Skip to content

Outside Of Time 1139

Outside of Time
BC

บทที่ 1139 ในนิทาน

ลมพัดมาไกลๆ ทำให้หมอกซึ่งวิวัฒน์จากปราณเซียนม้วนตลบ แผ่ลามเข้าวังเซียน

C

สุดท้ายค่อยมาถึงแท่นรับเซียนของวังเซียน

เคลื่อนผ่านกายเหล่าผู้บำเพ็ญที่นี่

นั่นคือแท่นหินสีดำมหึมา พื้นผิวเปี่ยมตะไคร่เขียว แผ่เจตจำนงเก่าแก่กับกาลเวลาล่วงเลย คล้ายว่าการยืนอยู่ที่นี่คือการก้าวเข้าสู่ห้วงเวลา

ส่วนตรงกลางมีป้ายหินหนึ่งตั้งตระหง่าน บนนั้นเขียนข้อมูลเกี่ยวกับ 3 เส้นทาง แต่เหมือนว่าเวลาผ่านมานานเกินไป ดังนั้นตัวอักษรเลยรางเลือน

ตอนนี้แท่นรับเซียนมีเงาร่างนับ 10

ผู้บำเพ็ญทุกคนจากโลกภายนอกซึ่งเข้าวังเซียนมา ทั้งหมดล้วนปรากฏตัวที่นี่ทันที

จากนั้นค่อยเลือกเส้นทางที่นี่

เมื่อสวี่ชิงกับหลี่เมิ่งถู่รวมถึงบรรพจารย์ตี้หลิงเผยตัว ผู้บำเพ็ญที่นี่กลายเป็นรุ้งยาวมากมาย พุ่งทะยานไปทางซ้าย

หลังจากเข้าใกล้เหมือนเสียความสามารถในการทะยานอากาศ ทยอยร่วงลงบนพื้น แต่ละคนต่างเฝ้าระวัง เว้นระยะห่างช่วงหนึ่ง ก้าวเดินไปข้างหน้า

สถานที่ซึ่งพวกเขาเดินไป ปราณหมอกไม่เข้มข้น แต่เหมือนห้วงมิติต่างออกไป เทียบกับแท่นรับเซียนแล้ว ที่นั่นมืดสลัวกว่ามาก

ขณะเดียวกันยังมีฝนตกปรอยๆ

พื้นดินยิ่งเป็นเลนโคลน

แต่เห็นชัดว่าคนเดินมากขึ้น มองออกว่าที่นั่นมีทางเดินเล็กสายหนึ่ง

เงียบสงบ มืดสลัว

มีเพียงฝนพรำๆ ตกลงมาไม่หยุด กลืนเหล่าผู้บำเพ็ญซึ่งเดินห่างออกไปช้าๆ

สวี่ชิงจ้องมองทางนี้ ไม่ได้เคลื่อนไหวทันที แต่ถอนสายตากลับ สำรวจเส้นทางอื่นรอบๆ

ปราณหมอกก็เช่นกัน ให้ความรู้สึกชุ่มชื้น เมื่อกระทบตัว ผิวหนังสัมผัสได้ชัดเจน โดนเสื้อผ้าแล้วเกาะตัวเป็นหยดน้ำ

ปราณเซียนก็จริงแท้

เมื่ออยู่ที่นี่ สวี่ชิงรู้สึกว่าพลังบำเพ็ญตนเพิ่มขึ้นกว่าโลกภายนอกไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากนี้ยังมีเสียงลำนำดังมา

ทิศทางคือแดนเสวนาเต๋าตรงส่วนลึกของวังเซียนที่เห็นจากโลกภายนอกก่อนหน้านี้

สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น

เมื่อมองจากแท่นรับเซียนที่เขาอยู่ ด้วยอยู่ภายในวังเซียนมหึมา สายตาจึงยากเห็นจุดสิ้นสุด เห็นเพียง… ปราณหมอกหนาแน่นบดบังห้วงอากาศข้างหน้า

ในความรางเลือนเหมือนมีสะพานหนึ่ง

บนสะพานคล้ายมีคนผู้หนึ่งกำลังก้าวไปข้างหน้าท่ามกลางหมอกหนา

“นั่นคือซิงหวนจื่อ เมื่อครู่ยามปรากฏตัว ข้าเห็นว่าทิศทางที่เขาไปคือสะพานนี้” หลี่เมิ่งถู่กล่าวเสียงขรึม

แท่นรับเซียนที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ นอกจากพวกเขาแล้วไม่มีใคร ผู้เข้าร่วมคนอื่นต่างเลือกทางเข้าวังเซียนแล้ว

“ไม่ทราบว่าพี่สวี่เลือกทางใด หากเลือกเส้นทางเล็ก พวกเราย่อมร่วมทางกันได้” หลี่เมิ่งถู่พูดจบ บรรพจารย์ตี้หลิงหันมองอย่างคาดหวังทันที

สวี่ชิงเงียบไป มองเงาร่างที่ยิ่งเดินยิ่งห่างออกไปบนสะพานกลางหมอกหนาตรงหน้า ในหัวนึกถึงคำพูดเกี่ยวกับ 3 เส้นทางของบรรพจารย์ตี้หลิงก่อนหน้านี้ สักพักค่อยเอ่ยปากช้าๆ “ข้าอยากไปทางสะพานนี้”

บรรพจารย์ตี้หลิงตกตะลึงในใจ

หลี่เมิ่งถู่กลับไม่ผิดคาดนัก แค่มองสวี่ชิงอย่างลึกซึ้ง ประสานหมัดคำนับก่อนเดินไปทางเล็กด้านซ้าย

เขาทอดถอนใจเช่นกัน

ใช่ว่าถอนใจให้สวี่ชิง แต่เป็นตัวเอง

ในฐานะดาวแน่นอนว่าเขาอยากก้าวไปให้ไกลขึ้น แต่เขาทราบว่า… สะพานนั้น ต่อให้ตนรับการสืบทอดบัญญัติแล้ว แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะรอดกลับมา

‘นับตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ผู้เดินบนทางนั้นได้หายากดั่งขนหงส์เขากิเลน ผู้รอดชีวิต… ล้วนบรรลุบัญญัติของตน ไม่ได้อาศัยมรดกจากเบื้องบน’

หลี่เมิ่งถู่เดินห่างไปช้าๆ

บรรพจารย์ตี้หลิงคิดจะกล่าวอะไรแต่กลับหยุดไป สุดท้ายค่อยคารวะ เลือกก้าวเข้าทางสายเล็ก

ไม่นานเงาร่างทั้ง 2 ก็หายไป

บนแท่นรับเซียนเหลือเพียงสวี่ชิงคนเดียว

เขาไม่ได้ก้าวไปบนทางข้างหน้า แต่นัยน์ตาฉายแววประหลาด หันมอง… ด้านขวา!

ทางขวาหมอกหนาแน่นถึงขีดสุด ไม่อาจมองทะลวงผ่าน ไม่เห็นอะไรในนั้นแม้แต่น้อย

สิ่งที่เห็นมีเพียงปราณหมอกม้วนตลบ

ทั้งมี… เสียงน้ำไหลดังมาจากปราณหมอก

ทางด้านขวามีแม่น้ำสีดำสายหนึ่ง ผู้เข้าไปมีแต่ตายสถานเดียว

ตัวอักษรบนป้ายหินตรงแท่นรับเซียน แม้เลือนรางตามกาลเวลาล่วงเลย แต่ข้อมูลที่บันทึกบนนั้น ไม่มีทางเลือนหายตามกาลเวลา ผ่านวิธีบอกกันปากต่อปาก กลายเป็นเบาะแสสำคัญของวังเซียนแสงเหนือ

บรรพจารย์ตี้หลิงทราบเพียงเท่านี้

“ที่นั่นมีการชักนำของบัญญัติ…”

ชั่วพริบตาก่อนก้าวเข้าแท่นรับเซียน สวี่ชิงรู้สึกว่าบัญญัติกาลอวกาศของตนตอบสนองกับกาลอวกาศทางด้านขวา

คล้ายเรียกหากัน

การขานรับนี้ การชักนำนี้ การเรียกหานี้ รวมตัวกันในใจสวี่ชิง ทำให้เขาเกิดความรู้สึกยากอธิบาย

ที่นั่นมีมรรคาร่วมแหล่งกำเนิดเดียวกับตน

‘แดนเซียนดับสลายแห่งนี้ ความรู้สึกที่ข้าสัมผัสได้แต่แรกคือไม่ได้อยู่ภายในกาลอวกาศ’

‘หลังจากเปิดออก ความรู้สึกนี้ยิ่งเด่นชัด’

‘ชัดเจนว่าที่นี่… แฝงบัญญัติกาลอวกาศเหมือนข้า!’

สวี่ชิงหรี่ตา ถ้าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นที่อื่นคงเสี่ยงอันตรายยิ่ง ด้วยสิ่งที่มาจากแหล่งเดียวกัน… ยากจะอยู่ร่วมกันได้

ด้วยฝ่ายแข็งแกร่งจะกลืนกินฝ่ายอ่อนแอ

แต่การสิ้นชีพของผู้นำเซียนจี๋กวงกลับต่างออกไป

“เห็นชัดว่าบัญญัติเขาคือแสงเหนือ หรือหลังจากบัญญัติกาลอวกาศก้าวมาสุดทางแล้วจะเป็นแสงเหนือ หรือว่า… ผู้นำเซียนจี๋กวงคนนี้เปลี่ยนมรรคา”

สวี่ชิงพึมพำ เชื่อมโยงกับความรู้สึกเขาที่ว่าบัญญัติกาลอวกาศไม่มีที่มา จากมุมมองเขาเรื่องนี้เป็นไปได้ว่าผู้นำเซียนจี๋กวงเคยเปลี่ยนมรรคา

ดังนั้นหลังจากพึมพำสักพัก นัยน์ตาสวี่ชิงฉายแววเด็ดเดี่ยว

หวังให้บัญญัติกาลอวกาศของตนก้าวไปไกลขึ้น เขาต้องเข้าใจแก่นทั้งหมดของเส้นทางนี้ การหยั่งรู้ด้วยตัวเองถือเป็นวิธีการหนึ่ง การสังเกตร่องรอยเส้นทางนี้ของคนอื่นก็เป็นอีกวิธี

ทั้ง 2 อย่างล้วนเป็นวาสนา

ดังนั้นครู่ต่อมาเงาร่างสวี่ชิงพลันวูบไหว ก้าวเข้าหมอกหนาแน่นด้านขวา

หายไปในนั้นชั่วพริบตา

มีเพียงปราณหมอกม้วนพัดตลอด

กลายเป็นทุกสิ่งตรงหน้าสวี่ชิง

ขวางประสาทสัมผัสผ่านกายเนื้อ รวมถึงการรับรู้ด้านพลังบำเพ็ญ ถึงขั้นว่าเมื่อสวี่ชิงเดินหน้า แม้แต่เสียงแม่น้ำยังหายไปทีละน้อย

สิ่งที่เห็นคือความมืดสนิท

แยกไม่ออกว่าใช่หมอกหรือไม่ ทั้งสัมผัสไม่ได้ว่าตนก้าวลงแม่น้ำหรือยัง

ทุกสิ่งมีเพียงความมืดสนิท

ทั้งไม่มีอันตรายมาเยือน

มีเพียงความมืดซึ่งปราศจากจุดเริ่มต้นและสิ้นสุด

ที่นี่เวลาเหมือนไม่มีความหมาย ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร สวี่ชิงคอยระวังตัวท่ามกลางความมืดสนิท สุดท้ายค่อยเดินมาถึงปลายทาง

แม้แต่ปลายทางยังมืดมิด

สาเหตุที่บอกว่าเป็นปลายทาง ด้วยท่ามกลางความมืดมิดยังมีปราการไร้รูปอยู่

ขวางทางข้างหน้าไว้

วิชาเวทไม่อาจทะลวงผ่าน

พลังวิเศษยากทลาย

กายเนื้อยิ่งถูกปิดกั้น

ตรงปลายทางนี้ ต่อหน้าปราการไร้รูป หลังจากสวี่ชิงหยั่งเชิง เขาเงียบไปสักพัก ครู่ต่อมาเขาหลับตาลง ขั้วที่ 8 ในตัว สภาวะกาลอวกาศ…

เปิดออกฉับพลัน

ห้วงคิดยกระดับ

คล้ายว่าพ้นจากความมืดนี้ เดินออกจากภาพวาดมาข้างนอก อาศัยแนวคิดของบัญญัติกาลอวกาศ สำรวจมองสถานที่ซึ่งกำลังอยู่…

เดิมที่นี่เป็นเพียงจุดสีดำ

ทว่าจุดนี้กลับใหญ่โตหาใดเปรียบ

ทั้งไม่ได้มีเพียงจุดเดียว

จุดสีดำนี้มีนับไม่ถ้วน…

พวกมันเรียงกันตามลำดับ ก่อตัวเป็นเส้นหนึ่ง

การชักนำไร้รูปเข้าปกคลุม ทำให้สวี่ชิงตระหนักว่าที่นี่เหมือนทำได้แค่เดินหน้าหรือถอยหลัง ไม่อาจก้าวซ้ายขวา

ในห้วงคิดสวี่ชิงยังพบว่าเส้นที่เกิดจากจุดดำนับไม่ถ้วนนี้ ไม่มีระดับ

ตัวจุดดำก็เป็นเช่นนี้

2 ข้างเส้นเหมือนไม่ว่างเปล่า คล้ายว่าสิ่งสูงสุดของที่นี่มีเพียงเส้นนี้เท่านั้น

ดังนั้นหากฝืนมอง 2 ข้างทาง สิ่งที่เห็นคือภาพบิดเบี้ยว ทั้งความบิดเบี้ยวนี้ยังส่งผลต่อตัวเองด้วย

ต่อให้สวี่ชิงครองบัญญัติกาลอวกาศ เห็นสิ่งที่ต่างออกไปอย่าง… เสี้ยวกาลอวกาศนับไม่ถ้วน

แต่เมื่อมองนานๆ ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อการยกระดับห้วงคิดนัก

มีเพียงหยั่งสัมผัสทางเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ทุกอย่างถึงจะเป็นปกติ

นี่คือโลกแปลกประหลาดและเรียบง่ายถึงขีดสุด

สักพักสวี่ชิงค่อยดึงห้วงคิดกลับมา ลืมตากลางจุดดำนี้

“ห้วงคิดของบัญญัติกาลอวกาศออกจากจุดดำนี้ได้ แต่กายเนื้อข้าทำไม่ได้” สวี่ชิงพึมพำ

กล่าวได้ว่ากายเนื้อคือจุดอ่อนของเขายามครองบัญญัติ

จากทิศทางนี้เขามีแผนการบางส่วน

อย่างเช่นปกติเมื่อเจอการต่อสู้ระยะสั้นยังฝืนปกปิดได้ แม้ว่าร่างกายแห้งเหี่ยว แต่ขอเพียงการต่อสู้จบเร็ว ผลกระทบก็ยังรับได้

แต่เห็นชัดว่าที่นี่ไม่อาจสำรวจได้ในเวลาอันสั้น

ดังนั้นหลังจากสวี่ชิงครุ่นคิด เขาเลือกเก็บกายเนื้อไว้ในหอคอยดารา ส่งมันไปในห้วงเวลาปลอดภัย

ความจริงวิธีนี้มีข้อบกพร่อง ด้านหนึ่งคือความปลอดภัยเป็นเพียงการเปรียบเทียบ ไม่ได้แน่นอน

อีกด้านคือทิ้งเวลานานไม่ได้

มิฉะนั้นย่อมแห้งเหี่ยวเหมือนเดิม

หลังจากทำเรื่องทั้งหมดเสร็จ ห้วงคิดบัญญัติกาลอวกาศของสวี่ชิงไม่มีพันธนาการใดอีก เคลื่อนตัวหาปราการตรงปลายทางเบื้องหน้าเบาๆ

ทะลวงผ่านชั่วพริบตา

ปรากฏตัวบนแดนประหลาดนี้อีกครั้ง เลียบตามเส้นทาง… ปล่อยตัวตามการชักนำของพลังบนโลกนี้ มุ่งหน้าต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก

เขาอยากเห็นจุดสิ้นสุดของที่นี่

ที่นี่เวลาไม่มีความหมายจริงๆ หรือกล่าวอย่างถูกต้องคือที่นี่ไม่มีเวลา

ห้วงมิติกลายเป็นอดีต

มีเพียงมุ่งหน้าต่อเนื่อง นี่คือหนทางเดียวของที่นี่

ดีว่าที่นี่มีตัวตนอื่นเหมือนสวี่ชิง ไม่ได้มีแค่เขาเท่านั้น

ระหว่างทางเขาเห็นเงาร่างที่มีสภาพคล้ายตนร่างหนึ่ง

นั่นคือขวดยา มีแขนขา หนวดเคราขาว

รูปร่างแปลก คล้ายตัวประหลาด

มันยืนบนเส้นนั้น มีลูกกลอนบางส่วนลอยออกมาจากขวดยาเป็นครั้งคราว ร่วงหล่นลงบนจุดดำที่ก่อตัวเป็นเส้นสาย ทำให้สีสันของพวกมันดำสนิทกว่าเดิม

เมื่อสังเกตเห็นสวี่ชิง ขวดยายิ้มอย่างอบอุ่น เอ่ยปากกล่าวเสียงเบา “ยินดีต้อนรับเข้าสู่นิทาน”

พูดจบแล้วค่อยชี้สถานที่ห่างไกล ไม่เอ่ยวาจาอีก

สวี่ชิงจ้องมองครู่หนึ่ง ก่อนเดินหน้าต่อ จากนั้นค่อยเจอตัวประหลาดที่ 2

นั่นคือปลาหมึกยักษ์ตัวหนึ่ง แต่ละหนวดมีหน้าอยู่ แสดงออกต่างกันไป กำลังก่นด่าสาปแช่ง

หลังจากสังเกตเห็นสวี่ชิง ทุกหน้าล้วนฉายแววแปลกใจ ก่อนหลั่งน้ำตาช้าๆ

สวี่ชิงเงียบไป มองปลาหมึกยักษ์ร้องไห้ เขาไม่เข้าใจ ได้แค่จากไป

ระหว่างทางยังเห็นนิ้วมือหนึ่ง มีศีรษะเป็นราชสีห์

ร้องบอกตนว่า…

“หนีเร็ว หนีเร็ว…”

ทั้งมีกบคิดว่าตัวเองเป็นปลา แหวกว่ายไปมา หลังจากเจอตนกลับตัวสั่น ไม่กล้าขยับเขยื้อน

ตลอดทางสวี่ชิงเจอตัวประหลาด 10 ตน แต่ละตัวเจอตนแล้วตอบสนองต่างกันไป

สุดท้ายเขาเห็นตัวที่ 11

นั่นคือหญิงชราชุดดำถือไม้เท้า ใบหน้ามหึมา ร่างกายแขนขาเล็กมาก ท่าทางป่าเถื่อน คว้าจุดดำโยนเข้าปากก่อนกลืนกินเป็นครั้งคราว

เมื่อเห็นสวี่ชิง มันแสยะยิ้ม

“ตายได้ดี ตายได้ดี!”

สวี่ชิงเงียบงัน สักพักค่อยจากไป

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ทั้งไม่เห็นตัวประหลาดอื่นอีก

กระทั่งสุดท้ายเขาค่อยเจอคันฉ่องบานหนึ่ง

นั่นคือจุดสิ้นสุดของเส้นทางนี้

จุดดำขนาดเล็กนับไม่ถ้วนเรียงแถวเข้าคันฉ่อง

หายลับจากไป

สวี่ชิงจ้องมองคันฉ่องพลางครุ่นคิด

‘เส้นที่เกิดจากจุดดำนับไม่ถ้วนกลายเป็นแดนระนาบเดียว ข้าเหมือนทราบแล้วว่าบัญญัติกาลอวกาศของผู้นำเซียนจี๋กวงเป็นอย่างไร’

‘ส่วนตัวประหลาด 11 ตน…’

เลข 11 ร่วมกับฐานะผู้นำเซียนจี๋กวง สิ่งที่สวี่ชิงคิดได้คือผู้นำเซียน 11 คนของวงแหวนที่ 5 ในปัจจุบัน

‘มีความเป็นไปได้ว่าวิวัฒน์จากห้วงคิดก่อนตายของผู้นำเซียนจี๋กวง!’

‘สาเหตุที่แปลกประหลาดเช่นนี้…’

สวี่ชิงไม่เข้าใจ แต่เขาจำได้ว่าผู้นำเซียนจี๋กวงคนนี้ถูกจอมเซียนกำราบ

‘เป็นไปได้หรือไม่ว่าเกี่ยวกับบัญญัติของจอมเซียน’

‘ถ้าอย่างนั้นบัญญัติของจอมเซียนคืออะไร…’

สวี่ชิงพลันนึกถึงตัวประหลาดแรกที่ตนเจอ คำพูดที่ขวดยานั่นกล่าวถึง

‘นิทาน?’

(>>>พิสูจน์อักษร By Zank<<<)

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!