Skip to content

Outside Of Time 540

บทที่ 540 ราตรีก่อนสายลมทิวา ราตรีนี้แม่น้ำดวงดารา

สวี่ชิงดวงตาแข็งค้าง

เขารู้จักตะเกียงใบนี้ นี่คือตะเกียงปีกโลหิตวิญญาณทมิฬ!

ตอนนั้นเขาใช้ตัวตนเผ่าฟ้าทมิฬขอเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์มาได้ดวงหนึ่ง และหลอมเข้าไปในร่างจนกลายเป็นหนึ่งในปราณมรรคา

เพียงแต่ดวงนั้นเป็นปีกซ้าย

พลังของมันคือความเร็วเป็นหลัก

ส่วนตรงหน้าเขาดวงนี้ คือปีกขวา

สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด เงยหน้ามองโหวเหยา

ดวงตาโหวเหยาแฝงความหมายลึกซึ้ง ใบหน้าเปื้อนยิ้ม หยิบจอกชาข้างๆ ขึ้นจิบไป ไม่พูดอะไร

สวี่ชิงเงียบนิ่ง ก่อนหน้านี้เขารู้ดีว่าเขตปกครองผนึกสมุทรไม่ว่าจะเจ้าเขตปกครองหรือว่าเจ้าวังล้วนไม่ใช่คนธรรมดา ส่วนโหวเหยาที่เคยเป็นหนึ่งในห้าหัวหอกก็เช่นเดียวกัน

ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นสหายกับต่างเผ่าได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับการยอมรับ

และไม่ใช่ทุกคนที่อดทนจนถึงที่สุด ถึงได้จ้องหาโอกาสระเบิดออกมา

ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เรื่องที่อีกฝ่ายยังมีกำลังกวาดล้างต่างเผ่าที่มีเจตนาร้ายทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ วิธีการ โหวเหยาคือตัวเลือกที่ดีที่สุด

และให้ตะเกียงดวงนี้มา ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

“ศึกที่แท่นพิธีก่อนหน้านี้ ข้าสำแดงฉัตรตะเกียงชีวิตออกมา สุดท้ายกลายเป็นข้อผิดพลาดอย่างหนึ่ง…” สวี่ชิงพึมพำในใจ เขาตระหนักถึงจุดนี้ได้ แต่ว่าตอนนี้ เขาไม่อาจเก็บงำได้แล้ว

คิดแล้วก็ด้วยเหตุนี้ โหวเหยาก็สังเกตเห็นจุดนี้ จึงรู้ตัวตนปลอมของเขาตอนอยู่ที่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ ใช้เส้นสายของตัวเอง นำเอาตะเกียงดวงนี้มาให้

เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าใคร่ครวญของสวี่ชิง โหวเหยาก็ยิ้มออกมา เขาหวังว่าสวี่ชิงจะใคร่ครวญให้มาก มีเพียงเช่นนี้ ทางด้านจิตใจจะได้เติบโตเร็วยิ่งขึ้น

ตอนนี้เมื่อเห็นว่าใกล้เคียงแล้ว โหวเหยาจึงวางจอกชาในมือ เอ่ยเสียงราบเรียบ

“แม้ว่าศึกนี้ของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์จะมีเงื่อนงำบางอย่าง แต่ความเสียหายก็มากมายมหาศาลเช่นกัน เช่นรัฐเล็กๆ ของต้นสิบลำไส้เหล่านั้น ทั้งองครักษ์ชุดดำบางส่วนอีก ล้มหายตายจากกันหมด”

โหวเหยากล่าวถึงจุดนี้ก็ชะงักเล็กน้อย สบตากับสวี่ชิง เอ่ยเสียงแผ่วเบา

“บ้างก็ตายไปก่อนหน้านี้ บ้างก็ตายในช่วงครึ่งเดือนนี้ ส่วนการโยกย้ายราชวังสายลมสวรรค์ ก็ทำให้บันทึกมากมายหายไป จักรพรรดิสายลมสวรรค์รู้สึกเสียใจมาก”

ดวงตาสวี่ชิงมีระลอกคลื่น

“สวี่ชิง ฐานะของเจ้าตอนนี้ สามารถรู้เรื่องราวบางอย่างได้ เจ้าเขตปกครอง สหายเลี่ยงซิวกับข้าตอนนั้นเคยมีแผนการอย่างหนึ่ง นั่นคือทำให้ข้าได้รับความเชื่อมั่นจากเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็เข้าไปสานสัมพันธ์กับจักรพรรดิสายลมสวรรค์ ยุยงให้มีการก่อกบฏ ทำให้จักรพรรดิสายลมสวรรค์กลับสู่เผ่ามนุษย์!”

เมื่อโหวเหยากล่าวออกมา ในใจสวี่ชิงก็โหมคลื่น

เขานึกถึงก่อนหน้านี้ที่เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวขึ้นในสนามรบทางเหนือก็คือจักรพรรดิสายลมสวรรค์กับจักรพรรดิหมอกจันทรา เห็นได้ชัดว่านี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่โหวเหยาสามารถรอดพ้นจากความตายได้หลังจากที่บาดเจ็บสาหัส

“ข้าทำเรื่องนี้ไปแล้วแปดส่วน ขอเวลาให้ข้าอีกสักสิบปี…แต่น่าเสียดาย แผนการสู้การเปลี่ยนแปลงไม่ได้ สนามรบทางเหนือก่อนหน้านี้ จักรพรรดิหมอกจันทราบุกเข้ามาอย่างน่าหวั่นเกรง กระทั่งในบรรดาทหารฝ่ายศัตรูก็น่าสงสัยว่าจะมีเผ่ามนุษย์ของเราอยู่ด้วย…”

แววตาโหวเหยาเผยประกายเย็นชา

“การตายของสหายเหิงซิ่นกับสหายหรงอวี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาถึงเพียงนั้น ส่วนข้าหลังจากที่จักรพรรดิสายลมสวรรค์ปล่อยให้หนีออกมา องค์ชายเจ็ดก็เสด็จมาคลี่คลายทุกอย่าง ปรากฏตัวตรงหน้าข้าพอดีและช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ใจข้ารู้สึกถึงเงื่อนงำ แต่ก็ทำได้เพียงยอมเป็นไพ่ตายของเขา”

สวี่ชิงเงียบนิ่ง หยิบจอกชาข้างๆ ขึ้นมา มองน้ำในจอกชา น้ำชากำลังโหมระลอกคลื่น

โหวเหยามองสวี่ชิง เอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“สวี่ชิง ที่ข้าบอกกับเจ้าทั้งหมดนี้ เพราะหวังว่าเจ้าจะมองสถานการณ์ออกอย่างกระจ่างแจ้ง และเจ้าตอนนี้ ก็ไม่ใช่แค่ผู้ครองกระบี่อีกแล้ว

“ฐานะบางฐานะ ตัวหมากบางตัวที่ควรใช้ก็นำมาใช้ ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้จักรพรรดิสายลมสวรรค์เป็นตัวแทนบรรพชนเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ หารือรายละเอียดเรื่องการคืนกลับมาของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์กับองค์ชายเจ็ด ในนี้ยังรวมถึงดินแดนใต้อาณัติบางส่วนด้วย

“หลายเขตปกครองกำลังติดต่อกัน ส่วนเขตปกครองผนึกสมุทรของเราก็ต้องขยับขยาย…

“เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เบื้องหน้าเหมือนตัดความสัมพันธ์กับเผ่าฟ้าทมิฬ แต่เมื่อพิจารณาจากการที่ข้าได้สานสัมพันธ์กับพวกเขาหลายปีมานี้ ข้าคิดว่าจากนิสัยของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไม่มีทางยอมถูกกดข่มอยู่ฝ่ายเดียว จะต้องแอบรักษาความสัมพันธ์กับเผ่าฟ้าทมิฬลับๆ เป็นแน่ และคงไม่น้อยอีกด้วย

“เช่น ในกลุ่มที่ปรึกษาของแคว้นสายลมสวรรค์ครั้งนี้ มีอดีตขุนนางชนชั้นที่สองบางส่วน ได้ยินมาว่าหนึ่งในนั้น บุตรเทวะฟ้าทมิฬเป็นผู้ยกระดับชนชั้นให้ด้วยตัวเอง”

โหวเหยามองสวี่ชิงด้วยตาเปล่งประกาย

เขากล่าวเปิดอกกับคนอื่นเช่นนี้น้อยมาก

สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ แต่ในใจกำลังครุ่นคิด หลังจากผ่านเรื่องเหล่านี้มาก็เชื่อใจในตัวโหวเหยาอยู่บ้าง และอีกฝ่ายยังกล่าวออกมาถึงเพียงนี้ เขาก็ไม่มีอะไรให้ปิดบังเช่นกัน

ดังนั้นหลังจากคิด สวี่ชิงจึงวางจอกชาในมือลง หยิบแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมา และแผ่กลิ่นอายพระจันทร์สีม่วงของตนวูบหนึ่ง ยื่นให้โหวเหยา

“มู่เยี่ย”

หลังจากโหวเหยารับแผ่นหยกมาก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“สวี่ชิง แม้ข้าจะเดาเรื่องที่เจ้าปลอมตัวเป็นบุตรเทวะเผ่าฟ้าทมิฬในเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ได้ และรู้เรื่องราวคร่าวๆ แต่รายละเอียดก็ยังไม่แน่ชัด ดังนั้นมู่เยี่ยนีเชื่อถือได้ใช่หรือไม่”

“ข้าเพียงคิด ก็กำหนดความเป็นความตายเขาได้แล้ว”

สวี่ชิงตอบกลับเสียงเบา

โหวเหยาได้ยินก็หัวเราะ พยักหน้า จากนั้นก็แจ้งให้สวี่ชิงรู้ข้อมูลที่เกี่ยวกับแสงนอกพิภพ

“แสงนี้มีความหมายตามชื่อของมัน เป็นลำแสงลึกลับในความว่างเปล่าด้านนอกแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ที่มาไม่ชัดเจน พบเห็นได้น้อยครั้ง ตกลงมาในแดนดินต้องประสงค์น้อยถึงน้อยมาก ทั้งยังเก็บรักษาได้ยากอีกด้วย

“ก่อนที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้าจะมาเยือนนั้นเป็นเช่นนี้ แต่หลังจากที่เสี้ยวหน้าเทพเจ้ามา แสงนี้ก็หายสาบสูญไป

“มันสามารถหลอมรวมตะเกียงชีวิตได้จริง แต่สิ่งที่ต้องจ่ายนั้นมากมายนัก ต้องใช้พลังชีวิตของตัวเอง”

เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็รู้สึกเสียดาย รู้ว่าหากอยากได้แสงนอกพิภพนั้นเป็นการงมเข็มในมหาสมุทรอย่างไม่ต้องสงสัย แทบจะไม่มีความเป็นไปได้เลย

จึงพูดคุยเรื่องสัพเพเหระอีกเล็กน้อง สวี่ชิงก็ขอตัว

ตอนที่เดินออกจากจวนเหยา โลกภายนอกเป็นช่วงสายัณห์แล้ว ข้างหูสวี่ชิงมีเสียงของหลิงเอ๋อร์ดังมา

“พี่สวี่ชิง ท่านต้องระวังผู้บำเพ็ญหญิงสองคนนั้นนะเจ้าคะ!

“สายตาของพวกนางไม่พิกลนัก โดยเฉพาะคนที่รินชาให้ท่านคนนั้น ข้ารู้สึกว่านางมีพิรุธยิ่ง พี่สวี่ชิงต้องระวังตัวให้มากๆ ข้ารู้สึกว่าพวกนางอาจจะทำร้ายท่าน”

หลิงเอ๋อร์ทำหน้าจริงจัง

สวี่ชิงได้ยินก็ตั้งใจ นึกย้อนอย่างละเอียด คิดถึงเรื่องของจางซืออวิ้น เขาก็คิดว่าไม่แน่เหยาอวิ๋นฮุ่ยอาจจะมีแผนร้ายบางอย่างอยู่ จึงพยักหน้า

ส่วนเรื่องเหยาเฟยเหอ สวี่ชิงยังไม่เข้าใจ แต่ก็เก็บเรื่องนี้ไว้คิดในภายหลัง

เมื่อเห็นว่าสวี่ชิงเห็นด้วย หลิงเอ๋อร์ก็ดีใจมาก นางรู้สึกว่าตัวเองมีประโยชน์ ช่วยเหลือพี่สวี่ชิงตรวจสอบอันตรายที่มาจากภายนอกได้ จึงลอยออกมาจากในแขนเสื้อมาอยู่ข้างหูสวี่ชิงแล้วเอ่ยขึ้นแผ่วเบาว่า

“พี่สวี่ชิง อันที่จริงข้าก็มีประโยชน์นะเจ้าคะ รอให้ข้าแปลงร่างได้ก่อน ข้าทำงานบ้านได้ด้วยนะ

“จริงสิ ข้ายังร้องเพลงได้ ข้าฉลาดมาก พี่สาวเผ่าต้นไม้วิญญาณเหล่านั้นสอนข้าไม่กี่คราก็ทำได้แล้ว

“ข้าร้องเพลงให้ท่านฟังสักเพลงดีหรือไม่”

ความสุขเอ่อล้นออกมาจากเสียงหลิงเอ๋อร์ หลังจากสวี่ชิงดยินก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

หลิงเอ๋อร์ฮัมเพลงออกมาเบาๆ ราวกับเสียงละอองฝน สะท้อนก้องอยู่ข้างหูสวี่ชิง ประดุจหยาดน้ำทิพย์ชโลมใจ

“แสงจันทร์นวลกระจ่าง สว่างอาบไล้รั้วไม่เลื้อยในคืนวัน หยาดวสันต์ยังคงมิสร่างซา บั่นและร้อยเรียงเสน่หาเป็นตะเกียง…”

“ไม่เอ่ยว่าชาติหน้าจะได้คู่เคียง กล่าวเพียงพานพบคือวาสนา

“ในชาตินี้ไม่โศกโศกา ขอเจ้ามีบุษบาบานข้างกายา มองย้อนมาจากภพหน้า คลี่ยิ้มโสภา ต่อให้ผ่านไปนานปี…”

บทเพลงของหลิงเอ๋อร์ ไหลอวลอยู่ในใจสวี่ชิง

ภายใต้แสงสายัณห์ เขาเดินอยู่บนถนนในเมืองหลวงเขตปกครอง ซ่อนกลิ่นอาย บิดเบือนร่องรอย เดินผ่านฝูงชน เดินผ่านเสียงดังอึกทึก เข้าสู่ความเงียบสงบ

สายลมยามราตรีพัดผ่านร่างเขา ราวกับได้ยินบทเพลงนี้ พัดเส้นผมจนพลิ้วไหวไปตามเสียงเพลง

แสงอาทิตย์อัสดงก็มาเยือนในเวลานี้ ส่องสะท้อนไปที่ร่างงูขาวตัวน้อย หักเหออกมาเป็นร่างเด็กสาวร่างหนึ่งเลาๆ ใบหน้าแดงเรื่อ กำลังขับร้องบทเพลงแผ่วเบา

ไกลออกไป ในจวนปลัดเขตปกครอง นายท่านเจ็ดยืนอยู่บนหอสูง มองมายังถนน

สายตาเขาหยุดอยู่ที่ร่างสวี่ชิงด้วยใบหน้าคลี่ยิ้ม

ข้างกายเขาเลือนราง ร่างของโหวเหยาเดินออกมาจากความว่างเปล่า ยืนอยู่กับเขา

“หนุ่มสาวนี่ดีเสียจริง” นายท่านเจ็ดทอดถอนใจ

สายตาโหวเหยาก็ไปหยุดที่สวี่ชิงไกลๆ เช่นกัน ยิ้มออกมา

“ใช่ หนุ่มสาวนี่ดีเสียจริง”

“เพราะฉะนั้น ศิษย์ของข้าคนนี้ช่วยเหลือตระกูลเจ้า ทั้งยังช่วยล้างความผิดที่ถูกใส่ร้าย เจ้าต้องปกป้องคุ้มครองดีๆ”

นายท่านเจ็ดมองไปทางโหวเหยา

“ไม่เช่นนั้น ความทุกข์ระทมนี้ คงไม่มีใครก้าวออกมาเอ่ยคำว่าคัดค้านในตอนนั้นได้แล้ว”

“เจ้ายังไม่เชื่อใจข้า” โหวเหยาทอดถอนใจเบาๆ

“ข้าขบคิดเรื่องนี้มาหลายวัน วันนั้น…หากข้าไม่ตะโกนประโยคนั้น เจ้าจะปรากฏตัวหรือไม่” ดวงตานายท่านเจ็ดล้ำลึก จ้องโหวเหยาเขม็ง

โหวเหยามองสวี่ชิงที่อยู่ไกลๆ ครุ่นคิดอย่างตั้งใจครู่หนึ่ง สมองระลึกถึงภาพเมื่อครึ่งเดือนก่อน ครู่ต่อมา เขาก็เอ่ยเสียงแผ่ว

“ข้าคงก้าวออกมาเหมือนเดิม”

นายท่านเจ็ดไม่พูดอะไร ดวงตาจับจ้องฟากฟ้ายามเย็น นานพอควร จึงเอ่ยเสียงเรียบว่า

“เช่นนั้นเจ้ากับศิษย์ข้าคุยกันว่าอย่างไรบ้าง”

“สามมณฑลของเขตปกครองผนึกสมุทรพวกเรา เขายังไม่คืนให้ เขตปกครองผนึกสมุทรยังขาดพลังสั่นสะเทือนสยบ”

พูดถึงตรงนี้ โหวเหยาก็มองไปทางนายท่านเจ็ด

“ศพของสหายเหิงซิ่นกับสหายหรงอวี้ที่หลอมเป็นหุ่นเชิด…เป็นอย่างไรบ้าง”

นายท่านเจ็ดส่ายหน้า

“นั่นคือร่างทดสอบเทพเจ้ายุคใหม่ หากจะควบคุมยังค่อนข้างยาก แต่ข้าคิดวิธีได้แล้ว ช่วงนี้จะกลับไปที่เจ็ดเนตรโลหิตสักหน่อย นำสิ่งที่ข้าศึกษาที่นั่นกลับมา

“อีกอย่าง ต้องย้ายเจ็ดเนตรโลหิตมาที่เมืองหลวงเขตปกครองด้วย”

โหวเหยาพยักหน้า การโยกย้ายของเจ็ดเนตรโลหิตเป็นเรื่องสมควร เขาไม่ได้ถามอะไรมาก หันหลังเดินจากไป

จนโหวเหยาจากไปแล้ว นายท่านเจ็ดก็ก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง

ในฝ่ามือเขา มีอักขระที่ก่อร่างขึ้นจากปราณเทพสายหนึ่ง

นี่คือของเล่นที่เขาศึกษาไว้ก่อนหน้านี้ชิ้นหนึ่ง มีประโยชน์เพียงอย่างเดียว นั่นคือการจับเท็จ

หลักการคือเทพเจ้านั้นปราดเปรื่องรอบรู้ แม้แค่คลับคล้ายคลับคลา แต่ใช้คุณสมบัตินี้ช่วยตัดสินจริงเท็จได้ระดับหนึ่ง

ภายใต้การจับจ้องของนายท่านเจ็ด อักขระบนฝ่ามือก็ส่องสว่าง

ครู่ต่อมา นายท่านเจ็ดก็พยักหน้า

‘สิ่งที่กล่าวมามาจากใจจริง แต่ยังไม่อาจเชื่อหมดใจ อย่างไรใจคนก็เปลี่ยนได้

‘ในเมื่อเขตปกครองผนึกสมุทรนี้เป็นของเจ้าสี่ เช่นนั้น…ก็ต้องเป็นของเขาแน่นอน’

ดวงตานายท่านเจ็ดเปล่งประกาย หลังจากครุ่นคิด เขาก็ล้วงแผ่นหยกออกมาส่งสื่อเสียงให้สวี่ชิง

“เจ้าสี่ อีกสามวันอาจารย์จะออกจากเมืองหลวงเขตปกครองกลับไปที่เจ็ดเนตรโลหิตสักหน่อย เจ้าก็ไม่ได้กลับไปนานแล้วเช่นกัน ครั้งนี้ไปกับข้าเถอะ”

พูดจบ แววตานายท่านเจ็ดก็ฉายแววคาดหวัง

“เมื่อรุ่งโรจน์ร่ำรวยแล้วไม่กลับบ้านเกิด ก็เหมือนสวมชุดผ้าไหมเดินยามค่ำคืนนั่นแล…”

สวี่ชิงที่เพิ่งกลับมาวังครองกระบี่ กำลังดื่มด่ำกับเสียงเพลงของหลิงเอ๋อร์ ผ่านไปสักพักเขาถึงสังเกตเห็นว่าแผ่นหยกสื่อเสียงสั่น และได้ยินคำพูดของท่านอาจารย์

“หลิงเอ๋อร์ เจ้าอยากกลับไปที่เจ็ดเนตรโลหิตหรือไม่” สวี่ชิงมองไปทางหลิงเอ๋อร์

“อยากเจ้าค่ะ ข้าก็เป็นกรมข่าวกรองของเจ็ดเนตรโลหิตนะเจ้าคะ” งูขาวตัวน้อยตอบรับอย่างร่าเริง

เห็นภาพหลิงเอ๋อร์ตื่นเต้น สมองสวี่ชิงก็ผุดร่างเงาที่คุ้นเคยหลายคนในเจ็ดเนตรโลหิตขึ้นมา เขาก็อยากกลับไปที่เจ็ดเนตรโลหิตสักครั้งหนึ่งเช่นกัน ไปกวาดสุสานให้นายท่านหก

อีกทั้งของหัวหน้าเหลยกับปรมาจารย์ไป๋ เขาก็ไม่ได้ไปคารวะนานแล้ว

นอกจากนี้ ในเมื่อเลือกจะไป เช่นนั้นก็มีเรื่องเรื่องหนึ่งที่สวี่ชิงคิดจะไปจัดการ

ดังนั้นเขาจึงหยิบแผ่นหยกสื่อเสียงหาท่านอาจารย์

“ท่านอาจารย์ การเดินทางของพวกเรา ผ่านเผ่าควันขจรได้หรือไม่ขอรับ

“ข้ามีศัตรูอยู่ผู้หนึ่ง ต้องไปล้างแค้นเสียหน่อย”

สวี่ชิงเป็นพวกแค้นฝังหุ่น ตั้งแต่เด็กจนโตก็เป็นเช่นนี้มาตลอด

สามวันถัดมา เรือศึกบรรพกาลของเจ็ดเนตรโลหิตลำหนึ่งก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าเมืองหลวงเขตปกครอง

สีดำสนิททั้งลำ ทรงพลังอย่างยิ่ง หอคอยและภูเขามอบนนั้น บรรจุผู้บำเพ็ญได้แสนคน

นายท่านเจ็ดยืนอยู่ในหอสูงที่สุดบนเรือศึกบรรพกาล ข้างๆ มีสวี่ชิงยืนอยู่คนเดียว

แต่ด้านหลังพวกเขา กลับมีผู้บำเพ็ญนับพันติดตามมา ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญร้อยศึกวังครองกระบี่ทั้งสิ้น นำโดยผู้ดูแลซือหนาน นี่เป็นคำสั่งของหลี่อวิ๋นซานเจ้าวังครองกระบี่รวมถึงโหวเหยา

หนึ่งพันคนนี้ เป็นองครักษ์ระหว่างเดินทางออกจากเขตปกครองผนึกสมุทรของสวี่ชิง

นี่คือการคุ้มครองสวี่ชิง

ส่วนนักพรตซือหนาน นอกจากฐานะผู้ดูแลแล้ว ยังเพิ่มมาอีกหนึ่งฐานะ นั่นคือผู้คุ้มครอง

บนท้องฟ้า นอกจากเรือศึกบรรพกาล ยังมีร่างขนาดยักษ์เดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือนอยู่อีกร่าง นั่นคือชิงฉิน

เดิมมันไม่คิดจะติดตามไป แต่หลังจากสวี่ชิงบอกว่าจะหาอาหารให้ มันก็ฮึกเหิม บินตามมาด้วย

ตอนนี้บนท้องฟ้า มันอดทนรอไม่ไหว ส่งเสียงร้องแกว๊กๆ

เสียงดังก้องไปทั้งชั้นเมฆ ดังไม่ทั่วสารทิศ ทำให้คนธรรมดาและผู้บำเพ็ญของเมืองหลวงเขตปกครองนับไม่ถ้วนได้ยิน

ดังนั้นภายใต้การส่งด้วยสายตาของผู้คน สวี่ชิงก็คารวะไปทางนักพรตซือหนานรวมถึงสหายร่วมรบอีกหนึ่งพันด้านหลัง เรือศึกบรรพกาลส่งเสียงครืนครัน ทะยานหวีดหวิวสู่เส้นขอบฟ้า

ท้องฟ้าแจ่มใสนับหมื่นลี้ สายรุ้งยาววาดผ่าน โหมระลอกคลื่นเป็นระลอกๆ ไปรอบด้าน

เดิมความเร็วของเรือศึกบรรพกาลก็น่าตกตะลึงอยู่แล้ว ยิ่งหลังจากที่ชิงฉินกระพือปีกเสริมแรงให้มัน ความเร็วก็เหนือกว่าสายอัสนี ไม่ถึงหนึ่งวัน พวกเขาก็มาถึงชายแดนเมืองหลวงเขตปกครอง มองเห็นทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา

เสี้ยวขณะที่ลอยเข้าไป พลังอำนาจที่มาจากเรือศึกบรรพกาลรวมถึงอารมณ์โมโหหิวของชิงฉิน กลายเป็นพลังสังหาร ทำให้ท้องฟ้าที่นี่เลือนราง พายุทรายบนพื้นดินหยุดชะงัก ความร้อนระอุราวกับสลายไปในพลังสังหารนี้ไม่น้อย

มีเพียงจิตสังหารที่มีต้นกำเนิดมาจากเรือศึกบรรพกาลและชิงฉิน อบอวลไปทั้งแปดทิศ

โดยเฉพาะ นักพรตซือหนานรวมถึงผู้ครองกระบี่ร้อยศึกนับพันบนเรือศึกบรรพกาล ระหว่างทางพวกเขารู้จุดหมายแรกของการเดินทางครั้งนี้แล้ว ว่าเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มหนึ่งของเผ่าควันขจร

สำหรับพวกเขา เมื่อผ่านประสบการณ์ในสนามรบ หลังจากก้าวผ่านทะเลเลือดภูเขาซากศพ สำหรับการสังหารและความตาย ไม่ได้ถึงกับเฉยชา แต่ก็โหมระลอกคลื่นมหาศาลขึ้นมาในใจได้ยากมาก

ดังนั้นตอนนี้จึงสงบกันมาก ยิ่งเป็นเช่นนี้ จิตสังหารที่มาจากร่างพวกเขาก็ยิ่งสยบได้ทั้งสี่ทิศ

ขณะที่เรือศึกบรรพกาลหวีดหวิวลึกเข้าไป เผ่าต่างๆ ในทะเลทรายก็พากันใจสั่น

ต่อให้เป็นแสงแปลกๆ ก็ไม่กล้าปรากฏตัวออกมา

ส่วนเผ่าควันขจรที่อยู่ในทะเลทรายนั้นไม่ใช่เผ่าใหญ่ รูปร่างของพวกเขาเป็นลักษณะว่างเปล่าล่องลอย โดยพื้นฐานที่ที่มีหมอกควันจะมีชนเผ่านี้อยู่

ด้วยลักษณะพิเศษนี้ ทำเผ่าควันขจรแยกตัวเป็นกลุ่มยิบย่อยมากมาย

ส่วนเรื่องที่เผ่านี้สมคบคิดกับเทียนประทีป สวี่ชิงก็แจ้งให้โหวเหยาทราบหลังจากที่ปลัดเขตปกครองพ่ายแพ้ ดังนั้นการปราบปรามจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนแล้ว

ถึงพวกมันจะพยายามฟื้นความสัมพันธ์ พยายามแก้ไขข้อขัดแย้ง แต่ไม่มีประโยชน์ เผ่ามนุษย์ที่ถูกการเปลี่ยนแปลงของปลัดเขตปกครองทรมาน ต้องการที่ระบายอารมณ์ และเทียนประทีปก็ถูกเผ่ามนุษย์ตั้งค่าหัวไว้แล้ว พวกที่ข้องเกี่ยวก็ยากจะรอดพ้นโทษทัณฑ์ไปได้

ดังนั้นเผ่าควันขจรกลุ่มย่อยจึงถูกสยบไปทีละกลุ่ม ต่อให้หนีรอดไปได้บ้างก็ไม่มากนัก

แต่มีเมืองเผ่าควันขจรกลุ่มย่อยแห่งหนึ่ง ที่สวี่ชิงจงใจเลือกเป็นพิเศษ

ที่นั่นก็คือที่ที่เขาส่งข้ามกลับมาจากต้นสิบลำไส้ตอนนั้น ประสบกับอันตรายครั้งใหญ่หลวง มุ่งหน้าไปเพื่อร้องขอให้ส่งข้าม แต่กลับจงใจถ่วงเวลาเอาไว้

จนถึงตอนนี้สวี่ชิงยังจำได้ ตอนนั้นตนอยู่ด้านนอกเมืองเฝ้ารออย่างนอบน้อม สัมผัสเจตนาร้ายจากกลุ่มเผ่าอีกฝ่ายได้ สายตาจ้องมองสวี่ชิงจากที่ไกลๆ ของผู้คนที่อยู่ในเมืองตอนนั้นมีแต่ความเย็นชา

และตอนที่พวกมันถ่วงเวลา ทำให้ฉู่เทียนฉวินดักสกัดสวี่ชิงที่ชายแดนทะเลทราย และเกิดศึกเป็นตายขึ้นมา ทั้งสนามรบยังเป็นชิ้นส่วนของโลกใบเล็กเผ่าควันขจรด้วย

หากไม่มีหลิงเอ๋อร์ สวี่ชิงคงดับสูญในศึกนั้นไปแล้ว

กระทั่งหลังจากที่เขาเดินออกมา ยังมีร่างเงาเผ่าควันขจรขนาดใหญ่จับจ้องมาทางเขามากขึ้น

แค้นนี้ สวี่ชิงจดจำมาโดยตลอด

ตอนนี้จากการที่เรือศึกบรรพกาลพุ่งหวีดหวิว สวี่ชิงมองบนพื้นทะเลทรายด้วยสายตาเย็นชา เหมือนชิงฉินจะสัมผัสอารมณ์ของสวี่ชิงได้จึงส่งเสียงแสบหูดังมาจากฟ้า

หลังเที่ยงวัน ก็มองเห็นดินแดนเผ่าควันขจรในความทรงจำสวี่ชิงไกลๆ

มองไกลๆ ที่นั่นเต็มไปด้วยหมอกควัน เป็นเมืองมายาแห่งหนึ่ง เดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือนท่ามกลางปราณหมอกที่ไร้เนื้อแท้

สำหรับเผ่าควันขจรที่ดำรงชีวิตในปราณหมอก ร่างหมอกที่ล่องลอยก็คือร่างกายของพวกมัน ส่วนหุ่นเชิดที่อยู่ในโลกใบเล็ก เป็นสิ่งพวกมันสิงเข้าไปใช้ในการต่อสู้

เพียงแต่ครึ่งเดือนมานี้ โทษทัณฑ์ของเผ่ามนุษย์ ทำให้โลกใบเล็กเผ่าควันขจรพังพินาศย่อยยับไปกว่าครึ่ง ที่เหลืออยู่ก็ถูกปิดตาย ด้วยพลังของเผ่ามนุษย์ เผ่าควันขจรไม่ใช่คู่มือเลยแม้แต่น้อย

ส่วนที่นี่ เพราะสวี่ชิงเสนอ ดังนั้นหลังจากถูกปิดผนึกก็จงใจเหลือทิ้งไว้ ขณะที่เผ่าควันขจรด้านในอยู่ท่ามกลางความตื่นตระหนก ทุกข์ทรมานจนถึงตอนนี้

จวบจนตอนนี้ เมื่อสวี่ชิงมาถึง ก็เป่าแตรสัญญาณทำลายล้างไปที่เผ่าย่อยแห่งนี้

ชิงฉินพุ่งออกไปเป็นลำดับแรก ร้องแกว๊กออกมาอย่างตื่นเต้น ระเบิดแสงสีแดงม่วง ฉีกเกราะคุ้มกัน มุดศีรษะทั้งสามเข้าไปพร้อมกัน สูดรับทันที

เสียงกรีดร้องเวทนาดังก้องไปทั้งแปดทิศ ปราณหมอกนับไม่ถ้วนทะลักเข้าไปในปากชิงฉิน มันกินอย่างลิงโลดยิ่ง ส่งเสียงคำรามตื่นเต้นออกมา

ยิ่งผู้ครองกระบี่หนึ่งพันคนก็ทยอยกลายเป็นสายรุ้งยาวตามคำสั่งของนักพรตซือหนาน พุ่งเข้าไปประหัตประหารกับเผ่าควันขจรในที่แห่งนี้

สวี่ชิงยืนอยู่บนเรือศึกบรรพกาล มองทั้งหมดอย่างเย็นชา

เขาไม่รู้สึกสงสารเห็นใจ นับตั้งแต่ที่เผ่านี้สมคบคิดกับเทียนประทีป ก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องมีบทสรุปเช่นนี้

ไม่ว่าจะเพราะผลประโยชน์หรือว่าเดิมพัน ในเมื่อพวกมันเลือกช่วยเทียนประทีปต่อต้านเผ่ามนุษย์ เช่นนั้นก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับการกวาดล้างชนเผ่าหลังจากล้มเหลวด้วย

ในโลกที่โหดร้ายใบนี้ ตาต่อตาฟันต่อฟัน คือหลักการในการมีชีวิตรอดต่อไป

ส่วนการล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้ ไม่ได้ใช้เวลานานนัก ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ชนเผ่ากลุ่มย่อยกลุ่มหนึ่งเท่านั้น

เมื่อพลังไร้ขีดจำกัดสะกดลงมา ที่นี่จึงไม่อาจที่จะต้านทานได้แต่อย่างใด

ผ่านไปสองชั่วยาม หมอกควันสลาย หายสาปสูญไปไม่เหลือ

ชิงฉินยังรู้สึกไม่สาแก่ใจ ส่งเสียงแกว๊กไปทางสวี่ชิง เหมือนถามว่ายังมีให้กินอีกหรือไม่…

สวี่ชิงคิดๆ พยักหน้า

ชิงฉินฮึกเหิมทันที บินวนบนฟากฟ้าอย่างดีใจ พวกเขาก็เดินทางออกจากที่นี่

ระหว่างทางที่ไปยังจุดส่งข้าม สวี่ชิงล้วงตำราไม้ไผ่ออกมาจากถุงเก็บของ ใช้เหล็กแหลมขีดฆ่าเผ่าควันขจรที่สลักเอาไว้ทิ้ง

นายท่านเจ็ดที่อยู่ข้างๆ เหลือบมองตำราไม้ไผ่นั่น เห็นว่าด้านบนสุดเขียนชื่อขององค์รัชทายาทม่วงครามไว้ และเห็นว่าด้านล่างยังมีชื่อถูกขีดทิ้งไปแล้วมากมาย มีชื่อหนึ่งที่ยังไม่ถูกขีดฆ่า สะดุดตาเป็นอย่างมาก

นั่นคือชื่อของนายกอง ยิ่งไปกว่านั้นยังใส่เครื่องหมายคำถามเอาไว้มากมาย

นายท่านเจ็ดกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยกมือชี้นิ้ว

“นี่มันอะไร”

สายตาสวี่ชิงหยุดอยู่ที่ชื่อของนายกอง ยกมือจะขีดทิ้งแต่ก็ชะงักไป

“ที่ขีดทิ้งส่วนใหญ่คือตายไปแล้ว ไม่มงคลขอรับ” สวี่ชิงอธิบายกับอาจารย์ หลังจากเก็บตำราไม้ไผ่ ก็มองเหล็กแหลมในมือ

เหล็กแหลมสั่นเทาเล็กน้อย แสดงท่าทีนอบน้อม

“ท่านอาจารย์ ก้างปลาชิ้นนั้นล่ะขอรับ” สวี่ชิงรู้สึกว่าบรรพจารย์สำนักวัชระกับเจ้าเงาไล่ตามพลังต่อสู้ของตนไม่ทันแล้ว จึงคิดจะเปลี่ยนขึ้นมา

บรรพจารย์สำนักวัชระสัมผัสความคิดนี้ได้ การสั่นไหวของเหล็กแหลมจึงรุนแรงขึ้น

เจ้าเงาด้านหลังเขาก็เริ่มบิดเบี้ยวแผ่คลื่นอารมณ์หวาดกลัวอ้อนวอนออกมา

สวี่ชิงไม่สนใจ แต่หลิงเอ๋อร์สัมผัสได้ จึงโผล่หัวออกไปมองเจ้าเงาอย่างใคร่รู้

เจ้าเงาสะดุ้ง ก็เปลี่ยนกลยุทธ์ ไปออดอ้อนกับหลิงเอ๋อร์แทน

ได้ยินเสียงของสวี่ชิง นายท่านเจ็ดก็ยิ้มเล็กน้อย เขาสัมผัสสิ่งของยุ่งเหยิงวุ่นวายในร่างศิษย์คนนี้ได้นานแล้ว แต่ตั้งแต่ที่รู้ว่าในร่างสวี่ชิงยังมีนิ้วเทพเจ้าอีกนิ้วหนึ่งอยู่ เขาก็ไม่รู้สึกแปลกใจแล้ว

“ก้างปลาชิ้นนั้นข้าแบ่งเป็นสามส่วน กำลังหลอมอยู่ คำนวณเวลาแล้วอีกครึ่งเดือนก็น่าจะเป็นรูปเป็นร่าง

“น่าเสียดาย ก้างปลาสามชิ้นนั้นของไป๋เซียวจัวหายไปแล้ว”

นายท่านเจ็ดนึกเสียดาย เขาได้สอบถามสวี่ชิงเกี่ยวกับการส่งข้ามในศึกแท่นพิธีก่อนหน้านี้ในเวลาต่อมา สวี่ชิงไม่ได้ปิดบัง เล่าให้ฟังทั้งหมด

ขณะที่เจ้าเงาออดอ้อนหลิงเอ๋อร์กระทั่งกระจายตัวเปลี่ยนเป็นรูปร่างต่างๆ จนเหมือนละครเงา เรียกเสียงหัวเราะของหลิงเอ๋อร์ เรือศึกบรรพกาลก็ลอยข้ามทะเลทรายไปยังจุดส่งข้ามที่ใกล้ที่สุด เข้าใกล้มณฑลรับเสด็จราชันเช่นนี้

สองวันต่อมา

ที่ราบหิมะสีขาวผืนนั้นของมณฑลรับเสด็จราชันก็สะท้อนเข้ามาในดวงตาของสวี่ชิง

สายลมของที่นี่หนาวเย็นยิ่งกว่าเมืองหลวงเขตปกครอง เกล็ดหิมะก็มากกว่าเช่นกัน ร่วงโรยลงมาจากฟากฟ้า พัดม้วนขึ้นมาจากพื้นดินไม่หยุด บดบังสายตา สลัวเลือนรางไปทั่วทั้งแปดทิศ

แต่กลับมีเงานับพันกำลังรออยู่ตรงนั้น ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในพายุหิมะ

ผู้นำ คือผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชัน

พริบตาที่เรือศึกบรรพกาลเข้าใกล้ สีหน้าของผู้อาวุโสก็เคร่งขรึม ประสานหมัดคารวะ

“น้อมรับปลัดเขตปกครอง”

คนนับพันด้านหลังเขาก็ทำเช่นเดียวกัน พากันคารวะ

มารยาทนี้จำเป็นต้องมี

ฐานะของนายท่านเจ็ด ไม่ใช่เจ้าสำนักเจ็ดเนตรโลหิตอีกแล้ว เขาคือปลัดเขตปกครอง

ในกลุ่มคน นอกจากผู้ครองกระบี่ ยังมีเหล่าผู้บำเพ็ญสำนักอีกด้วย

ผู้บำเพ็ญเหล่านี้แบ่งเป็นสองส่วน ฝั่งหนึ่งคือชุดนักพรตสีดำ มาพร้อมกับลวดลายสีเลือด พวกเขาคือลัทธินอกวิถี

ส่วนอีกฝั่งคือชุดนักพรตสีทอง ดูสูงส่งไม่ธรรมดา ราวกับมีปราณเซียนปะทุ เปนสำนักเซียนล้ำบารมีนั่นเอง

แต่ไม่ว่าชุดนักพรตจะชั่วร้ายหรือจะประณีต ล้วนไม่ส่งผลกระทบกับความเคารพนอบน้อมที่ปรากฏบนสีหน้าพวกเขา

สีหน้านายท่านเจ็ดราบเรียบ มองไม่เห็นคลื่นอารมณ์ใด ราวกับด้วยวัยวุฒิของเขาที่ชินชากับทุกสิ่งตั้งนานแล้ว เรื่องทางโลกอย่างอารมณ์ปรารถนาสวมเสื้อผ้าหรูหรากลับบ้านเกิดสำหรับเขา ไม่มีทางโหมระลอกคลื่นใดขึ้นได้

สวี่ชิงที่อยู่ข้างๆ สังเกตเห็นสีหน้าของอาจารย์ ในใจก็ยิ่งนับถือ เขาคิดว่าจุดนี้ตนเองยังสู้ท่านอาจารย์ไม่ได้ เพราะเขาตอนนี้ ยังมีระลอกคลื่นในใจอยู่

“ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องเล็ก…”

ที่ไกลๆ เสียงที่แฝงความคร่ำครวญเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากกลุ่มสำนักเซียนล้ำบารมี ร่างหนึ่งในชุดนักพรตเจ็ดเนตรโลหิต บนศีรษะมีหมวกทรงสูงอักษรต้องห้าม ร่างผอมโซ ขอบตาดำคล้ำ สาวเท้าเดินออกมาจากในกลุ่มคนอย่างรวดเร็ว

สวี่ชิงจำได้ทันที นั่นคือศิษย์พี่สามของตน

เพียงแต่สภาพอีกฝ่าย ทำให้เขาต้องสูดลมหายใจ

ผอมเกินไปแล้ว ทั้งสีหน้ายังอิดโรย ราวกับร่างกายถูกควักจนกลวง

โดยเฉพาะด้านหลังของศิษย์พี่สาม…ยังมีหญิงสาววัยแรกแย้มอีกเจ็ดแปดคน ทุกคนล้วนอุ้มเด็กทารกไว้ที่อก

สวี่ชิงเบิกตากว้าง ส่วนนายท่านเจ็ดข้างๆ ตอนนี้ยังสีหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยเสียงราบเรียบ

“เหิมเกริมนัก!”

น้ำเสียงเย็นชา สวี่ชิงรับรู้ได้ทันทีว่าตอนนี้อาจารย์โกรธแล้วจริงๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!