บทที่ 497 เมฆดำสะกดเซียนเซียนเดือดดาล
ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงเขตปกครอง มีมณฑลอยู่ทั้งหมดสี่แห่ง
ที่อยู่สุดตะวันตกคือมณฑลเผชิญคลื่น หรือก็คือตำแหน่งสนามรบฝั่งตะวันตกในปัจจุบันนั่นเอง ส่วนทางเหนือคือมณฑลสงบสุข ซึ่งเป็นแนวหน้าของเขตสงครามเช่นกัน
ในช่องแคบของสองมณฑลนี้ จุดที่ถูกล้อมอยู่มีชื่อว่ามณฑลสวนพิรุณ
ที่ราบน้ำแข็งที่มาจากทางเหนือละลายตลอดทั้งปี ทำให้สภาพพื้นดินมณฑลสวนพิรุณเปียกชื้น และใต้ดินยังมีแนวภูเขาไฟอยู่ด้วย ตลอดปีจึงมีหมอกฝนระเหย กลายเป็นสายฝนร่วงหล่นลงมา จึงตั้งชื่อเช่นนี้
ในทิศที่มณฑลสวนพิรุณติดกับเมืองหลวงเขตปกครอง เป็นมณฑลที่สี่ของทั้งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีชื่อว่าชี้แจ้งวิญญาณ
ชื่อนี้มาจากภูเขาที่เลื่องชื่อแห่งหนึ่งในมณฑลนี้
ภูเขาและเทือกเขานั้นแตกต่างกัน
ฝ่ายหลังจะมีการทอดยาวไปยังทิศทางหนึ่งแน่นอน ประกอบด้วยสันเขาและหุบเขาใหญ่อีกหลายแห่งจึงถูกเรียกว่าเทือกเขาเพราะคล้ายกับสายโลหิต มีรอยคดเคี้ยวชัดเจน ทอดยาวต่อเนื่องไม่หยุด ด้วยเหตุนี้จึงแตกต่างจากภูเขา
ส่วนภูเขารอยคดเคี้ยวไม่ชัดเจน มักกระจายรอบๆ แนวภูเขาไฟ มันคล้ายรูปทรงพื้นฐานของยอดเขาและพื้นดินขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่อาณาบริเวณกว้าง ภูเขาเหล่านี้สลับทับซ้อนกัน มีเผ่าอาศัยอยู่ร่วมกันจนเป็นชนเผ่าใหญ่ในภูเขา
เผ่ากระจายวิญญาณ ก็อาศัยอยู่ในพื้นที่เขาชี้แจ้งวิญญาณที่มีอาณาบริเวณนับแสนลี้ผืนนี้
คนของชนเผ่านี้มีรูปร่างสูงใหญ่ เฉลี่ยความสูงคนในเผ่าอยู่ที่ห้าจั้ง วิชาฝึกบำเพ็ญก็เน้นไปทางกายเนื้อ ยิ่งหลังจากที่เข้าไปพึ่งพาเผ่าเคียงเซียน จากประเพณีของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ พวกเขาก็ได้รับมอบสายเลือดของเผ่าเคียงเซียน ทำให้สภาพร่างกายเปลี่ยนแปลง มีปีกงอกออก
เพียงแต่เนื่องจากความใหญ่โตของร่างกายเผ่ากระจายวิญญาณ จึงยากที่ปีกจะสนับสนุนพลังความเร็วในการโผบินให้พวกเขา อย่างมากก็เป็นแค่สัญลักษณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น
สาเหตุที่เผ่าเคียงเซียนให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ เป็นเพราะเผ่ากระจายวิญญาณนี้มีจุดที่เป็นเอกลักษณ์ในด้านหลอมศัสตราและหลอมยา
หากมองไปทั่วทั้งดินแดนเขาชี้แจ้งวิญญาณจะมีโรงหลอมศัสตราและหลอมยาอยู่มากมายนับไม่ถ้วน มีทั้งแบบทำคนเดียวและแบบที่ร่วมกันทำหลายคน
มีจำนวนมากมายอย่างน้อยก็มากกว่าแสน
เสียงเคร้งๆ รวมถึงกลิ่นยาที่ฟุ้งออกมาจากการหลอมลูกกลอนในภูเขาตลอดทั้งปี ยิ่งมีไฟพิภพที่ถูกดึงออกมาจากพื้นที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่องด้วย ดังนั้นสภาพอากาศของเขตภูเขานี้จึงร้อนเป็นหลัก
พูดได้ว่าทุกวินาที ล้วนมียาลูกกลอนและอาวุธเวทจำนวนมหาศาลที่พวกเขาสร้างออกมา หลั่งไหลเข้าสู่ตลาด
และมีเขตที่มีผนึกต้องห้ามอีกหลายแห่งเป็นคลังที่พวกเขาทำไว้ตากยาลูกกลอนให้แห้งจำนวนมากมายมหาศาล ทำให้รู้สึกต้องเดาะลิ้นด้วยความอิจฉา
และการใช้พลังไฟพิภพมาใช้กับพรสวรรค์การสร้างสรรค์ของเผ่าพวกเขา ทำให้ยาลูกกลอนและอาวุธเวทที่ออกมาเป็นของชั้นหนึ่งในตลาด ราคาไม่ธรรมดา
แต่จะสูงเพียงใด ก็เป็นไปไม่ได้ที่ในยามปกติราคายี่สิบหินวิญญาณ พุ่งไปถึงหนึ่งพันหินวิญญาณ
เรื่องเหลวไหลเช่นนี้ ถ้าเป็นช่วงก่อนเกิดสงคราม ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่ต้องพูดเรื่องซื้อขายเลย ถ้าแค่วังกระบี่ต้องการ ประกาศโองการมาอย่างเดียวก็พอ
แม้จะพึ่งพาเผ่าเคียงเซียน แต่เผ่ากระจายวิญญาณก็เข้าใจวิถีความสมดุลเป็นอย่างดี ไม่ผิดใจกับเผ่ามนุษย์เพราะเรื่องเล็กๆ แค่นี้ ต่อให้ตอนนี้เผชิญหน้ากับคำร้องขอของวังครองกระบี่ แต่อันที่จริงพวกเขาก็มีการตัดสินใจของตนกันภายใน
ตอนนี้ ในตำหนักเทพเขาบรรพชนของเผ่ากระจายวิญญาณ หัวหน้าเผ่าของทั้งสี่สายโลหิตใหญ่ของเผ่านี้นั่งอยู่ด้านใน กำลังดำเนินการหารือลับ
“ราคาสูงถึงเพียงนี้ คือเพื่อแสดงจุดยืนของพวกเราให้เผ่าเคียงเซียน!”
“ช่วงนี้เป็นช่วงสงคราม แผ่นดินเผ่ามนุษย์น่าจะคงอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว”
หัวหน้าเผ่าทั้งสี่สายโลหิตในตำหนักเทพล้วนสวมชุดราคาแพง บนตัวมีเครื่องประดับและอาวุธเวทหรูหราอยู่ไม่น้อย
ส่วนศาลเจ้าเทพที่พวกเขาอยู่ก็บูชารูปสลักสององค์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าและหลัง รูปสลักด้านหน้ามีหน้าตาคล้ายคลึงกับพวกเขา ส่วนด้านหลังอีกองค์ คือเซียนที่โบยบินอยู่บนฟากฟ้า
เป็นปฐมบรรพจารย์แห่งเผ่าเคียงเซียนเช่นกัน
เบื้องหน้ารูปสลักทั้งสองนี้วางผลไม้วิญญาณล้ำค่ารวมถึงยาลูกกลอนชั้นดีไว้มากมาย แผ่ระลอกคลื่นพลังปราณวิญญาณที่เข้มข้นออกมา มีจำนวนนับหมื่น
นี่คือความเคารพศาลเจ้าเทพของพวกเขา
แต่ผลไม้วิญญาณหรือยาลูกกลอนทุกชิ้น ในแนวหน้าสนามรบเวลานี้ถือเป็นของที่ขาดแคลนอย่างหนัก
สงครามที่ปกป้องเขตปกครองผนึกสมุทรดำเนินการมาถึงตอนนี้ คนที่บาดเจ็บมีอยู่มากมายมหาศาล
ดังนั้นยาลูกกลอนกับผลไม้วิญญาณเหล่านี้ หากกล่าวว่าหนึ่งชิ้นสามารถช่วยได้หนึ่งชีวิตก็เกินจริง แต่สิบชิ้นช่วยได้หนึ่งชีวิตนี่ก็ถือว่าใกล้เคียง
ทว่าเวลานี้หัวหน้าเผ่าทั้งสี่ ไม่มีใครสนใจความเป็นตายของเผ่ามนุษย์ในนสนามรบ ในมุมมองพวกเขา พวกเขาสนใจแต่ผลกระทบในอนาคตที่จะส่งผลกับเผ่าของตนเท่านั้น
“แต่ว่าพวกเราก็ยังต้องไว้หน้าโหวเหยาอยู่ ถึงอย่างไรหลายร้อยปีมานี้ โหวเหยาก็มอบความสะดวกสบายให้กับพวกเราไม่น้อย เพื่อสร้างภาพลักษณ์กับชนเผ่าอื่นว่าชนเผ่ากระจายวิญญาณของพวกเราเป็นประเภทมีบุญคุณต้องทดแทน ยังต้องส่งยาลูกกลอนไปส่วนหนึ่ง”
“ก็ดี พวกเราก็เรียกราคาสูงเป็นส่วนใหญ่ ใช้สิ่งนี้แสดงจุดยืนต่อเผ่าเคียงเซียน จากนั้นค่อยมอบส่วนน้อยไปเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับพวกเรา และสุดท้ายก็ขายส่วนน้อยในราคาปกติ เพื่อเป็นการแสดงท่าทีของพวกเรา”
“อันที่จริงนี่ก็เป็นความคิดของคนในเผ่าทั้งหมด ก่อนที่ข้ามาที่นี่ก็สำรวจในเผ่าเรียบร้อย ล้วนยอมรับการขายราคาสูงในช่วงนี้ ถึงอย่างไร…เผ่ามนุษย์ก็ร่ำรวยกันอยู่แล้ว”
“สายโลหิตของข้าก็เช่นกัน มีคนไม่น้อยเสนอว่าให้ล้างคลังพวกยาลูกกลอนที่คุณภาพรองลงมาที่เดิมทีจะเป็นขยะเหล่านั้น แต่ว่าเรื่องนี้ก็อาจจะทำให้เกิดข้อพิพาทขึ้นมาได้ง่าย น่าเสียดาย”
“ในเมื่อความคิดทุกคนตรงกัน เช่นนั้นก็ทำตามวิธีการเดิม หนึ่งสายโลหิตสนับสนุนกำลังคน หนึ่งสายโลหิตตอบแทนบุญคุณให้เป็นที่ประจักษ์ หนึ่งสายโลหิตคอยเฝ้าสังเกตการณ์และลอบติดต่ออย่างเงียบๆ กับเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ต่อไป และอีกหนึ่งสายโลหิตก็ไปแสดงจุดยืนกับเผ่าเคียงเซียนต่อ!”
“เพื่อให้เรื่องนี้สมจริง พวกเรายังต้องโต้เถียงแสดงละครกันต่อไปอีกสองสามวัน…”
หัวหน้าเผ่ากระจายวิญญาณสี่คนนี้ยิ้มให้กัน พากันลุกขึ้น ขณะที่กำลังจะจบการหารือลับครั้งนี้ ตอนนี้เอง พลังน่าครั่นคร้ามทำให้คนพรั่นพรึงถึงขีดสุด แรงกดดันที่น่ากลัวกระทั่งหัวใจยังต้องหยุดเต้นไปขณะหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันจากฟากฟ้า
พริบตาที่สีหน้าหัวหน้าเผ่าทั้งสี่เปลี่ยนไป พื้นสะเทือนเขาสั่นไหว เสียงครืนครันพลันดังสนั่นดังก้องไปทั้งภูเขาชี้แจ้งวิญญาณในตอนนี้
มองไกลๆ ท้องฟ้าของภูเขาบรรพชนเผ่ากระจายวิญญาณที่ตำหนักเทพตั้งอยู่ แสงสีม่วงแดงเจิดจ้า วิหคสามหัวขนาดหมื่นจั้งตัวหนึ่งพุ่งออกมาจากเมฆหมอกในพริบตา กรงเล็บขนาดยักษ์สองข้าง คว้ายอดของตำหนักเทพบนยอดเขา
เมินการป้องกันของเขาลูกนี้ ไม่สนใจผนึกต้องห้ามของตำหนักเทพ ไม่สนใจทุกสิ่งอย่าง พุ่งทะลวงเข้ามาท่ามกลางเสียงครืนครันดังลั่น ทั่วทั้งตำหนักเทพรวมถึงเทวรูปด้านในแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันที
ยิ่งขณะที่มันทะลวงเข้ามา กรงเล็บของมหาวิหคจับที่ภูเขาไว้แน่น เมื่อกระพือปีกภูเขาบรรพชนแห่งเผ่ากระจายวิญญาณลูกนี้ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ถูกยกขึ้นมา!
หินภูเขามหาศาลร่วงหล่น ฝุ่นธุลีราวหมอกฟุ้งกระจายไปทั่ว เศษต้นไม้ใบหญ้านับไม่ถ้วนร่วงหล่นลงมา เขาบรรพชนลอยเอียงขึ้นไป
คนเผ่ากระจายวิญญาณที่เห็นภาพนี้ทั้งหมดตาโตอ้าปากค้าง หัวสมองร้องกู่ก้องรุนแรง
โดยเฉพาะเหนือศีรษะของนกประหลาดตัวนั้น มีร่างเงายืนอยู่ เวลานี้ก็ยิ่งดูสะดุดตามากขึ้น
ร่างหนึ่งในชุดนักพรตผู้ครองกระบี่สีขาว ผมยาวสีเหมือนดำคล้ายม่วง ใบหน้าหล่อเหลาแต่กลับเย็นชาเต็มเปี่ยม ทั้งหมดทั้งมวล สั่นสะเทือนไปทั่วสารทิศในแค่สิบกว่าอึดใจ
จนกระทั่งชิงฉินยกเขาบรรพชนเผ่ากระจายวิญญาณลอยขึ้นมากลางอากาศ ขณะที่แผดเสียงคำรามดังก้องชั้นเมฆ กรงเล็บก็ออกแรงจิก ทันใดนั้นทั้งเขาบรรพชนก็เกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วน แผ่ลามออกไปอย่างรวดเร็ว และแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลางอากาศ ระเบิดแตกในที่สุด
หัวหน้าเผ่าทั้งสี่ของเผ่ากระจายวิญญาณกระอักเลือด สีหน้าพรั่นพรึงและโกรธแค้น ฝืนหนีออกไปคนละทิศคนละทาง
มองเขาบรรพชนที่พังทลาย มองนกประหลาดที่น่ากลัวนั่น มองสวี่ชิงที่อยู่บนนั้น เสียงคำรามจนปอดแทบฉีก ดังออกมาจากปากของพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง
“ชิงฉิน!?”
“ผู้ครองกระบี่!!”
“ผู้อาวุโสชิงฉิน ท่านมาทำลายตำหนักเทพเขาบรรพชนเผ่าข้าด้วยเหตุอันใด!!”
พลังบำเพ็ญของหัวหน้าเผ่าทั้งสี่นี้อยู่ในระดับสมบัติวิญญาณ ทว่ายังไม่สำเร็จสมบัติลับ แต่อยู่ในช่วงบ่มเพาะสมบัติลับที่หนึ่งขั้นต้น
ระดับสมบัติวิญญาณ การบ่มเพาะสมบัติลับเชื่องช้าและยากลำบากมาก ดังนั้นสมบัติวิญญาณส่วนใหญ่จึงอยู่ที่ขั้นตอนบ่มเพาะมรรคา มีเพียงการก่อร่างสร่างโลกในสมบัติลับให้สำเร็จเท่านั้น จึงจะมีวิถีสวรรค์ ถึงจะกลายเป็นสมบัติลับที่สมบูรณ์ชิ้นหนึ่ง
แต่ต่อใหเป็นแค่ช่วงบ่มเพาะ พลังบำเพ็ญของพวกเขาก็เพียงพอจะสะกดปราณก่อกำเนิดทั้งหมดได้
ตอนนี้ขณะที่ทั้งสี่คนคำราม ยอดเขากระบี่นับสิบที่ห่างออกไปก็สั่นสะเทือนพร้อมกัน ภูเขาที่อยู่ริมสุดสองฝั่ง ทะเลสาบที่เดิมทีมีอยู่บัดนี้กลับโหมคลื่นยักษ์ขึ้นมา
น้ำทะเลสาบนับไม่ถ้วนตีเกลียวจนไปรวมอยู่ด้านหนึ่ง ดวงตาคู่หนึ่งที่ขนาดเท่ากับทะเลสาบก็ลืมขึ้นมาในทะเลสาบ
จ้องชิงฉินบนฟากฟ้าเขม็ง
“สหายชิงฉิน มาที่นี่ด้วยเหตุอันใด!”
หลังจากที่ดวงตาขนาดยักษ์นี้ลืมตื่น เสียงเหมือนระฆังก็ดังก้องไปทั้งแผ่นดินใหญ่ ถัดมาก็มีร่างขนาดยักษ์แปดพันจั้ง ลุกขึ้นยืนช้าๆ
ยอดเขากระบี่นับสิบที่อยู่บนตัวมันแต่เดิมเวลานี้ก็ลุกขึ้นมาด้วย กลายเป็นหนามแหลมบนตัวมันทันที
ส่วนหัวก็เช่นกัน
ท่านนี้คือปฐมบรรพจารย์หวนสู่อนัตตาเพียงหนึ่งเดียวในเผ่ากระจายวิญญาณ
ในดวงตาเขามีริ้วมรรคาไหลเวียน ด้านนอกมีเงานับไม่ถ้วนซ้อนทับ และเหมือนจะยังมีโลกใบเล็กก่อตัว แต่ยังทำได้ไม่ถึงระดับให้ปรากฏตัวขึ้น อยู่ในระดับหวนสู่อนัตตาขั้นสองระดับสมบูรณ์ ขั้นสามครึ่งก้าว
เวลานี้เขาดูเหมือนจะสงบ แต่ในใจกลับพรั่นพรึงมหาศาล
“แกว๊ก!” กลางอากาศ ชิงฉินส่งเสียงหยามหมิ่นออกมา สวี่ชิงที่ยืนอยู่บนหัวขวาของเขา มองทั้งหมดนี้อย่างเย็นชา เอ่ยเสียงเย็นเยียบ
“สี่สายโลหิตของเผ่ากระจายวิญญาณ แปดร้อยปีมานี้ ฝ่าฝืนกฎระเบียบเผ่ามนุษย์หนึ่งหมื่นแปดพันเก้าร้อยสามสิบเอ็ดครั้ง ยังไม่ได้ดำเนินการ
“และครั้งล่าสุด คือการไม่ยอมดำเนินการตามโองการของเจ้าวังครองกระบี่ในการให้สมบัติวิญญาณและหวนสู่อนัตตาเข้าร่วมสงคราม
“วันนี้ที่ข้าสกุลสวี่มาที่นี่ ก็เพื่อจับกุมอาชญากรทั้งหมดในช่วงแปดร้อยปีนี้!”
เมื่อสวี่ชิงเอื้อนเอ่ย ทั่วทั้งเขาชี้แจ้งวิญญาณก็สั่นสะเทือน คนจำนวนนับแสนในเผ่าพากันเดินออกมาจากทั่วสารทิศ มองมหาวิหคบนท้องฟ้าด้วยสายตาโกรธแค้น
มองไป บนพื้นดินล้วนเป็นยักษ์ พลังเลือดลมที่แผ่ออกมาจากร่างพวกเขาน่าตกตะลึงยิ่งกว่า
“เผ่าของข้าพึ่งพาเผ่าเคียงเซียน ไม่ได้ละเมิดพันธสัญญาพันธมิตรเผ่ามนุษย์ วันนี้มีผู้ครองกระบี่ทำลายภูเขาแห่งนี้ ก็เท่ากับทำลายสัญญาพันธมิตร!” เงาร่างยักษ์บนพื้น ส่งสายตามาที่สวี่ชิงเป็นลำดับแรก
“เจ้าคิดจะก่อความวุ่นวายภายในใหญ่โตในเขตปกครองผนึกสมุทร ขณะที่แนวหน้ากำลังวิกฤตอยู่ในตอนนี้อย่างนั้นหรือ”
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ หันไปคารวะศีรษะตรงกลางของชิงฉิน
“ผู้อาวุโสชิงฉิน โปรดท่านลงมือทำลายเผ่านี้ทิ้งด้วยขอรับ”
ชิงฉินดวงตาเผยประกาย ร่างสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างตื่นเต้น มันไม่ได้ลงมือทำลายล้างเผ่ามานานแล้ว หลายครั้งหลังจากที่มันตื่นขึ้นมาก็รู้สึกทอดถอนใจ รู้สึกว่าในฐานะที่เป็นตัวตนดุร้าย ถ้าไม่ทำลายเผ่า จะคู่ควรกับสายเลือดนี้ได้อย่างไร
นอกจากนี้นานแล้วที่มันไม่ได้กินเลือดเนื้อ ทั้งวันเอาแต่กลืนกินลมฟ้าเมฆหมอกจนลิ้นมันด้านชาไม่รู้รสไปนานแล้ว
แต่ก่อนหน้านี้มันเลือกข่มเอาไว้ ถึงอย่างไรเผ่ามนุษย์ในเขตปกครองผนึกสมุทรนี้ก็ยังรักษาสมดุลอยู่ ถึงแม้มันจะไม่สนใจ แต่ก็ขี้เกียจไปทำลาย
ส่วนพี่ใหญ่ที่มันนับถือที่สุดในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณก็เตือนให้มันลงความโหดเหี้ยม อย่างสังหารเผ่าต่างๆ โดยเฉพาะเผ่ามนุษย์ จะได้ไม่เดินซ้ำรอยปฐมบรรพจารย์
ให้มันมีเพื่อนมากๆ นี่ถึงจะเป็นวิถีที่ยืนยาว
ทว่าตอนนี้ ในเมื่อพี่น้องที่พี่ใหญ่ให้ตนคอยดูแลเอ่ยร้องขอขึ้นเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้ครองกระบี่ มันก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องดี ตนไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ
ส่วนทำไมเผ่ามนุษย์คนนี้จึงเป็นพี่น้องกับพี่ใหญ่ เรื่องนี้มันไม่สนใจ มันรู้แค่ว่าพี่ใหญ่ดีกับตน ชีวิตนี้ยากจะทดแทนได้ ดังนั้นคำขอร้องของพี่ใหญ่ ตนจะไม่ทำให้พี่ใหญ่ต้องขายหน้า
ดังนั้น หลังจากที่ส่งเสียงร้องแกว๊ ชิงฉินก็ระเบิดจิตสังหาร ร่างไหววูบ พุ่งไปทางเผ่ากระจายวิญญาณฉับพลัน
“ช้าก่อน!!” บนพื้นดิน ปฐมบรรพจารย์เผ่ากระจายวิญญาณใจสั่นสะท้าน รีบร้อนเอ่ย
ทว่า ไม่มีประโยชน์
ด้วยความเร็วของชิงฉิน เพียงพริบตาก็พุ่งลงมา
พื้นดินสะเทือนสั่นไหวอย่างรุนแรง ภูเขานับไม่ถ้วนภายใต้การพุ่งลงมาของร่างขนาดหมื่นจั้ง บ้างก็สั่นไหวอย่างรุนแรง บ้างก็ถล่มทลาย
ลมพายุที่ชิงฉินโหมขึ้นพัดกวาดไปรอบด้านครืนครัน กลิ่นอายที่มาจากหวนสู่อนัตตาขั้นสามบริบูรณ์ก็ปะทุขึ้น
ทุกจุดที่พัดผ่าน เผ่ากระจายวิญญาณส่วนใหญ่ที่อยู่ในรัศมีหมื่นลี้ ไม่มีคุณสมบัติกระทั่งจะต้านทาน เมื่อร่างกายสั่นไหว ก็ระเบิดแหลกเละ เลือดเนื้อซ่านกระเซ็นไปทั่ว
มองลงมาจากท้องฟ้า จะเห็นได้ว่าการแผ่ขยายเช่นนี้ก่อตัวขึ้นเป็นคลื่นสีเลือดทีละระลอก ขณะที่ย้อมทุกสิ่งเป็นสีแดง ฉับพลันแม่น้ำเลือดเนื้อไร้ที่สิ้นสุดก็ไหลย้อนกลับอย่างบ้าคลั่งจากการสูดรับอย่างตื่นเต้นของชิงฉิน พุ่งเข้าปากอันใหญ่โตของหัวทั้งสาม
เพียงพริบตาก็ถูกมันกลืนกินราวกับดื่มข้าวต้ม เพียงแค่เคี้ยวไม่กี่คำก็กลืนลงไป
น่าขนพองสยองเกล้า
หัวหน้าเผ่าทั้งสี่คนนั้นหนังหัวแทบจะระเบิดออกมาแล้ว แต่ละคนกระอักเลือดออกมาขณะที่พรั่นพรึง ต่างถูกพายุคลั่งนี้เล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส
สองคนในนี้บาดเจ็บสาหัสยิ่ง หนีช้าเกินไป เมื่อเบื้องหน้าลายตา ข้างหน้าของแต่ละคนก็ปรากฏจะงอยปากมโหฬารที่กำลังอ้าค้าง กลืนลงไป
เสียงร้องแหลมดังออกมา หลังจากเสียงเคี้ยวไม่กี่ที ก็เงียบไป
ราวกับว่าสำหรับชิงฉินแล้ว สองคนนี้ราวกับถั่วลิสง มีรสชาติกว่าข้าวต้ม
ภาพนี้ทำให้คนของเผ่ากระจายวิญญาณพรั่นพรึงถึงขีดสุดในพริบตา ส่วนผู้อาวุโสสองคนที่โชคดียังไม่ตายก็หน้าถอดสี ความพรั่นพรึงและความหวาดกลัวปกคลุมไปทั้งจิตใจ หนีตายอย่างบ้าคลั่ง
ดวงตาบรรพจารย์กระจายวิญญาณท่านนั้นก็เผยความตกตะลึงโกรธแค้น ร่างแปดพันจั้ง สาวเท้ามาหาชิงฉิน คิดจะสกัด
และหลังจากกินอาหารเลือดไป ชิงฉินก็ตื่นเต้นขึ้นอีกอย่างชัดเจน ดวงตาของหัวทั้งสามแดงก่ำไปหมด ขนที่รกรุงรังบนร่างก็ล้วนปลิวพลิ้ว เมื่อโหมลมคลั่ง ก็อ้าปากใหญ่ทั้งสามพร้อมกัน เงยหน้าส่งเสียงร้องฮึกเหิมออกมา
แกว๊กๆๆ!
ขณะที่แผดเสียงร้อง มันไม่สนใจบรรพจารย์กระจายวิญญาณที่พุ่งมา แต่บินหลบไปอย่างรวดเร็ว กรงเล็บขนาดยักษ์ทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วบนพื้น ทุกครั้งที่ย่ำเท้าลง ทุกจุดที่เยื้องย่างส่งเสียงครืนครัน ต่อให้เหยียบลงไปบนยอดเขาก็ยังเป็นเช่นนี้
ภูเขาถล่มลงมา หลอมรวมกับพื้นดินจากเท้าของชิงฉิน
สวี่ชิงก็ถอยหลังอย่างรวดเร็วจากการเคลื่อนตัวไปด้านหน้า ผละออกมาจากหัวของมัน ยืนอยู่ที่ตัวของชิงฉิน
เพราะหัวทั้งสามของชิงฉินรวดเร็วเกินไป ขณะที่โน้มลงไปอย่างรวดเร็วก็ดั่งแม่ไก่จิกเหยื่อ จะงอยปากจิกเผ่ากระจายวิญญาณที่ร้องโหยหวนบนพื้นทีละคน
สำหรับชิงฉิน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอาหาร
“ผู้อาวุโส หากมีวังสวรรค์ สะดวกเหลือไว้ให้ข้าหน่อยได้หรือไม่? เอ่อ…แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรขอรับ” สวี่ชิงใจเต้น เอ่ยอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อเขาพูดออกไป ความโหดเหี้ยมของชิงฉินก็โหมขึ้น ขนนกบนตัวทั้งหมดลุกชูชัน ราวกับคำพูดของสวี่ชิงทำให้มันรู้สึกหวงอาหารขึ้นมาตามสัญชาตญาณ
แต่ไม่นาน มันก็เก็บความเหี้ยมโหดกลับไป หลังจากนึกถึงตอนที่เจอกับพี่ใหญ่ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณเมื่อครั้งนั้น อีกฝ่ายเสี้ยมสอนหลายครั้งว่าอย่ากินคนเดียว จึงร้องแกว๊กขึ้นมา เมื่อสะบัด ก็เลือกเผ่ากระจายวิญญาณระดับแก่นลมปราณหนึ่งวันสวรรค์ที่กำลังหายใจรวยรินให้สวี่ชิง
ส่วนพวกวังสวรรค์ระดับสูงรวมถึงปราณก่อกำเนิด มันกังวลว่าจะหนีไป จึงกลืนทั้งหมดลงไปในคำเดียว
มือขวาพรางมารยาของสวี่ชิง พริบตาก็ทะลวงเข้าไปในร่างกายของเผ่ากระจายวิญญาณ กระชากวังสวรรค์ออกมาสูดรับ
เขามองออกว่าชิงฉินไม่อยากแบ่งให้…
และตัวตนเช่นนี้ เขาก็ทำได้เพียงเจรจาหารือเท่านั้น ไม่อาจเข้าไปควบคุม ทว่าสวี่ชิงก็ไม่คิดจะควบคุมอยู่แล้ว ตอนนี้จึงนั่งขัดสมาธิ ยอมให้ชิงฉินกลืนกินเผ่ากระจายวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง
แต่ไม่นาน บรรพจารย์กระจายวิญญาณคนนั้นก็ไล่ตามมา ขณะที่โกรธจัดก็ซัดหมัดใส่ชิงฉิน
เขารู้ว่าตนห่างชั้นกับอีกฝ่าย ขณะที่ลงมือ เขาชี้แจ้งวิญญาณทั้งหมดก็สั่นไหว วิชาเวทย์หลายสายพุ่งขึ้นมารวมกันกลางอากาศจนกลายเป็นค้อนขนาดหมื่นจั้ง
นี่คือของวิเศษเวทต้องห้ามของเผ่าพวกเขา ด้วยการปะทุขึ้นเวลานี้ก็ฟาดมาทางชิงฉินอย่างแรง
ชิงฉินดวงตาเผยความดุร้าย เชิดหัวทางขวาขึ้นพลัน โหม่งกระหม่อมไปยังค้อนที่ฟาดลงมาอย่างแรง
เสียงโครมดังสนั่น ค้อนหมื่นจั้งของวิเศษเวทต้องห้ามชิ้นนี้ก็ม้วนกลับไป ส่วนชิงฉิน หัวของมันสั่นไหวเล็กน้อย ไม่เจ็บไม่คันเลยสักนิด
แต่เหมือนว่าค้อนนี้ทำให้จิตสังหารของมันปะทุขึ้น ดวงตาของมันเผยความกระหายเลือดบ้าคลั่ง เปล่งเสียงแหลมเสียดหู คอยืดอย่างรวดเร็ว
ส่วนหัวทางด้านซ้าย เวลานี้ก็วูบไหว ขณะที่บรรพจารย์กระจายวิญญาณลงมือ ก็พุ่งไปปะทะ
เสียงครืนครันจนหูแทบดับ ร่างของบรรพจารย์กระจายวิญญาณก็ทานรับหัวของชิงฉินไม่ไหว ถูกชนกระเด็นไปจนกระอักเลือด ถอยกลับโซซัดโซเซ
แต่เหมือนหัวซ้ายก็ถูกกระตุ้นจิตสังหารออกมาเช่นกัน ไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว คุ้มคลั่งขึ้นมา ชนกลับบ้าง ฉีกทึ้งบ้าง อ้าปากพ่นพลังวิเศษที่น่ากลัวออกไปบ้าง
การปะทะกันของทั้งสองฝ่ายก่อเกิดลมฝนสายอัสนี ส่งผลกระทบกับสภาพอากาศรอบด้าน ทำให้ฟ้าดินบิดเบี้ยวและขมุกขมัวมหาศาล
นี่ใกล้เคียงกับเทพเจ้าแล้ว
นั่นเป็นสภาวะที่ใช้วิถีสวรรค์ของตนสลับกับวิถีสวรรค์ภายนอก
มีเพียงหัวที่อยู่ตรงกลาง ไม่สนใจอะไรเลย ดวงตาเผยแววละโมบ ยืดลำคอ ขณะที่กำลังกลืนกินเผ่ากระจายวิญญาณที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นอย่างต่อเนื่องทีละคน กินอย่างมีความสุข ขนนกแหลมคมบนตัวก็ตวัดเป็นริ้วๆ อย่างรวดเร็ว
สวี่ชิงมองทั้งหมดนี้ เขาก็ไม่ใช่แม่พระ ย่อมไม่มีการเห็นอกเห็นใจเผ่ากระจายวิญญาณ ทว่าผ่านการสังหารของชิงฉินตอนนี้ เขาก็เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่าสัตว์ปีกดุร้ายมากขึ้นแล้ว
เขาสัมผัสได้ว่าชิงฉินยิ่งกินก็ยิ่งคุ้มคลั่ง จิตสังหารปะทุขึ้นไม่หยุด กระทั่งแทบจะสะกดสติปัญญาของมันไปแล้ว
ขณะที่พื้นดินสั่นสะเทือนเวลานี้ จากการที่วิชาเวทโหมขึ้น เตาหลอมลูกกลอนขนาดยักษ์ที่คลุมเขาชี้แจ้งวิญญาณได้ทั้งหมดใบหนึ่งก็เลือนราง
นี่ก็เป็นของวิเศษเวทต้องห้ามเผ่ากระจายวิญญาณเช่นกัน เป็นหวนสู่อนัตตาที่ตายไปของเผ่า ใช้ร่างกายหลอมขึ้นมา
มองไกลๆ เตาหลอมลูกกลอนนี้ใหญ่โตมโหฬาร ภูเขาไฟแต่ละแห่งบริเวณนั้นก็ระเบิดขึ้น ขณะเดียวกันก็แผ่ความร้อนระอุไปนับแสนลี้ ทำการหลอมในเตาหลอมนี้
เห็นเช่นนี้ ดวงตาหัวกลางของชิงฉินก็ฉายแววเย้ยหยัน สั่นไปทั้งร่าง แสงสีม่วงแดงสายหนึ่งเจิดจ้าออกมาจากตัวชิงฉินฉับพลัน
สวี่ชิงที่อยู่บนร่างของชิงฉิน แสงนี้หลีกเลี่ยงตัวเขาแผ่ออกไปทางด้านบนลามไปรอบด้านไม่หยุด แสงสีม่วงแดงพลันกวาดไปอย่างรุนแรงจากการแผดเสียงร้องเสียดหูดังก้องของหัวกลางชิงฉิน
เสียงวูมดังขึ้น ทุกจุดที่แสงสีม่วงแดงพาดผ่าน หินภูเขาสลายหาย คนของเผ่ากระจายวิญญาณแก่ชราลงทันทีราวกับถูกลดพลังชีวิต และเตาหลอมยักษ์นั่นก็สั่นไหวในพริบตานี้
เมื่อเห็นว่าเตาหลอมต้านทานแสงเทพดวงชีพของตนได้ ชิงฉินก็โมโห กวาดไปอีกครั้ง
เตาหลอมไม่อาจต้านทานได้อีกระเบิดพังทลายกลายเป็นแสงสีม่วงแดงทันที กระทั่งค้อนบนท้องฟ้าก็แตกสลายไปอีกครั้งเช่นกัน บรรพจารย์เผ่ากระจายวิญญาณส่งเสียงโศกเศร้าอย่างสิ้นหวังออกมา
“นี่มันคือแสงเทพดวงชีพที่มีเพียงในสัตว์ปีกประเภทเทพเท่านั้น เจ้าถึงกับปลุกสายเลือดก่อแสงเทพขึ้นมาเลยหรือ!”
ดวงตาชิงฉินเปล่งประกายโหดเหี้ยม เหมือนว่าการปรากฏขึ้นของแสงเทพ ทำให้มันเริ่มขาดสติสัมปชัญญะอีกครั้ง กระทั่งสวี่ชิงทางนี้ยังสัมผัสได้ถึงวิกฤต เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบสำแดงวิหคทองของตนออกมา
ขณะเดียวกันวังสวรรค์ในร่างก็พลันเปล่งแสง แสงอาทิตย์อัสดงปกคลุมบนตัววิหคทองและตน กวาดออกไปทันทีเช่นกัน
แม้เทียบกับแสงเทพแล้วจะยังไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง แต่เมื่อดูแล้วก็มีความคล้ายคลึงอย่างมาก
จากการที่แสงอาทิตย์อัสดงเจ็ดสีแผ่ซ่าน จู่ๆ หัวกลางของชิงฉินก็มองมาทางสวี่ชิง ดวงตาฉายแววยินดีออกมา และยิ่งสนิทชิดเชื้อขึ้นไปอีก เริ่มได้สติสัมปชัญญะกลับมาบางส่วนจากความคุ้นเคยนี้
“แกว๊ก!”
ชิงฉินร้องอย่างดีใจ ขนนกบนแผ่นหลังชี้ขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากปกป้องสวี่ชิงไว้ด้านใน จิตสังหารของหัวทั้งสามก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง จ้องไปที่บรรพจารย์เผ่ากระจายวิญญาณเขม็ง
ราวกับว่ากินขนมขบเคี้ยวไปพอสมควรแล้ว ได้เวลากินมื้อหลักเสียที
แต่ตอนนี้เอง จู่ๆ หัวทั้งสามของชิงฉินก็เงยขึ้น มองไปทางฟากฟ้าไกลๆ บรรพจารย์กระจายวิญญาณคนนั้นก็ถอยอย่างรวดเร็วเช่นกัน คารวะไปทางท้องฟ้าด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ขณะที่คารวะนี้ ท้องฟ้าลั่นครืนครัน แยกออกเป็นรอยแตกขนาดยักษ์ และในรอยแตกนี้ ก็มีร่างเงาขนาดยักษ์สามร่างอยู่
ร่างเงาทั้งสามนี้ ด้านหลังของทุกร่างก่อตัวเป็นเงาหมื่นจั้ง พวกเขาเป็นสองชายหนึ่งหญิง สวมชุดนักพรตสีขาว ร่างทั้งร่างขาวดุจหิมะ คิ้วกับเส้นผมล้วนเป็นสีขาว ด้านหลังก็เป็นปีกสีขาวเช่นกัน
ส่วนหน้าตาก็ล้วนงดงาม
เผ่าเคียงเซียนนั่นเอง
และกลิ่นอายก็ไม่ได้แตกต่างกับชิงฉินมากนัก
หลังจากปรากฏตัว หญิงสาวคนนั้นที่อยู่ตรงกลาง ก็กวาดตามองชิงฉินอย่างเย็นชา เอ่ยเสียงเย็นเยียบ
“ชิงฉิน ไยต้องมากลืนกินเผ่าที่พึ่งพาข้าอยู่!!”
หลังจากที่ชิงฉินกวาดตามองทั้งสามคนนี้ มันก็กางปีก เผยตัวสวี่ชิง
สวี่ชิงเดินออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เดินมาตามลำคอของชิงฉินจนอยู่บนหัวขวาของมัน เงยหน้ามองไปบนฟ้า
เขาตอนนี้ ถูกแสงเทพของชิงฉินปกคลุม สะกัดกั้นพลังอำนาจที่มาจากท้องฟ้าให้เขา
การปรากฏตัวของเขา จริงๆ ควรจะดึงดูดสายตา แต่ทั้งสามคนบนท้องฟ้าไม่แม้แต่จะมอง ราวกับในสายตาพวกเขา สวี่ชิงเป็นแค่มดปลวก ไม่คู่ควรกับสายตาของพวกเขา
“ชิงฉิน เรื่องนี้พวกเข้าจะไม่ซักไซ้ ถ้าเจ้ากินเสร็จแล้วก็จงออกไปทันที” หญิงสาวเผ่าเคียงเซียนตรงกลางบนท้องฟ้า มองหัวตรงกลางของชิงฉิน เอ่ยเสียงเย็นเยียบ
หัวตรงกลางกับหัวทางซ้ายของชิงฉินไม่สนใจ เวลานี้กำลังพัวพัน ต่างจัดขนบนคอให้กัน มีเพียงหัวขวาที่เชิดขึ้น ดึงดูดความสนใจอย่างมาก
อยู่ในท่าทีที่พวกเจ้าคุยกันไป ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกข้า
ภาพนี้ ทำให้เผ่าเคียงเซียนทั้งสามต้องกวาดตามองสวี่ชิง แต่ก็ไม่ได้มองตรงๆ นัก
หญิงตรงกลางคนนั้น ล้วงแผ่นหยกชิ้นหนึ่งแล้วส่งจิตเทพออกมา
“ปลัดเขตปกครองผนึกสมุทร วังครองกระบี่เผ่ามนุษย์ของเจ้าโจมตีเผ่าของข้า ทำลายพันธสัญญาพันธมิตรแปดร้อยปี เผ่าเคียงเซียนของข้าจะไม่ทำตามเงื่อนไขของเจ้าวังครองกระบี่ของเจ้าที่ให้ปิดเผ่าไม่ออกสู่ภายนอกอีกต่อไป จะปลดกำแพงแล้วออกไปทันที
“เรื่องนี้เป็นความผิดของเผ่ามนุษย์ของเจ้า ไม่ใช่ของเผ่าข้า ไม่เพียงแต่เจ้าต้องให้คำอธิบายกับเผ่าข้า ส่งตัวผู้ร้ายมา แต่ยังต้องให้เจ้าวังครองกระบี่ของเจ้า อธิบายกับเผ่าข้าทันทีด้วย!”
จากจิตเทพที่สะท้อนก้องของหญิงสาวเผ่าเคียงเซียนคนนี้ ฟ้าดินก็เปลี่ยนสี แผ่นหยกสื่อเสียงของสวี่ชิงสั่นสะเทือนขึ้นมา
สวี่ชิงไม่สนใจ ระหว่างทางที่มาเขาคิดเอาไว้ทั้งหมดแล้ว เอ่ยราบเรียบ
“ข้าให้คำอธิบายกับเจ้าได้
“ไม่รู้ว่าหากปล่อยเทพเจ้าที่ถูกขังไว้ในกรมราชทัณฑ์ออกมา เพียงพอจะอธิบายได้หรือไม่
“เมืองหลวงเขตปกครองเผ่ามนุษย์ มีพลังที่สร้างขึ้นจากของวิเศษต้องห้ามนับไม่ถ้วนของเขตปกครองผนึกสมุทรคุ้มกันอยู่ หากคิดจะทำลายก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแต่คนธรรมดา กินแล้วไม่มีรสชาติ
“ส่วนดินแดนเผ่าเคียงเซียนของเจ้าที่อยู่ข้างๆ ในนี้มีผู้แข็งแกร่งอยู่มากมาย สำหรับความหิวโหยของเทพเจ้าแล้ว น่าจะเลิศรสยิ่งกว่า
เมื่อสวี่ชิงพูดออกไป เผ่าเคียงเซียนทั้งสามคนบนท้องฟ้าก็สีหน้าเคร่งขรึม ผู้บำเพ็ญด้านซ้าย แค่นเสียงเย็นชา
“บังอาจนัก!”
จากเสียงตะคอกสะท้อนก้องดุจสายอัสนี หญิงสาวเผ่าเคียงเซียนตรงกลางก็มองมาที่สวี่ชิงอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก
“น่าสนใจ พลังบำเพ็ญแค่นี้ คิดไม่ถึงว่าจะกล้ามาเอ่ยปากกำเริบเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดอะไรออกมา!”
“ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว” สายตาของสวี่ชิงเผยความคุ้มคลั่งออกมาทันที
“ข้ายังรู้อีกด้วยว่าสนามรบฝั่งตะวันตกและทางเหนือขาดแคลนทรัพยากรอย่างยิ่ง ทุกวินาทีมีการบาดเจ็บล้มตายมหาศาล แนวหน้าพร้อมแตกพ่ายได้ตลอดเวลา ทั้งเขตปกครองผนึกสมุทรอยู่ในช่วงวิกฤต หากไม่มีการมอบทรัพยากร การที่กองทัพใหญ่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์จะทะลวงแนวหน้าเข้ามาจะเกิดขึ้นแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ายังจะมีอะไรที่ไม่กล้าได้อีก
“แนวหน้าสูญเสียการป้องกัน ภายใต้การรุกรานเข้ามาของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ หากเผ่ามนุษย์ไม่ถูกทำลายล้างก็คงกลายเป็นทาสรับใช้เยี่ยงหมูหมา ในเมื่อล้วนต้องตาย เช่นนั้นวังครองกระบี่ตอนนี้ยังจะคอยปิดผนึกเทพเจ้าให้กับต่างเผ่าอื่นๆ ในเขตปกครองผนึกสมุทรเพื่ออะไร ถ้าไม่ตายด้วยน้ำมือเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องตายด้วยน้ำมือเทพเจ้า ไม่แตกต่าง
“หากเป็นอย่างหลัง ยังได้ฝังกลบต่างเผ่าอย่างพวกเจ้าไปด้วย มันก็คุ้มค่าดี
“ดังนั้นเจ้าถือดีอย่างไรมาคิดว่าข้าไม่กล้า” ขณะที่สวี่ชิงพูดก็ยกมือขวาขึ้น มือของเขามีป้ายฐานะแสงสีทองกระพริบวาบ
ป้ายฐานะของเจ้าวังนั่นเอง
ป้ายฐานะนี้ เจ้าวังมอบอำนาจทั้งหมดในวังครองกระบี่ให้แล้ว
ตอนที่หยิบป้ายฐานะนี้ สวี่ชิงก็มองเผ่าเคียงเซียนบนท้องฟ้า เอ่ยอย่างตั้งใจ
“ข้าไม่ใช่แค่ไม่กล้า แต่ยังอำนาจในการลงมือทำด้วย
“แล้วพวกเจ้าล่ะ…กล้าหรือไม่”
เมื่อสวี่ชิงเอ่ยปาก ชิงฉินด้านล่างเขาก็สั่นเทิ้ม สองหัวที่กำลังจัดขนให้กันก็เงยขึ้นทันที จ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างหยิ่งทะนง
“แกว๊ก!”



