมองมดปลวก ไม่มีคำพูดใดๆ ก้าวมาในพริบตา

ภารกิจของเขา ไม่ใช่เพียงแค่สังหารคนสำคัญคนนี้เท่านั้น แต่เป็นทั้ง 2 คน

แม้ว่าอีกฝ่ายจะฉลาดอยู่บ้าง คาดเดาได้ว่าตัวเองเป็นเหยื่อล่อ จึงเปลี่ยนเส้นทาง แต่…

“เดาผิดแล้ว”

“นี่ไม่ใช่เหยื่อล่อ แต่นี่คือการเดิมพัน”

เซียวเจิงสีหน้าเรียบเฉย สายตาไม่ได้มองอวิ๋นเหมินเชียนฝานที่อยู่ในความสิ้นหวังและสั่นสะท้าน แต่กลับจับจ้องไปที่สวี่ชิง จากนั้นขณะที่ยกมือขึ้น ฟ้าดินก็คำราม

ฝ่ามือมหึมาข้างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ หอบกวาดไปในฟ้าดิน พุ่งเข้าตะครุบเรือไม้อย่างดุดัน

กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว พลังกดดันอันแข็งแกร่ง ทำให้กายเนื้อและวิญญาณของอวิ๋นเหมินเชียนฝานราวถูกแช่แข็ง ตกอยู่ในภาวะหายใจไม่ออก ไม่อาจขยับได้เลยแม้เพียงน้อยนิด ทำได้เพียงแค่มองดูมือมหึมานั่นกำลังซัดลงมา

และในเสี้ยวพริบตานี้เอง สวี่ชิงที่นั่งอยู่ในเรือไม้ก็เงยหน้าขึ้น สายตามองไปอย่างสงบนิ่ง

เพียงการชำเลืองมองนี้…

มือมหึมาที่กำลังซัดลงมาพลันหยุดชะงัก

ไม่อาจกดลงมาได้อีก

จากนั้นก็ส่งเสียงดังบึ้ม ระเบิดแหลกในชั่วพริบตา

ขณะเดียวกัน พลังกดดันและการแช่แข็งที่ปกคลุมร่างของอวิ๋นเหมินเชียนฝานก็แตกสลายไปเป็นเสี่ยงๆ ในเสี้ยวพริบตานี้เอง

ความรู้สึกหายใจไม่ออกก็หายไปในทันทีเช่นกัน

ทันทีที่สัมผัสรับรู้กลับคืนมา อวิ๋นเหมินเชียนฝานที่กำลังหอบหายใจฮัก ก็เห็นเซียวเจิงที่ก่อนหน้านี้ยังคงสุขุมเยือกเย็นอยู่บนท้องฟ้า สีหน้าเย็นชาของเขากำลังเปลี่ยนไป ความหวาดกลัวเข้าแทนที่อย่างรวดเร็ว

จากนั้น ในครรลองที่ไม่อยากจะเชื่อของอวิ๋นเหมินเชียนฝาน เซียวเจิงคนนี้ถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าเปลี่ยนจากความหวาดผวาเป็นซีดเผือด คล้ายว่าอยากจะหลบหนี

เซียวเจิงในเวลานี้ ในใจกำลังคำรามกึกก้อง ราวกับมีสายฟ้าฟาดนับไม่ถ้วนระเบิดออก

ก่อนที่เขาจะมา ก็รู้ว่าผู้คุ้มกันคือเหยียนเสวียนจื่อ และยังเข้าใจข้อมูลและกำลังรบของอีกฝ่าย ล่วงรู้ถึงความสามารถของอีกฝ่าย

แต่ในสายตาของเขา แม้เหยียนเสวียนจื่อคนนี้จะนับว่าพอใช้ได้ แต่เมื่ออยู่ภายใต้การลงมือของตนแล้วไม่มีทางที่จะต่อกรได้เลย

ทว่าเขาไม่ว่าจะอย่างไรก็คาดไม่ถึง อีกฝ่าย…ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เพียงแค่สายตาที่มองมา ก็ทำให้พลังวิเศษของตนพังทลาย

“กำลังรบเช่นนี้ คนคนนี้… คนคนนี้…”

เซียวเจิงร่างกายสั่นเทา หนังศีรษะชาหนึบ ในยามนี้เขาได้ปะทุพลังทั้งหมดแล้ว กำลังจะหนีไปจากที่นี่

ทว่าเมื่อหนีๆ ไป จิตใจของเขาก็คำรามกึกก้องอีกครั้ง

เขาพบว่า ต่อให้ตนจะใช้เคล็ดวิชาลับเพิ่มความเร็ว แต่ทุกสิ่งเบื้องหน้ากลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เหมือนว่ามิติที่ตนอยู่กลายเป็นไร้ขอบเขตที่สิ้นสุด

ข้างล่างยังคงเป็นทะเลสาบเทียนสุ่ย รอบๆ ยังคงเป็นสถานที่ที่อยู่เมื่อครู่

ภาพฉากนี้ทำให้ขณะที่จิตใจของเขาปั่นป่วนก็พลันรู้สึกอีกว่าครรลองสายตาพร่าเลือน อีกทั้งบนใบหน้ายังมีบางสิ่งเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย

นั่นคือน้ำตา

หยาดน้ำตาหยดแล้วหยดเล่า กำลังไหลรินจากหางตาโดยที่เขาไม่อาจควบคุมได้

มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ…

ไหลจนแห้งเหือดในพริบตา เปียกชุ่มไปทั่วร่าง

จากนั้น ก็เริ่มเลือดไหล

น้ำตาเลือดเต็มใบหน้า!

และเลือดก็แห้งเหือดอย่างรวดเร็วเช่นกัน ชีวิตเริ่มไหลริน

จนกระทั่งท้ายที่สุด ชีวิตราวทะลักรั่วไหล แห้งเหือดหายไปในพริบตา ส่วนกายเนื้อและวิญญาณตลอดจนทุกสิ่งของเขา ในเสี้ยวพริบตานี้ ได้กลายเป็นเถ้าธุลี

โปรยปรายไปในฟ้าดิน

ภาพฉากนี้แปลกพิสดารอย่างยิ่ง!

สะท้อนให้เห็นอยู่ในครรลองสายตาของอวิ๋นเหมินเชียนฝาน นางทั้งคนยืนนิ่งตะลึงงันอยู่ตรงนั้น

นางไม่อาจเชื่อทุกสิ่งที่เพิ่งเห็นนี้ได้ แม้ในตอนนี้สายตาจะมองเห็นเพียงเถ้าธุลีที่สลายไป แต่ภาพก่อนหน้านี้ได้ตราประทับอยู่ในความทรงจำของนางแล้ว

นางมองผู้อาวุโสที่ปรึกษาแห่งตระกูลตี้หลิงผู้นั้นร่ำไห้กลางอากาศกับตา

จากนั้นก็เลือด ต่อมาก็ชีวิตก็ไหลริน

ร้องไห้จนกระทั่งตนเองกลายเป็นเถ้าธุลีไปทั้งเป็น

ภาพในความทรงจำนี้ทำให้นางเหม่อลอย

หายใจอย่างรุนแรง ในใจก่อเกิดคลื่นลูกใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ในคลื่นแต่ละลูกล้วนแฝงไว้ด้วยความเหลือจะเชื่อ

กระทั่งมีอยู่เสี้ยวพริบตาหนึ่ง นางถึงกับคิดว่าตนเองมองผิดไป

ส่วนสวี่ชิง ดึงสายตากลับ แอบส่ายศีรษะกับตัวเอง

“คล้ายคลึงกับวิชาเซียนจริงๆ แต่พลังนั้นธรรมดา สังหารระดับเตรียมสู่เทวะยังพอได้ แต่สำหรับผู้บำเพ็ญระดับเจ้าเหนือหัว แทบไม่มีผลอะไร และยังดูสวยแต่ใช้การจริงไม่ได้”

ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้ลุกไปจากเรือไม้เลย เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองผาดหนึ่ง ตอนนี้ก็หยิบตำราโบราณข้างกายขึ้นมา ก้มหน้าอ่านต่อไป

ครู่หนึ่ง สังเกตเห็นว่าอวิ๋นเหมินเชียนฝานยังคงใจลอย สวี่ชิงจึงใช้ตำราโบราณในมือเคาะเบาๆ ไปบนกระดานเรือ

เสียงนั้นดังเข้าไปในหูของอวิ๋นเหมินเชียนฝาน ทำให้จิตใจที่กระเจิดกระเจิงเนื่องจากความตื่นตะลึงของนางกลับมารวมกันอีกครั้ง

“ไปเถอะ” สวี่ชิงเอ่ยราบเรียบ

อวิ๋นเหมินเชียนฝานสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามทำให้ตัวเองฟื้นสติคืนมาแต่ระลอกคลื่นในใจ เห็นได้ชัดว่าไม่อาจสงบลงได้เร็วขนาดนั้น

ใช้เวลาพักหนึ่ง นางจึงพอฟื้นสติกลับมาได้บ้าง รีบบังคับเรือพุ่งไปยังที่ไกลทันที

และสายตาที่มองไปยังสวี่ชิง ในยามนี้ก็อดไม่ได้ที่จะแปลกไป อดถามขึ้นประโยคหนึ่งไม่ได้ “ผู้อาวุโส… เส้นทางต่อจากนี้ของเราจะเอาอย่างไรดีเจ้าคะ”

“เจ้าจัดการเลย” สวี่ชิงไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา อ่านหนังสือต่อไป

“ได้เจ้าค่ะ!” อวิ๋นเหมินเชียนฝานพยักหน้าอย่างน่ารักว่าง่าย

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!