Skip to content

Outside Of Time 14

Outside of Time
BC

บทที่ 14 อันตรายรอบด้าน

‘ผลึกวารีสีม่วงคืออะไรกันแน่ แล้วก็เงาของจิตแห่งความชั่วร้ายนั่นอีก มันคืออะไรกัน แล้วการหายไปของจุดกลายพันธุ์เกี่ยวข้องกับมันหรือไม่’

C

สวี่ชิงคิดไม่ตก ขณะที่กำลังครุ่นคิดวิเคราะห์ ร่างของพวกหัวหน้าเหลยก็ทยอยเดินกลับมาที่เขา ขณะที่ทุกคนเดินผ่านก็ล้วนจ้องมองมาทางเขา

สวี่ชิงหยุดความคิด ในดวงตาเปล่งประกาย

ไม่ว่านั่นจะเป็นอะไร เวลานี้ยังไม่สำคัญ

หลังจากพักผ่อน ก็จะวนมาถึงรอบของเขาแล้ว

สวี่ชิงลุกขึ้นยืน หยิบเหล็กแหลมมาเช็ดถูบนตัว หลังจากมันกลับมาเปล่งประกายอีกครั้ง พริบตาที่กางเขนเดินผ่านตัว เขาก็พุ่งออกไปอย่างฉับพลัน

เพียงพริบตาก็เข้าไปใกล้กับฝูงหมาป่าที่ไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว

เสียงฆ่าสังหาร เสียงกรีดร้องปนเปอยู่ด้วยกัน ราวกับเป็นพิธีศีลจุ่มของเด็กหนุ่มอย่างไรอย่างนั้น

เขาที่เป็นผู้โชคดีจากการลืมตาของเทพเจ้าและเอาชีวิตรอดมาจากฝนเลือดมาได้ สิ่งที่ค่อยๆ ขัดเกลามาเริ่มส่องประกายท่ามกลางแสงตะวันยามเย็นที่สาดส่องอยู่!

ครั้งนี้ เขายืนหยัดได้นานกว่าเดิม

และเวลาก็ค่อยๆ ผ่านไปพร้อมกับกลุ่มสายอัสนีหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันเข้ามาต้านทานอย่างต่อเนื่อง

แสงตะวันลับหาย จันทร์กระจ่างลอยสูงเด่น ม่านราตรีในพื้นที่ต้องห้ามมาเยือน แต่เสียงของการสังหารยังคงดำเนินต่อ

จนกระทั่ง…ตอนที่ความเหนื่อยล้าของพวกเขามาถึงขีดสุด ลูกกลอนขาวเองก็ กินไปจนหมด ความเข้มข้นของไอพลังประหลาดในร่างกายใกล้จะไปถึงจุดที่จะ กลายพันธุ์ รุ่งอรุณก็มาถึง

ในที่สุดฝูงหมาป่าก็เริ่มล่าถอย

หมาป่าเกล็ดดำตัวสุดท้ายในป่าพื้นที่ต้องห้ามจ้องมองพวกเขาอย่างเหนื่อยล้าผาดหนึ่ง จากนั้นก็หายลับไป รอบด้านค่อยๆ กลับมาสงบอีกครั้ง จากการที่แสงอรุณสาดส่อง

ขณะที่บนตัวคนทั้งหมดล้วนมีเลือดหนาข้นเกรอะกรังอยู่ นอนพังพาบกันอยู่บนพื้น หอบหายใจหนักๆ

สวี่ชิงเองก็ไม่เว้น ต่อให้มีการฟื้นฟูของผลึกวารีสีม่วง แต่ความตึงเครียดที่มาจากจิตวิญญาณก็ทำให้เขาเหนื่อยล้าอ่อนเพลียไปทั้งตัว

“ในที่สุด…ก็รอดแล้ว” เขี้ยวหงส์ที่อยู่ข้างๆ งึมงำเสียงเบา พยุงกายลุกขึ้น เมื่อเห็นสวี่ชิงก็เอ่ยขึ้นเสียงเบาว่า

“ขอบคุณนะ”

ผีเถื่อนเองก็หอบหายใจแฮ่ก ยกนิ้วหัวแม่โป้งมาทางสวี่ชิง

การลงมือและระยะเวลาที่ออกไปสังหารในคืนนี้ของสวี่ชิงมีมากกว่าหัวหน้าเหลยและกางเขนเสียอีก กระทั่งพูดได้ว่าถ้าหากไม่มีเขา เกรงว่าฝูงหมาป่ายังไม่ทันได้ล่าถอย พวกเขาก็คงจะกลายพันธุ์ไปหมดแล้ว

มีเพียงสวี่ชิงที่ยังนอนหงายมองท้องฟ้า ขณะที่เหนื่อยล้าในใจก็ยังรู้สึกงงงันอยู่ลึกๆ

การต่อสู้ในคืนนี้ ความเร็วการสะสมของไอพลังประหลาดในร่างกายเขาช้าลงกว่าก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน

กระทั่งเขามีความรู้สึกเหมือนกับว่าไอพลังประหลาดของตนเองกำลังสลายหายไปเองในทุกเวลาทุกช่วงขณะ และขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อน หัวหน้าเหลยก็นวดหว่างคิ้ว กวาดสายตาเคร่งขรึมมายังพวกของกางเขนเอ่ยขึ้นเสียงแหบพร่า

“เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นเรื่องบังเอิญ การไล่กวดอย่างต่อเนื่องของหมาป่าเกล็ดดำเช่นนี้ ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังดึงดูดพวกมัน ดังนั้นพวกเจ้าเอาสิ่งของที่ได้รับมาในช่วงนี้ออกมาวางให้หมด พวกเราจะตรวจสอบอย่างละเอียด ข้าสงสัยว่าเรื่องนี้…น่าจะมาจากฝีมือคน”

พวกของกางเขนก็เหมือนจะรู้สึกเช่นนั้นตามคำพูดของหัวหน้าเหลย จึงทยอยตรวจสอบตนเอง ล้วงเอาสิ่งของออกมาวางด้านนอก

สวี่ชิงเองก็ใจเต้นตึกตัก ขณะที่เขากำลังใคร่ครวญว่าจะใช่เหล็กก้อนนั้นที่ได้มาจากหม่าซื่อหรือไม่ เขี้ยวหงส์ที่อยู่ข้างๆ ก็ส่งเสียงตกตะลึงออกมา ชี้ไปทางผีเถื่อน

หนึ่งในของที่ผีเถื่อนหยิบออกมามีกล่องไม้ใบหนึ่ง

กล่องไม้ดูผุพังเหมือนกำลังสูญสลายด้วยตัวเองและมีกลิ่นอายจางๆ แผ่ออกมา เนื่องจากในป่าพื้นที่ต้องห้ามมีกลิ่นที่ซับซ้อน ดังนั้นถ้าไม่ลองดมดูอย่างละเอียดก็แยกแยะได้ยากมาก

“เจ้านี่ทำไมมันถึงสูญสลายด้วยตัวเองล่ะ” ผีเถื่อนประหลาดใจ

หัวหน้าเหลยรุดหน้ามาทันที หลังจากถือกล่องไม้นี้ขึ้นก็ส่งต่อไปให้กับเขี้ยวหงส์ดมดูอย่างละเอียด จากนั้นจึงพยักหน้าด้วยสีหน้าปั้นยาก

“ของสิ่งนี้ เจ้าได้มาจากที่ใดหรือ” หัวหน้าเหลยมองไปทางผีเถื่อน

“ข้าซื้อมาจากแผงลอยวันที่ข้ากลับมาฐานที่มั่นวันนั้น ด้านในมีผงไล่แมลงอยู่…” ผีเถื่อนเกาหัว

“นี่เป็นสิ่งที่ทำมาจากมูลของกระต่ายผีเสื้อ เมื่อเจอเข้ากับการกระตุ้นของโลกภายนอกก็จะจุดติดเผาไหม้ขึ้นเอง สามารถดึงดูดสิ่งมีชีวิตประเภทเกล็ดได้…หมาป่าเกล็ดดำ ก็ถือเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทเกล็ดชนิดหนึ่ง”

เขี้ยวหงส์มองผีเถื่อนเอ่ยขึ้นแช่มช้า

ผีเถื่อนบื้อใบ้อยู่ตรงนั้น

บรรยากาศรอบด้านเองก็แข็งค้างไปพักหนึ่ง สวี่ชิงเองก็หรี่ตาลงมาเช่นกัน

จนผ่านไปครู่หนึ่ง หัวหน้าเหลยจึงส่ายหัว

“ผีเถื่อนเจ้าถูกหลอกแล้ว และคนที่จะวางกับดักใส่พวกเราเช่นนี้ในฐานที่มั่น แค่คิดรู้แล้วว่าใคร”

“กลุ่มเงาโลหิต!” กางเขนอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นเสียงเย็นชา

“กลุ่มเงาโลหิตวางแผนเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้เลยว่าจะไม่มีแผนอื่นอีก และพวกเราเวลานี้สภาพก็ย่ำแย่มาก…” เขี้ยวหงส์เอ่ยขึ้นอย่างลังเล

“เช่นนั้น จะเดินต่อไปยังสถานที่เก็บเกี่ยวเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จหรือว่าจะถอย พวกเจ้าว่าอย่างไร” หัวหน้าเหลยเงยหน้าขึ้นมองจุดที่ห่างออกไป ส่งเสียงออกมา แช่มช้า

สวี่ชิงสายตาครุ่นคิด แต่ไม่พูดอะไร

คนอื่นก็จ้องมองกันและกัน สุดท้ายกางเขนจึงเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบากว่า

“หัวหน้า ที่นี่ห่างจากจุดเก็บเกี่ยวของพวกเราไม่ไกลเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนครั้งนี้ก็เสียหายกันหนักมาก ถ้ากลับไปมือเปล่าล่ะก็…”

หัวหน้าเหลยนิ่งงัน กวาดตามองไปทางผีเถื่อนกับเขี้ยวหงส์ คนหน้ากำลังก้มหน้าอย่างสำนึกผิด ส่วนคนหลังในดวงตาก็มีความไม่ยินยอม ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงถอนหายใจออกมาว่า

“เดินหน้าต่อเถอะ พอถึงจุดเก็บเกี่ยวก็รีบจัดการให้ไวที่สุด จากนั้นทุกคนก็แยกกันไปคนละทาง ต่างฝ่ายต่างออกไปกันเอง ไปรวมตัวอีกทีที่ฐานที่มั่น”

หัวหน้าเหลยทิ้งคำสั่ง หลังจากที่จัดการอย่างง่ายๆ ทุกคนก็ออกเดินตรงเข้าไปในป่าพื้นที่ต้องห้ามนี้อีกครั้ง

ระหว่างทาง สวี่ชิงเข้าประชิดเขี้ยวหงส์ หยิบอำพันที่ได้มาจากเจ้าอ้วนออกมา แล้วสอบถามขอความรู้จากนางว่าสิ่งนี้คืออะไร

หลังจากที่เห็นอำพัน เขี้ยวหงส์ก็ตกตะลึง รับไปตรวจสอบอย่างละเอียด จากนั้นจึงบอกกับสวี่ชิงว่าของสิ่งนี้คือหางพิษของแมงป่องหน้าผี

แมงป่องนี้มีพิษ แต่ไม่ใช่ว่าจะแก้พิษไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีสรรพคุณทางยาที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย หลังจากที่ติดพิษจะสามารถระเบิดพลังแฝงของร่างกายออกมาได้ในพริบตา แต่ไม่สามารถอยู่ได้นาน หลังจากระเบิดจำเป็นต้องแก้พิษทันที ดังนั้น ส่วนใหญ่จึงถูกคนเลี้ยงเอาไว้ มูลค่าไม่ธรรมดาเลย

สวี่ชิงเข้าใจแจ่มแจ้ง พอขอบคุณเสร็จก็เก็บมันลงมา

จากนั้นทุกคนจึงยังคงระแวดระวังอยู่เสมอ ตรวจสอบสภาพรอบด้านไปด้วย พุ่งทะยานต่อไปด้วย

เพียงแต่เมื่อเทียบกับก่อนหน้าแล้ว ครั้งนี้พวกเขาสงบนิ่งยิ่งกว่าเดิม

บางทีอาจเพราะการปรากฏตัวของหมาป่าเกล็ดดำเมื่อวานนี้ ทำให้สัตว์ร้ายอื่นบริเวณนี้ถูกขับไล่ไปจนหมด

ดังนั้นกลุ่มสายอัสนีจึงไม่ได้พบกับอันตรายใดๆ ตลอดทาง เป็นเช่นนี้ไปสองชั่วยาม ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงจุดเชื่อมเขตของวงนอกและส่วนลึกในพื้นที่ต้องห้าม

สภาพของที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ป่าไม้ แต่ยังปรากฏภูเขาเล็กๆ และลำธารอีกด้วย เพียงแต่ว่าน้ำในลำธารเป็นสีดำ นำมาดื่มไม่ได้

และในพื้นที่ที่เป็นป่ารกครึ้มแห่งหนึ่งซ่อนเส้นทางเล็กเส้นหนึ่งเอาไว้ ถ้ำอยู่ด้านในสุดทางเป็นหุบเขาเล็กแห่งหนึ่ง

ขณะที่พวกของสวี่ชิงเดินเข้าไปในหุบเขา สิ่งที่สะท้อนมาในสายตาของเขา ก็ราวกับเป็นโลกอีกใบ

ด้านบนของที่นี่ถูกเถาวัลย์ที่เติบโตอยู่รอบๆ ปกปิดไว้จนเหมือนเป็นหลังคาอย่างหนาแน่น แสงตะวันไม่สามารถส่องลอดลงมาได้ทั้งหมด และด้านในเองก็ไม่มีต้นไม้ใหญ่อยู่เลย มีก็แต่ดอกหญ้าอยู่ทั่วทุกที่

ดอกไม้ขนาดกำปั้นหลากหลายสีสันเบ่งบานไปทั่วทั้งหุบเขา และยังมีต้นหญ้าที่เปล่งแสงผลึกสีน้ำเงินอยู่ด้วยกันอีกมากมาย

ทุกต้นล้วนมีหญ้าเจ็ดใบอยู่ทั้งสิ้น

แสงที่พวกมันเปล่งออกมาราวกับดวงดาวพราวระยับ ทำให้หุบเขาที่สงบเงียบนี้ราวกับกลายเป็นท้องฟ้าที่เงียบงัน มีความรู้สึกสวยงามจับตาเป็นพิเศษ

ที่นี่ก็คือจุดเก็บเกี่ยวที่กลุ่มสายอัสนีค้นพบ และจุดเก็บเกี่ยวเช่นนี้ทุกจุดล้วนเป็นความลับสุดยอด เป็นรากฐานการใช้ชีวิตของกลุ่มต่างๆ เลยทีเดียว

หลังจากมาถึงที่นี่ เนื่องจากการเก็บเกี่ยวจำเป็นต้องใช้วิธีพิเศษ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ให้สวี่ชิงเข้าร่วม แต่กระจายกันไปเก็บเกี่ยวเอง แบบนี้ความเร็วจะไวกว่าและไม่มีความเสียหาย

สวี่ชิงสังเกตวิธีการของพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้ฝืนคิดจะเข้าร่วม แต่ไปนั่งขัดสมาธิลง ควบคุมลมหายใจเข้าออกอยู่เงียบๆ

เขาพบว่าพลังบำเพ็ญของตนเองเหมือนจะพัฒนาขึ้นต่อเนื่องไปไม่น้อยผ่านการต่อสู้เมื่อวานนี้ ปัจจุบันเหมือนอยู่ในจุดที่ใกล้จะทะลวงขั้นแล้ว

เพื่อให้สามารถตระเตรียมความพร้อมการเอาตัวรอดได้ดียิ่งขึ้นในอันตราย ครั้งหน้า สวี่ชิงจึงไม่ปล่อยเวลาเสียเปล่า ต่อให้อยู่ในพื้นที่ต้องห้าม ก็ยังคงกระตุ้นเคล็ดคีรีสมุทรในร่างกาย ดูดรับเอาพลังวิญญาณรอบด้านเข้ามา

จากการหลั่งทะลักของพลังวิญญาณ ด้านในหุบผาจึงเกิดลมขึ้น

หัวหน้าเหลยมองไปทางสวี่ชิง ไม่ได้เข้าไปห้าม เขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าในเส้นทางขากลับมีความเป็นไปได้มากว่าจะมีการซุ่มโจมตี การเติบโตของพลังในเวลานี้คือการรับประกันในการเอาชีวิตรอด

ผ่านไปไม่นาน ระหว่างที่พวกเขากำลังเก็บเกี่ยว ร่างกายของสวี่ชิงก็ค่อยๆ ส่งเสียงปึงปังออกมา

คราบสกปรกทั้งตัวของเขาไหลออกมาจากรูขุมขน ละลายเลือดข้นที่อยู่เกรอะกรัง อยู่ทั่วตัวออก ขณะที่เลือดผสมปนเปเข้ากับคราบสกปรก เลือดเนื้อของเขาก็สูดรับเอาพลังวิญญาณอย่างรวดเร็ว ถูกชุบเลี้ยงจนแข็งแกร่งกว่าเดิม จนถึงตอนที่เสียงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ถึงขีดจำกัดแล้วก็หยุดลงเฉียบพลัน หัวสมองสวี่ชิง มีเสียงครืนครันส่งออกมา เส้นเลือดทั้งหมดในร่างเขากำลังปูดโปนอยู่ใต้ผิวหนัง เลือดเนื้อที่กำลังถูกเติมอัดด้วยพลังวิญญาณในตอนนี้ราวกับแฝงเอาไว้ด้วยพลังกับความเร็วที่น่าตกตะลึงกว่าที่ผ่านมา

ทั้งหมดนี้กลายเป็นกลิ่นอายที่คมกริบแผ่ซ่านไปบนตัวของเขา และคลื่นพลังวิญญาณด้านนอกร่างกายก็กระจายออกไปทั้งสี่ทิศเช่นกัน

เคล็ดคีรีสมุทร ขั้นที่สาม

สวี่ชิงก้มหน้าลงช้าๆ ลืมตาขึ้น

แสงม่วงที่หายไปในดวงตาไม่มีผู้ใดมองเห็น แต่ในดวงตาเขาก็ไม่มีความยินดีที่ทะลวงขั้นเลย แต่ถูกความสงสัยที่ลึกหยั่งเข้ามาแทนที่

สิ่งที่เขาก้มหน้าลงมอง คือเงาซับซ้อนของตนเองที่ปรากฏขึ้นภายใต้แสงตะวันที่กระจัดกระจาย

ตอนที่ฝึกบำเพ็ญเมื่อครู่เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติอย่างแจ่มชัด พลังวิญญาณที่เขาใช้ลมหายใจเข้าออกสูดรับเข้ามา พลังที่ผ่านการคัดแยกของเคล็ดคีรีสมุทร ส่วนที่บริสุทธิ์ก็นำมาชุบเลี้ยงทั้งร่างกาย

ส่วนไอพลังประหลาด…กลับไม่ได้ไหลไปยังรวมเป็นจุดกลายพันธุ์ที่แขนตนเอง แต่ว่า…กลับไหลลงไปในเงาของตนเองแทน

เหมือนกับว่าเงาจัดการกลืนกินไอพลังประหลาดลงไปแล้ว

ครู่ต่อมา สวี่ชิงเงยหน้าขึ้น สะกดความสงสัยทั้งหมดลงไปในใจ

เขามองพวกหัวหน้าเหลยที่ใกล้จะเก็บเกี่ยวเสร็จแล้ว สายตามองออกไปไกล ทอดยาวไปยังปลายทางหุบเขา มองไปยังส่วนลึกของป่า

เขามองเห็นสถานที่ห่างไกลลิบเบื้องหน้าเหมือนมีสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่งอยู่ เลือนราง ดูคล้ายกับเป็นศาลเจ้าหลายๆ แห่งเรียงติดกัน นิ่งงันไปในกาลเวลา กลิ่นอายโบราณแผ่ซ่านออกมา

“นั่นเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ไม่รู้ว่ามีมาตั้งแต่สมัยใด และเป็นพื้นที่จำกัดที่ไกลที่สุดที่พวกเราคนเก็บกวาดไปถึง ไม่อาจข้ามผ่านไปได้ แต่ถ้าหากเจออันตรายแถวนั้น ก็สามารถหลบเข้าไปอยู่ในนั้นได้เช่นกัน”

หัวหน้าเหลยที่เก็บเกี่ยวส่วนของตนเองเสร็จสิ้นเดินมาอยู่ข้างๆ สวี่ชิง มองตามสายตาไปยังหมู่ศาลเจ้า จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นช้าๆ

“เขตจำกัดหรือ” สวี่ชิงพยักหน้า

“ถูกต้อง มีคนเคยเล่าว่ายุคสมัยนั้น สาเหตุที่ที่นี่กลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม ก็เพราะเทพเจ้าจ้องมองไปยังศาลเจ้าเหล่านั้น และมีคนเก็บกวาดเคยไปสำรวจแล้ว ที่นั่นไม่มีอะไรเลย นอกจากหินเล็กที่มีความพิเศษชนิดหนึ่งออกมาบางครั้ง”

เลยตุ้ยหยิบหญ้าเจ็ดใบส่วนหนึ่งใส่เข้าไปในถุงหนัง

“พิเศษอย่างไรหรือ” สวี่ชิงถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น

“บดจนเป็นผง สาดลงไปบนแผลเป็นที่พึ่งหาย จะสามารถลบแผลเป็นทิ้งได้จน ไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย แต่มันไม่มีประโยชน์สำหรับพวกเราคนเก็บกวาด ทว่าบางครั้งก็มีพวกคนใหญ่คนโตต้องการ” หัวหน้าเหลยพูดจบ ก็มองไปทางพวกกางเขน

เวลานี้กางเขน ผีเถื่อนและเขี้ยวหงส์ก็เก็บเกี่ยวกันเสร็จสิ้นแล้ว จากการจัดของหัวหน้าเหลยทุกคนจะนำหญ้าส่วนหนึ่งออกมา ใส่เข้าไปในถุงหนังของหัวหน้าเหลย

ท้ายสุด หลังจากแบ่งหญ้าเจ็ดใบออกเป็นห้าส่วนแล้ว หัวหน้าเหลยก็ส่งถุงหนัง ใบที่ห้าให้กับสวี่ชิง

“นี่เป็นส่วนของเจ้า

“นับจากนี้ทุกคนให้แยกย้ายกันออกไปตัวใครตัวมัน เช่นนี้ก็จะไม่ถูกพบตัวง่าย แม้จะอันตราย แต่โอกาสรอดชีวิตออกไปได้ก็มีมากกว่า กลับกันถ้าไปเป็นกลุ่ม เป้าหมายก็จะชัดและเป็นเป้าได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้สภาพของพวกเราก็ไม่เหมาะอีกด้วย ถ้าหากถูกขังเอาไว้ล่ะก็คงมีโอกาสรอดยาก”

หัวหน้าเหลยพูดจบก็มองสวี่ชิง จากนั้นจึงมอบแผนที่ให้เขาฉบับหนึ่ง

“เด็กน้อย ข้าเป็นเป้าที่ใหญ่เกินไป คงกลายเป็นเป้าสำคัญของพวกเงาโลหิตแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม ก็ต้องคอยปกป้องพวกเจ้าเสียหน่อย เจ้ารีบกลับไปที่ฐานที่มั่นรอข้าเถอะ”

หัวหน้าเหลยเอ่ยขึ้นเสียงขรึม เขาเดินออกจากหุบเขาภายใต้การจับจ้องเงียบๆ ของสหายในกลุ่ม ร่างไหววูบหายไป

สวี่ชิงคิดจะพูดอะไร แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก หัวหน้าเหลยก็ห่างออกไปแล้ว

กางเขนตบบ่าสวี่ชิง จากไปด้วยเช่นกัน

สุดท้ายคือผีเถื่อนกับเขี้ยวหงส์ หลังจากที่ต่างฝ่ายนำเอาประสบการณ์ของตนเองบอกเล่ากับเขาอย่างละเอียดแล้ว ก็รีบร้อนจากไป

สวี่ชิงนิ่งงันมองพวกเขา เก็บหญ้าเจ็ดใบไว้อย่างดี จากนั้นจึงหันหน้ามองไปยังหมู่ศาลเจ้าที่ห่างออกไปเหล่านั้น

ครู่ต่อมา สวี่ชิงก็หมุนตัว สูดลมหายใจลึก วิ่งทะยานไปยังทางเข้าของหุบเขา ความเร็วของเขาหลังจากที่ฝึกกายาถึงขั้นสามเร็วกว่าก่อนหน้าอย่างชัดเจน เพียงพริบตาก็หายไปที่ทางเข้าแล้ว

สวี่ชิงคล่องแคล่วราวกับวานร พุ่งทะลุทะลวงในป่าพื้นที่ต้องห้ามไม่หยุด เขาไม่ได้เดินเส้นทางตอนที่เข้ามา แต่เลือกเดินอ้อมตามสัญลักษณ์ของแผนที่

และจากประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้ตอนที่เข้ามา การแยกแยะอันตราย บังเอิญพบกับอสูรกลายพันธุ์บางตัวก็ล้วนถูกเขาจัดการได้อย่างราบรื่น

ขณะเดียวกันเขาเองก็ใส่ใจไปยังเงาใต้แสงตะวันของตนเองอยู่หลายครั้งในดวงตาเปล่งประกายประหลาดออกมา

เขาทดสอบไปแล้ว ไม่ว่าจะดูดซับพลังวิญญาณหรือว่าหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ ไอพลังประหลาดที่แฝงอยู่ในทุกสรรพสิ่งก็ล้วนเป็นแบบเดียวกับตอนที่สัมผัสได้ก่อนทะลวงขั้นเหมือนเดิม ค่อยๆ หลั่งทะลักเข้าไปในเงาหลังจากที่เข้าไปในร่างกาย!

ถ้าไล่ย้อนกลับไป เรื่องนี้เริ่มปรากฏมาตั้งแต่ที่ผลึกวารีสีม่วงเปล่งแสงเย็นออกมา จนกระทั่งมาถึงเคล็ดคีรีสมุทรขั้นสาม ก็ยิ่งแสดงออกมาชัดเจนขึ้น

เงาของตนเอง เหมือนเปลี่ยนแปลงไป…หลังจากที่ผลึกวารีสีม่วงพัดเงาของ หมาป่าเกล็ดดำหายไป

ความประหลาดนี้ ทำให้ดวงตาสวี่ชิงหรี่ลงมาช้าๆ

เขาเลิกแขนเสื้อตนเองขึ้นมามองจุดกลายพันธุ์บนแขนที่มีเพียงหนึ่งจุด เวลานี้ก็จางไปมากแล้ว ถ้าหากไม่สังเกตดีๆ ก็มองเห็นรอยได้ยากมาก

ไอพลังประหลาดในร่างกายเขาก็จะน้อยลงเรื่อยๆ จากการพัฒนาเช่นนี้ จนถึงระดับที่สะอาดบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์เลยก็ได้

และความสมบูรณ์นี้…สวี่ชิงก็เห็นมาจากในตำราไม้ไผ่เคล็ดคีรีสมุทรแล้ว มีเพียงคนฐานะสูงส่งอย่างมากเหล่านั้นในดินแดนต้นกำเนิดเผ่ามนุษย์ในแผ่นดินใหญ่วั่งกู่เท่านั้นที่จะเสวยสุขกับมันได้

“นี่คือบทบาทของผลึกวารีสีม่วงหรือ” สวี่ชิงงึมงำ นั่งยองอยู่บนกิ่งไม้ท่อนหนึ่ง มองเหม่อไปบนท้องฟ้า

เขาลูบไปยังหน้าอกจุดที่ฝั่งผลึกวารีสีม่วงเอาไว้ นิ่งงันอยู่พักหนึ่งเป็นเช่นนี้ อยู่นาน จากนั้นจึงเงยหน้าแล้วสลัดความสงสัยทั้งหมดทิ้งไปส่วนลึกในใจ เงาไหววูบ พุ่งตัวไปในป่าด้านหน้าต่อ

แม้ไอพลังประหลาดจะไม่คุกคามเขาชั่วคราว แต่นี่เป็นแค่หนึ่งในอันตรายมากมายที่อยู่ในพื้นที่ต้องห้ามเท่านั้น เส้นทางหลังจากนี้ สวี่ชิงยังจะพบกับอันตรายอีก

ตอนนี้เวลานี้ เขาก็มองเห็นหมีกลายพันธุ์ที่มีกลิ่นอายสูงกว่าหัวหน้าเหลยถึงสองตัว

บนแผ่นหลังของหมีชนิดนี้กลับมีแมงมุมยักษ์สีฉูดฉาดเกาะหลังอยู่ ใยนับไม่ถ้วนถูกพ่นออกมาจากหน้าอกของแมงมุมเข้าไปในร่างกายหมี ราวกับว่ากำลังควบคุม มันอยู่

ทำให้หมีสองตัวนี้ระหว่างที่วิ่งก็สูญเสียการควบคุมของตัวเองไป

ต้นไม้ถูกพวกมันกระแทกจนล้มคว่ำ ถ้าหากพบเข้ากับอสูรกลายพันธุ์ชนิดอื่น มาขวาง ก็จะถูกฉีกออกเป็นสองส่วน ความบ้าคลั่งนั้นแจ่มชัดไร้เทียมทาน

ถ้าไม่ใช่เพราะเป้าหมายในการไล่ล่าของพวกมันคือพยัคฆ์สีแดงตัวหนึ่ง จึงไม่ได้สนใจสวี่ชิง ยิ่งไปกว่าเขาเองก็ยังกระโดดหนีออกมาอย่างรวดเร็วเป็นอันดับแรก เพราะเกรงว่าคงจะเกิดอันตรายขั้นสุดเลยทีเดียว

และอันตรายที่มาจากพื้นที่ต้องห้ามไม่ได้มีเท่านี้

หนึ่งชั่วยามต่อมา สวี่ชิงอยู่บนยอดไม้ของต้นไม้ต้นหนึ่ง ตอนที่สังเกตตรวจสอบรอบด้าน เขาก็มองเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่เคยเห็นอาจารย์สอนหนังสือในถ้ำยาจกเคยวาดไว้อยู่ไกลๆ เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายเหมือนไม่ควรที่จะอยู่ในป่า

นั่นคือสิ่งมีชีวิตที่ร่างกายใหญ่เท่าขุนเขาขนาดย่อมๆ ทั่วร่างปล่อยความหนาวเย็นออกมา…เป็นแมงกระพรุนตัวหนึ่ง

ทั่วร่างของมันแผ่แสงทึมออกมา ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือพื้นที่ต้องห้าม

ร่างกายกึ่งโปร่งใสถูกแสงตะวันส่องทะลุ มองเห็นศพของอสูรกลายพันธุ์ที่กำลังเน่าเปื่อยมากมายนับไม่ถ้วนอยู่ด้านใน หนวดมากมายโบกไปมา และในหนวดทุกเส้นล้วนมีดวงตาประหลาดอยู่เต็มไปหมด เพียงแต่ว่าตอนนี้ดวงตาเหล่านี้ส่วนใหญ่ปิดลงกว่าครึ่ง ไม่ได้ลืมตา

เวลานี้มันกำลังลอยไปทางส่วนลึกของพื้นที่ต้องห้าม ผืนป่าด้านล่างทั้งหมดที่มันผ่านไปล้วนถูกแช่แข็งในทันที สิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งหมดล้วนเลี่ยงมหันตภัยความเย็นเยือกนี้ได้ยาก

ความแข็งแกร่งของกลิ่นอายบนตัวมันไม่รู้ว่ามากกว่าสวี่ชิงถึงกี่เท่า ในความรู้สึกของสวี่ชิงต่อให้เป็นหมีสองตัวนั้น อยู่ต่อหน้าแมงกะพรุนตัวนี้ก็คงจะอ่อนแอจนเทียบไม่ติดเลยทีเดียว

กระทั่งเวลานี้แค่มองออกไป ร่างกายของสวี่ชิงยังแข็งทื่อ ความอันตรายแรงกล้ากระพือขึ้นมาจากส่วนลึกของพลังวิญญาณ

จนถึงตอนที่แมงกะพรุนลอยหายไป สวี่ชิงจึงผ่อนลมหายใจออก มองไปยังพื้นที่ป่าที่ถูกแช่แข็งไปอย่างพรั่นพรึง ราวกับเป็นเส้นตรงเส้นหนึ่งที่ทอดยาวเข้าสู่ส่วนลึก

“ถ้าหากทิศทางของแมงกะพรุนเป็นทางนี้ล่ะก็…” สวี่ชิงสูดลมหายใจ

เขาเข้าใจดีว่าในผืนป่าพื้นที่ต้องห้ามที่มีอันตรายรอบด้านนี้ ตนเองได้เปรียบกว่าคนอื่นเล็กน้อยจากการที่ไอพลังประหลาดสามารถถูกเงาดูดซับลงไปได้

แต่ข้อได้เปรียบนี้ปัจจุบันสามารถทำให้เขาอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามได้นานกว่าเท่านั้น

นอกจากวันหนึ่ง ตนเองจะเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้น ตอนนั้นข้อได้เปรียบนี้ถึงจะขยายออกอย่างไร้ขีดจำกัด

อีกครู่หนึ่งตอนที่สวี่ชิงออกมา เขาจึงระมัดระวังต่อพื้นที่ต้องห้ามมากยิ่งขึ้นแล้ว

เป็นเช่นนี้ เวลาผ่านไปเพียงไม่นานตะวันก็จะตกดิน เหลือเพียงแสงสลัวสาดส่อง

ในป่าเองก็ค่อยๆ มีเสียงคำรามส่งออกมา สวี่ชิงที่วิ่งอย่างรวดเร็วอยู่ด้านใน ในใจก็แอบคำนวณถึงทิศทางของแผนที่เงียบๆ รู้ว่าถ้าหากเร่งเดินทางในช่วงกลางคืน ก็น่าจะสามารถออกจากพื้นที่ต้องห้ามได้ก่อนฟ้าสาง

และขณะที่เขากำลังคิดว่าจะเดินทางตอนกลางคืนดีหรือไม่ จู่ๆ ในป่าไกลๆ ก็มีเสียงครืนครันดังลอดเข้ามา และตามมาด้วยเสียงกรีดร้องแหลม น้ำเสียงคุ้นเคยอย่างมาก

“ผีเถื่อน?” สวี่ชิงตาจับจ้อง จำเสียงได้

เขากระโจนเข้าใกล้อย่างระมัดระวัง ร่างผอมเล็กปราดเปรียวและอำพรางตัวอย่างแนบเนียนในป่า

ดังนั้นไม่นานต่อมา เขาก็มาถึงจุดที่มีเสียงคำรามส่งออกมา ซ่อนตัวอยู่บนยอดไม้ มองเห็นศพหกเจ็ดศพด้านล่าง หนึ่งในนั้น…ก็คือผีเถื่อน!

ร่างเขาดำคล้ำ กลายพันธุ์ไปแล้วอย่างชัดเจน หัวกับลำตัวแยกจากกัน ตายอย่างน่าเวทนา

โล่เหล็กกล้าที่ใหญ่โตก็แตกออกเป็นสองซีก กลายเป็นหนึ่งชิ้นใหญ่หนึ่งชิ้นเล็ก กระบองเขี้ยวหมาป่ากระจัดกระจายอยู่ข้างๆ เปื้อนไปด้วยเลือดสด เห็นได้ชัดว่า ตอนที่มีชีวิตได้ใช้ทุกสิ่งที่มีแล้ว และคิดจะพินาศไปพร้อมกับศัตรูขณะที่กลายพันธุ์

สวี่ชิงนิ่งงัน ในใจเกิดความโศกเศร้าขึ้นมา และมองเห็นว่าไม่ไกลกันนัก หัวหน้าเหลยที่ถูกห้าคนล้อมโจมตี ทั่วร่างเริ่มดำคล้ำเพราะกำลังจะกลายพันธุ์!

ฉากนี้ ทำเอาสวี่ชิงม่านตาหรี่ลง กำเหล็กแหลมในมือไว้แน่น จิตสังหารในดวงตาระเบิดออกขึ้นฉับพลัน

AC

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!