Skip to content

Outside Of Time 545

บทที่ 545 ลอบสังหารหน้าหลุมศพ

ผืนอินทนิล สำหรับเผ่ามนุษย์ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณนั้น มีความหมายที่ไม่ธรรมดาแฝงอยู่

โดยเฉพาะสำหรับคนเก็บกวาดและคนธรรมดาแล้ว ผืนอินทนิลเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจจักรพรรดิ เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงส่ง ใครก็ตามที่ออกมาจากผืนอินทนิล ก็เหมือนร่างมีแสงเปล่งประกาย สูงส่งกว่าผู้อื่น

ราวกับเสื้อผ้าของพวกเขางดงามตลอดเวลา เรือนร่างของพวกเขาเหมือนสะอาดสะอ้านอยู่เสมอ

ทำให้ผู้คนใฝ่ฝันหา

ดังนั้นการสามารถเข้าไปในผืนอินทนิลได้ พักพำนักอยู่ที่นั่น คือความใฝ่ฝันและความปรารถนาทั้งชีวิตของคนมากมายในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ

แต่น่าเสียดาย คนที่ทำได้จริงๆ มีอยู่แค่หยิบมือ

ทุกตำแหน่งที่นี่ เป็นเพราะสถานะเดิมของผืนอินทนิล คือเมืองหลวงเผ่ามนุษย์แห่งสุดท้ายในนทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ

แม้รัฐที่ชื่อเดียวกับรัฐม่วงครามในประวัติศาสตร์เผ่ามนุษย์แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์นั้นจะล่มสลายไปแล้ว แต่ตระกูลทั้งแปดในนั้นกลับสืบเชื้อสายจนมาถึงปัจจุบัน

พวกเขาเป็นรากฐานพลังดั้งเดิมของแผ่นดินทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ขณะที่ควบคุมระบบราชสำนัก ออกคำสั่งกับทั้งทวีป ก็เคยมีอดีตกับวิหคเพลิงสวรรค์ ได้รับการคุ้มครองจากวิหคเพลิงสวรรค์

พวกเขาจะไม่ออกจากจากทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณทั้งชีวิต ส่วนผู้อื่นก็ไม่อยากยั่วโมโหพวกเขา

สำหรับพวกเขา ทั้งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ไม่ว่าจะเจ็ดเนตรโลหิต ลัทธินอกวิถี หรือพวกลึกลับที่หากว่ากันตามหลักความเป็นจริง ท้ายที่สุดแล้วก็ล้วนเป็นผู้ที่มาจากภายนอกทั้งสิ้น

ดังนั้นการตัดขาดจากภายนอก คร่ำครึโบราณ หยิ่งผยอง จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของผืนอินทนิลไป

ทว่าวันนี้ คนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในผืนอินทนิล ในช่วงที่แสงอรุณสาดส่อง กลับเห็นภาพฉากที่ไม่น่าเชื่อ

ตระกูลทั้งแปดล้วนเคลื่อนไหว

บรรดาทายาทสายตรงแต่ละคนสวมเสื้อผ้างดงาม ยืนอยู่ที่นอกประตูตะวันออกของผืนอินทนิล เรียงเป็นแถวยาว

ทุกคน ล้วนมีสีหน้านอบน้อม

ส่วนผู้นำตระกูลทั้งแปดยืนเรียงกันอยู่ด้านหน้าสุด ขณะที่แต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึม ข้างกายพวกเขายังมีผู้อาวุโสของแต่ละตระกูลด้วย

ทุกคน ล้วนมองไปทางขอบฟ้าทิศตะวันออก

กระทั่งผู้เฒ่าผู้แก่ตระกูลต่างๆ บางคนที่ถ่ายทอดของวิเศษเวทในร่างกายให้แก่รุ่นหลัง พลังบำเพ็ญอ่อนแอเสื่อมถอยลงมาก กระทั่งเดินเหินก็ยังต้องมีคนคอยประคองก็มาปรากฏตัวบนกำแพงเมือง มองท้องฟ้าไกลๆ

เฝ้ารออยู่เงียบๆ

ภาพนี้ พบเห็นได้น้อยมากในผืนอินทนิลที่พิถีพิถันเรื่องชนชั้น

ในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ โดยพื้นฐานแล้วไม่มีเรื่องอะไรที่ทำให้ตระกูลทั้งแปดที่ตัดขาดจากภายนอกต้องปรากฏตัวยิ่งใหญ่เช่นนี้ และดูจากท่าทีของพวกเขา นี่เป็นเพียงการต้อนรับเท่านั้น

ดังนั้น ภาพในยามเช้าตรู่นี้ ทำให้คนธรรมดาของผืนอินทนิลคาดเดากันไปต่างๆ นานา

และด้านนอกประตูตะวันออก ในบรรดาทั้งแปดตระกูล มีอยู่สองคน ตำแหน่งที่ยืนคือผู้นำตระกูลทั้งแปด

ด้วยอายุของพวกเขา เดิมทีไม่ควรยืนอยู่ตรงนี้ ทว่าวันนี้ พวกเขาได้รับอนุญาตให้มาอยู่ตรงนี้เป็นกรณีพิเศษ

ดังนั้นสายตาไม่น้อยที่มารวมอยู่ที่ร่างพวกเขา กระทั่งผู้นำตระกูลต่างๆ เหล่านั้น ก็ยังชำเลืองมองพวกเขาเป็นระยะ

สองคนนี้เป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง

ผู้ชายหน้าตาเหล่อเหลา หว่างคิ้วซ่อนความคลุมเครือเอาไว้

หญิงสาวหน้าตาสะสวย ใบหน้ามีความตึงเครียดเล็กน้อยพร้อมกับการเฝ้ารอ เพียงแต่สีหน้ายังมีความไม่อยากเชื่ออยู่

เฉินเฟยหยวนกับถิงอวี้นั่นเอง

หนึ่งเดือนก่อน เรื่องที่เกิดขึ้นในเขตปกครองผนึกสมุทร เนื่องจากน่าตกตะลึงเกินไป ดังนั้นทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณจึงได้ยินกันหมด ในฐานะที่เป็นแปดตระกูลใหญ่ผืนอินทนิล พวกเขาย่อมสืบเสาะเรื่องนี้ได้อย่างกระจ่างชัดยิ่งกว่า

พวกเขารู้ว่าอาลักษณ์ที่ชื่อสวี่ชิงคนนั้น ฐานะและตำแหน่งของเขา ผงาดขึ้นจากการสิ้นสุดการเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวงเขตปกครอง

กระทั่งพวกเขายังตรวจสอบถึงต้นกำเนิดของสวี่ชิงแล้วด้วย รู้ว่าเป็นคนจากทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ

เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากรู้ว่าสวี่ชิงกำลังจะมาเยือน ตระกูลทั้งแปดจึงให้ความสำคัญอย่างมาก จึงมีการออกมาต้อนรับครั้งนี้

แม้จะตัดขาดจากโลกภายนอกทั้งยังคร่ำครึ แต่ก็ต้องดูด้วยว่าอีกฝ่ายที่ต้องต่อกรด้วยคือผู้ใด หากเป็นภายในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ พวกเขาย่อมหยิ่งผยองได้ แต่สำหรับเขตปกครองผนึกสมุทร พวกเขาไม่กล้า

“เฟยหยวน เจ้าว่าสวี่ชิง…จะยังเป็นเขาในตอนนั้นหรือไม่” ถิงอวี้กระวนกระวาย เอ่ยเสียงแผ่วเบา

การตายของปรมาจารย์ไป๋ สำหรับถิงอวี้แล้ว ส่งผลกระทบอย่างมาก

และนิสัยของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยจากการเติบโตขึ้นด้วย อ่อนแอมาก ถ้าไม่มีเฟยหยวนคอยปกป้อง นางที่อยู่ในตระกูลของผืนอินทนิล คงกลายเป็นเครื่องมือการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ไปแล้ว

“ถิงอวี้ เรื่องสมัยเด็กน่ะ ลืมไปเถอะ”

เฉินเฟยหยวนเอ่ยราบเรียบ น้ำเสียงของเขาแฝงความอึมครึมด้วยสัญชาตญาณ เขาไม่ได้จงใจเป็นเช่นนี้ แต่เป็นความเคยชินที่หล่อหลอมเขาจากการใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลที่ออกอุบายหลอกลวงกัน ต่อสู้แย่งชิงอำนาจตระกูล

“หากสวี่ชิงยังไม่ลืมมิตรภาพเก่า ย่อมเป็นเรื่องดี หากนิสัยของเขาเปลี่ยนไป ก็เป็นเรื่องปกติ

“ยิ่งครั้งนี้ การมาเยือนของเขา ก็เหมือนเป็นการแจ้งล้วงหน้า…ว่าเรื่องนี้มีความนัยแฝงอยู่”

คำพูดของเฉินเฟยหยวน ทำให้ถิงอวี้เงียบนิ่ง

เวลาไหลผ่านไปครึ่งชั่วยามเช่นนี้ ที่ขอบฟ้าก็มีเสียงร้องแกว๊กดังก้องชั้นเมฆ เสียงนี้สะท้อนไปทั่วสารทิศ ทำให้หมอกเมฆคลบม้วน

ร่างกายใหญ่โตของชิงฉินบดบังม่านฟ้า ตอนที่เงามืดที่ทอดลงมาปกคลุมแผ่นดินผืนอินทนิล เรือศึกบรรพกาลก็ปรากฏบนท้องฟ้า หวีดหวิวเข้ามา

พลังอำนาจประดุจสายรุ้ง หอบลมพายุ พัดผ่านเสื้อผ้าผู้บำเพ็ญทั้งแปดตระกูลบนพื้นดิน แต่ละคนพลันสีหน้าเคร่งขรึม พากันเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า

ร่างเงาของสวี่ชิง เดินออกมาจากในเรือศึกบรรพกาลพร้อมกับนักพรตซือหนาน ตอนที่มาถึงหน้าประตูตะวันออกผืนอินทนิล ตระกูลใหญ่ทั้งก็ประสานหมัดคารวะ

“คารวะอาลักษณ์สวี่ ผู้ดูแลซือหนาน”

ยิ่งมีเสียงระฆังดังออกมาจากด้านในผืนอินทนิล ยี่สิบเอ็ดเสียงเช่นกัน ดังก้องไปทั้งแปดทิศ แสดงถึงความยิ่งใหญ่

สำหรับมารยาทของผู้อื่น สวี่ชิงก็ปฏิบัติเช่นเดียวกันมาตลอด จึงคารวะกลับไปที่ตระกูลทั้งแปด หลังจากพูดคุยทักทายอย่างนอบน้อม เขาก็มองไปทางเฉินเฟยหยวนกับถิงอวี้ ใบหน้าเผยรอยยิ้ม เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

“ศิษย์พี่เฟยหยวน ศิษย์พี่หญิงถิงอวี้”

ถิงอวี้ตื้นเต้นมาก เฉินเฟยหยวนกลับสีหน้าไร้อารมณ์ แต่สายตากลับกวาดไปรอบๆ หลายครั้ง แฝงความระแวดระวัง

สวี่ชิงสังเกตได้ ตอนที่กำลังครุ่นคิด ตระกูลทั้งแปดก็ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น หลังจากสวี่ชิงคิด ก็ก้างเข้าสู่ผืนอินทนิล

สำหรับการมาเยือนของสวี่ชิง เดิมแปดตระกูลจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ แต่ถูกสวี่ชิงปฏิเสธ เขาจะไปเซ่นไหว้ปรมาจารย์ไป๋

ความสัมพันธ์ของสวี่ชิงกับปรมาจารย์ไป๋ ผู้นำตระกูลทั้งแปดย่อมรู้ และมองออกว่าสวี่ชิงอยากจะพูดคุยกับสหายเก่า จึงพากันตอบรับ

ผู้อาวุโสตระกูลไป๋ในบรรดานี้ ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่หลุมศพปรมาจารย์ตระกูลไป๋ถูกฝังอยู่ในสุสานรวม ส่วนผู้อาวุโสตระกูลเฉินคนนั้น ดวงตาแฝงประกายล้ำลึก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“เช่นนั้น พวกเราก็จะไม่รบกวนอาลักษณ์สวี่แล้ว ให้เฟยหยวนของข้าอยู่ด้วยแล้วกันขอรับ เรื่องความปลอดภัยในการเยี่ยมเยือนครั้งนี้ของอาลักษณ์สวี่ ก็ให้เฟยหยวนรับผิดชอบ”

สวี่ชิงมองเขาผาดหนึ่ง พยักหน้า หลังจากประสานหมัดขอบคุณ ทั้งแปดตระกูลก็แยกย้าย เหลือเพียงเฉินเฟยหยวนกับถิงอวี้

เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนออกไปแล้ว ถิงอวี้ก็ทนไม่ไหวแล้ว รีบเดินไปเบื้องหน้าสวี่ชิง

มองร่างในความทรงจำ นางเหมือนยังคงมองเห็นเด็กน้อยตัวสกปรกมอมแมมที่แอบฟังเรื่องสมุนไพรนอกกระโจมในฐานที่มั่นคนเก็บกวาดเมื่อตอนนั้น

เพียงพริบตาก็ผ่านไปเจ็ดปีแล้ว นับตั้งแต่ที่จากกัน นางก็ไม่ได้พบสวี่ชิงอีกเลย ตอนนั้นท่านอาจารย์เสียชีวิต แม้อีกฝ่ายจะมา แต่นางก็เห็นแค่แผ่นหลังเท่านั้น

เมื่อจบเรื่อง เฉินเฟยหยวนถึงบอกนางเรื่องที่สวี่ชิงไปล้างแค้นให้อาจารย์

“ศิษย์น้องเล็ก…”

ถิงอวี้ดวงตาแดงรื้น

“ศิษย์พี่หญิงถิงอวี้” ในใจสวี่ชิงก็เกิดระลอกคลื่นเช่นกัน ความสัมพันธ์ของเขากับถิงอวี้และเฉินเฟยหยวน แม้จะสู้นายกองไม่ได้ แต่ยามเด็กที่บริสุทธิ์ไม่มีเรื่องผลประโยชน์อันใดเข้ามาเกี่ยวข้อง ฝังลึกอยู่ในความทรงจำสวี่ชิงมาก

แม้ในตอนนั้นจะไม่ยาวนานนัก ทว่าสำหรับสวี่ชิงแล้วเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่ง

ขณะที่รู้สึกทอดถอนใจนี้ สายตาสวี่ชิงก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างเฉินเฟยหยวน ทั้งๆ ที่พลังบำเพ็ญของอีกฝ่ายอยู่แค่สร้างฐาน แต่กลิ่นอายกลับแปลกประหลาดมาก ราวกับว่าในร่างกายแฝงไว้ด้วยพายุคลั่ง

สิ่งนี้ทำให้สวี่ชิงนึกถึงภาพตอนที่เห็นของวิเศษที่บ่มเพาะอยู่ในร่างกายเฉินเฟยหยวนและตอนที่ใช้ของวิเศษเวทเจ็ดเนตรโลหิตตอนนั้น

สายเลือดม่วงคราม เกิดมาพร้อมกับของวิเศษเวท ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตระกูลทั้งแปดช่วงชิงความสามารถนี้ไป จนกลายเป็นพรสวรรค์ของตนเอง

“ศิษย์พี่เฟยหยวน สิ่งที่อยู่ในร่างกายท่าน…” สวี่ชิงมองเฉินเฟยหยวน เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

แต่ยังไม่ทันพูดจบ เฉินเฟยหยวนก็สีหน้าเคร่งขรึม ประสานหมัดคารวะ

“คารวะอาลักษณ์สวี่”

คำพูดสวี่ชิงชะงักไป การแสดงออกของเฉินเฟยหยวนรวมถึงเหตุการณ์ที่หน้าประตูตะวันออก ทำให้สวี่ชิงคาดเดาในใจ จึงหันไปมองนักพรตซือหนานข้างๆ

นักพรตซือหนานนิ่งเงียบไปหลายอึดใจ เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“นี่เป็นเรื่องที่เหยาโหวกำชับไว้ การจัดสรรทั้งหมดตระเตรียมมาอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีทางมีช่องโหว่”

สวี่ชิงเงียบนิ่ง

เขามายังผืนอินทนิลครั้งนี้ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า และการปรากฏตัวของตระกูลทั้งแปดของผืนอินทนิลก่อนหน้านี้ ทำให้สวี่ชิงคาดเดาในใจ เมื่อผนวกกับการระแวดระวังรอบๆ ของเฉินเฟยหยวน ทั้งหมดนี้ จึงทำให้สวี่ชิงเข้าใจทุกอย่าง

โหวเหยาน่าจะกำลังตกปลา

เช่นเดียวกับตอนที่ท่านอาจารย์พาตนออกไปด้านนอก ซ่อนตัวในที่มืด ล่อพวกที่ละโมบอยากได้ตะเกียงชีวิตออกมา ตอนนี้แม้เขตปกครองผนึกสมุทรจะก้าวไปได้อย่างมั่นคง แต่ในเงามืดก็ยังมีพวกคนชั่วซ่อนอยู่ไม่น้อย

บางกลุ่มที่มีเจตนาอื่น ไม่อยากเห็นรูปการณ์ของเขตปกครองผนึกสมุทรมั่นคง กระทั่งเทียนประทีปหรือพวกกากเดนอีก โดยเฉพาะทางองค์ชายเจ็ดนั้นก็ต้องคอยระวังไว้

ส่วนฐานะของสวี่ชิงตอนนี้สำคัญอย่างมาก หากเขาแตกดับ จะต้องทำให้เขตปกครองผนึกสมุทรที่ค่อยๆ สงบมั่นคงเกิดระลอกคลื่นขึ้นแน่นอน

แต่ก็ยากที่จะป้องกันได้ตลอด โหวเหยาจึงต้องจัดการขับไล่ผู้ที่มีเจตนาร้ายทั้งหมดในเขตปกครองผนึกสมุทรในคราวเดียว และตอนนี้ การที่สวี่ชิงออกมาด้านนอก ย่อมกลายเป็นจุดสนใจ

สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ มองไปยังทิศทางเมืองหลวงเขตปกครอง ไม่พูดอะไร

เมื่อเฉินเฟยหยวนข้างๆ ได้ยินบทสนทนาทั้งสองคน สีหน้าก็ผ่อนคลายลง เดิมทีเขาคิดว่านี่เป็นแผนของสวี่ชิง และเรื่องการเล่นละครหน้าหลุมศพอาจารย์ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขารู้สึกไม่ดีมาตั้งแต่แรก

ส่วนถิงอวี้ ในด้านเล่ห์เหลี่ยมด้อยกว่าเฉินเฟยหยวนและสวี่ชิง นางจึงไม่รู้ตัวเรื่องที่ทั้งสองคนผิดใจกันรวมถึงคำพูดสั้นๆ ไม่กี่ประโยค จึงจะไกล่เกลี่ยเรื่องความเข้าใจผิด

แต่นางมองท่าทีห่างเหินกับสวี่ชิงของเฉินเฟยหยวนออก จึงก้าวไปออกแรงลากเฉินเฟยหยวนและสวี่ชิงให้ยืนอยู่ข้างกัน จากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา

“เฉินเฟยหยวน อย่าคิดว่าเจ้าโตแล้วจะไม่ฟังคำพูดของศิษย์พี่หญิงได้นะ แล้วก็สวี่ชิง เห็นเฉินเฟยหยวนทำหน้าเย็นชาเช่นนี้ แต่อันที่จริงเขาให้ความสำคัญกับเรื่องเมืองหลวงเขตปกครองมาก เขาคนนี้ ยิ่งโตก็ยิ่งไม่ชอบแสดงสิ่งที่คิดออกมา”

เฉินเฟยหยวนกระแอมไอ

เมื่อสวี่ชิงได้ยินก็ยิ้มออกมา

ทั้งสามคนมองกัน ราวกับว่ากลับไปในกระโจมฐานที่มั่นคนเก็บกวาดในอดีตอีกครั้ง เป็นภาพที่นั่งฟังคาบเรียนของปรมาจารย์ไป๋ด้วยกัน

ผ่านไปครู่หนึ่ง พวกเขาเดินไปที่หลุมฝังศพพร้อมกัน

นักพรตซือหนานเดินรั้งท้ายอยู่หลายก้าว ไม่ได้เข้าใกล้มากยัก เขามองร่างหนุ่มสาวตรงหน้าทั้งสามก็รู้สึกทอดถอนใจ คิดถึงศิษย์น้องของตนขึ้นมา

“ยังต้องไปโน้มน้าวอีกสักหน่อยว่าอย่าละโมบสายเลือดผู้อื่น จนชักนำหายนะมาสู่ตัว”

ตอนนี้ เวลาก็เคลื่อนคล้อยมาถึงช่วงกลางวัน แม้จะอยู่ในฤดูหนาว แต่อากาศวันนี้แจ่มใส แม้จะมีเมฆหมอก แต่ก็ลอยต่ำบนท้องฟ้าเพียงไม่กี่ก้อน

สายลมก็ไม่ได้หนาวเย็น แสงตะวันอบอุ่นส่องลงมาบนร่างของพวกสวี่ชิงทั้งสาม ติดตามพวกเขามาจนถึงสุสานรวม

ที่นี่ประกาศใช้กฎอัยการศึก รอบๆ มีองครักษ์จากทั้งแปดตระกูลอยู่ พวกเขาได้รับคำสั่งจากเฉินเฟยหยวน ให้คอยดูแลความปลอดภัยในช่วงที่สวี่ชิงมาเยี่ยมเยือน

เบื้องหน้าหลุมศพปรมาจารย์ไป๋ไม่เคยขาดธูปหอมและดอกไม้สด ไม่ว่าจะเป็นเฉินเฟยหยวนและถิงอวี้ หรือเป็นผู้ที่เขามอบความผาสุขให้ตลอดทั้งชีวิตล้วนมาเซ่นไหว้ที่นี่เป็นประจำ

มองป้ายหลุมศพ สมองสวี่ชิงมีเสียงและใบหน้าของปรมาจารย์ไป๋ผุดขึ้นมา รับธูปที่ถิงอวี้ยื่นให้ จุดแล้วสะบัดให้ดับ ปักไว้ที่หน้าหลุมฝังศพหลังจากนั้นก็คุกเข่าโขกศีรษะอย่างนอบน้อม

บิดามารดามอบร่างกายจิตวิญญาณ ผู้ให้ความรู้สร้างชีวิต ประสบการณ์ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าดั่งบิดามารดา

นายท่านเจ็ดเป็นเช่นนี้ ปรมาจารย์ไป๋ก็เช่นกัน

สวี่ชิงเข้าใจหลักการนี้มาตั้งแต่เด็ก เขาเข้าใจว่าในโลกาวินาศนี้ ผู้ที่ถ่ายทอดความรู้อย่างจริงใจ เป็นพระคุณชั่วนิรันดร์

แต่พริบตาที่สวี่ชิงโขกศีรษะลงไป บนท้องฟ้า เมฆไม่กี่ก้อนที่ลอยต่ำอยู่นั่นจู่ๆ คลอนไหว ไม่มีจิตสังหารใดแผ่ซ่านมาล่วงหน้า ไม่มีการเผยความเย็นยะเยือกใดออกมาก่อน

การเปลี่ยนแปลงฉับพลันของหมอกเมฆไม่กี่ก้อนนี้ กลายเป็นฝ่ามือหมอกเมฆขนาดยักษ์ข้างหนึ่ง กดลงมาทางสวี่ชิงที่อยู่ตรงหลุมศพบนพื้นอย่างรวดเร็ว

รวดเร็วอย่างยิ่ง การปรากฏตัวกะทันหัน คล้ายว่าคอยซุ่มโจมตีสวี่ชิงอยู่ตรงนี้ ทำให้ยากที่จะป้องกัน ยิ่งมีพลังหวนสู่อนัตตาระเบิดออกมาจากฝ่ามือหมอกเมฆนี้ มาพร้อมกับการทำลาย กำลังจะกดลงมา

แต่จู่ๆ รอบๆ มัน ก็มีร่างเงาปรากฏขึ้นมาเก้าร่าง

ผู้นำตระกูลทั้งแปดที่ออกไปก่อนหน้านี้ พุ่งไปบนอากาศ แผ่คลื่นพลังบำเพ็ญสมบัติวิญญาณออกมา ในกลุ่มพวกเขามีคนหนึ่งเป็นชายชราผมขาว แผ่กลิ่นอายหวนสู่อนัตตาทั่วร่าง พุ่งทะยานไปยังฝ่ามือเมฆหมอก

ชายชราคนนี้ คือบรรพจารย์ที่ผู้นำแปดตระกูลผืนอินทนิลให้การยอมรับ และเป็นหวนสู่อนัตตาเพียงผู้เดียว

ท่ามกลางเสียงครืนครัน ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ขณะที่นิ้วมือเมฆหมอกนั้นพัดเกลียวมา สายตาของบรรพจารย์ผืนอินทนิลก็ฉายประกายคมปลาบ พุ่งไล่ตามไป

ส่วนผู้นำตระกูลทั้งแปด กลับร่อนลงมาอย่างรวดเร็ว สลายฝ่ามือเมฆหมอกให้สวี่ชิงกลางอากาศ

ทุกอย่าง คลี่คลายในพริบตา

สวี่ชิงสีหน้าเรียบนิ่งมาตั้งแต่ต้นจนจบ ยังคงโขกศีรษะ

ถิงอวี้กลับถูกสั่นสะเทือนด้วยภาพนี้ หายใจหอบถี่ เฉินเฟยหยวนที่อยู่ข้างๆ นาง สีหน้าไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย เดิมก็เป็นเรื่องที่ร้องขอกับระดับสูงของผืนอินทนิลไว้ก่อนหน้านี้เพื่อป้องกันความปลอดภัย

แต่ตอนนี้เอง เสี้ยวขณะที่หน้าผากสวี่ชิงแตะลงกับพื้น จู่ๆ พื้นดินรอบด้านก็มีปราณหมอกปะทุขึ้นมา ร่างของเผ่าควันขจรก็ลอดออกมาในพริบตา พุ่งเข้าหาสวี่ชิง

เมื่อมองไป จำนวนมากมายนับร้อยตน ทั้งพลังบำเพ็ญทุกตนล้วนไม่ธรรมดา ยิ่งถนัดลอบสังหาร รวดเร็วอย่างยิ่ง

แต่พวกมันยังไม่ทันได้เข้าใกล้สวี่ชิง ท้องฟ้าก็บิดเบี้ยว รอยประทับขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นฉับพลัน แผ่คลื่นพลังที่น่าหวาดหวั่น

นั่นคือการผสานกันของของวิเศษเวททั้งแปดตระกูลของผืนอินทนิล ก่อตัวเป็นของวิเศษพลังอำนาจแข็งแกร่งยิ่งกว่า แม้จะสู้ของวิเศษเวทต้องห้ามไม่ได้ แต่ระดับของของวิเศษเวท ถือว่าอยู่จุดสูงสุด

หลังจากเฉินเฟยหยวนบีบแผ่นหยกชิ้นหนึ่งจนแตก มันก็ปรากฏขึ้นในพริบตา สั่นสะเทือนพื้นดินอย่างรุนแรง

สวี่ชิงไม่มีความเสียหายเลยแม้แต่น้อย แต่เผ่าควันขจรที่ปรากฏขึ้นรอบๆ แต่ละตนส่งเสียงกรีดร้อง พากันแตกสลาย

ยังไม่จบ แทบจะพริบตาที่ตราประทับของวิเศษเวทปรากฏขึ้น การลอบสังหารระลอกสามก็ปะทุขึ้น ครั้งนี้ผู้ที่มาไม่ได้มาจากพื้นดิน แต่มาจากกลางอากาศ

ในสายลมที่พัดมาจากรอบทิศ ก็ปรากฏตัวออกมานับพัน ล้วนเป็นเผ่าควันขจรทั้งสิ้น แต่กลิ่นอายกลับสู้เผ่าควันขจรไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเผ่าควันขจรที่เผยออกมาเป็นแค่การหลอกล่อ เผ่าที่แท้จริงของพวกเขากลับถูกเก็บซ่อนไว้

ในเสี้ยวพริบตาที่ปรากฏ เรือศึกบรรพกาลบนท้องฟ้าก็ส่งเสียงครืนครัน ผู้ครองกระบี่นับพันในนั้นลงมาเยือนพร้อมกัน การฆ่าล้างสังหารล้อมรอบสุสานรวม เปิดฉากขึ้นในพริบตา

ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้าก็พลันมีสายอัสนีสีดำสายหนึ่งฟาดผ่าบนท้องฟ้า กลายเป็นรอยแยกทางหนึ่ง ร่างเงาสามร่าง พุ่งออกมาจากรอยแยกนี้

ทั้งสามร่าง ล้วนเป็นหวนสู่อนัตตา

ขั้นสองสองคน และมีขั้นสามอีกหนึ่งคน

พวกเขาก็ล้วนปิดบังลักษณะพิเศษของเผ่าตนเอง ใช้วิชาพิเศษแปลงเป็นเผ่าควันขจร พริบตาที่ปรากฏตัว เมฆหมอกก็ฟุ้งกระจาย เสียงแกว๊กของชิงฉินดังสะท้อนก้อง พุ่งไปหาสามคนนี้ทันที

บนท้องฟ้าครืนครัน ขณะที่สงครามใหญ่ปะทุ ยังมีร่างเงาอีกสี่ร่างลอดออกมาจากในรอยแยกอัสนีสีดำอย่างไร้ซุ่มเสียง กลายเป็นแสงสายหนึ่งพุ่งไปหาสวี่ชิง

พริบตาที่เข้าใกล้อย่างรวดเร็ว ในดวงตานักพรตซือหนานเปล่งประกายเย็นวาบ เดินออกมาก้าวหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อ ฉับพลันผู้ที่มาเยือนก็เปิดศึกกันบนท้องฟ้า

ตอนนี้ท้องฟ้า พื้นดิน ล้วนเปิดฉากสังหาร จู่ๆ คนจากแปดตระกูลคนหนึ่งก็สั่นสะท้าน ในลมหายใจที่รูจมูกพ่นออกมา จำแลงมนุษย์ตัวจิ๋วปราณหมอกออกมาสองร่าง พุ่งไปทางสวี่ชิง

เขาอยู่ไม่ไกลจากสวี่ชิงนัก เวลานี้ภาพที่ปรากฏขึ้นกะทันหัน กลายเป็นวิกฤตขนานใหญ่ เมื่อเห็นว่าใกล้เข้ามา มือข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากความว่างเปล่าข้างกายสวี่ชิง คว้ามนุษย์ตัวจิ๋วสองคนนั้นแล้วบีบอย่างแรง

เสียงกรีดร้องดังออกมา มนุษย์ตัวจิ๋วทั้งสองแตกสลาย ตอนที่กลายเป็นหมอกมหาศาลลอยหวนกลับไป มือข้างนั้นจากส่วนลึกความว่างเปล่า ก็พุ่งไปด้านหน้า มีคนเดินออกมาคนหนึ่ง

สวี่ชิงรู้จัก นี่คือรองเจ้าวังคนก่อนของวังอาญา ด้วยตำแหน่งตอนนี้ เขาพยักหน้าให้กับสวี่ชิง สาวเท้าไล่ตามหมอกเหล่านั้นไป

ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้า มีอักขระยักษ์ที่ใหญ่กว่าสายฟ้าสีดำขนาดยักษ์ด้านนอกปรากฏขึ้นมา ด้านในมีคนเดินออกมาเจ็ดแปดคนจากการระลอกคลื่นการส่งข้ามที่สะท้อนก้อง

ผู้ที่นำมาคือหลี่อวิ๋นซาน ข้างๆ เขายังมีเจ้าวังพิธีการ รวมถึงผู้ดูแลสามวัง

หลังจากพวกเขาปรากฏตัว ก็พุ่งเข้าไปในรอยแยกสีดำ พริบตาต่อมา เสียงครืนครันด้านในก็สะท้อนก้องน่าหวาดหวั่น

ดวงตาถิงอวี้ฉายแววตื่นตะลึง กำลังจะเอ่ยปาก แต่ก็ถูกเฉินหยวนเฟยดึงไว้ ถอยออกมาอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้สวี่ชิงโขกศีรษะเสร็จแล้ว ขณะที่เขาเงยหน้ามอง บนท้องฟ้า แสงสีทองสว่างวาบ ราวกับแปรเป็นท้องนภากว้างสีทอง ของวิเศษเวทต้องห้ามเมืองหลวงเขตปกครองก่อร่างขึ้นที่นี่

ม่านฟ้าแผ่ขยาย

ในตาข่ายสีทองที่แผ่ขยายไปทั้งแปดทิศ มีใบหน้ายิ่งใหญ่ดวงหนึ่งเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเลือน

โหวเหยานั่นเอง

โลกใบเล็กนับไม่ถ้วนก่อตัวขึ้นรอบตัวเขา ราวกับเป็นดวงดาราที่เปล่งประกาย ภายใต้การสนับสนุนของของวิเศษเวทต้องห้าม ท่ามกลางการปกคลุมของดวงชะตาเมืองหลวงเขตปกครอง โลกใบเล็กเหล่านั้นก็ถูกบังคับรวมตัวกัน กลายเป็นโลกใบใหญ่ใบหนึ่ง!

สะกดไปทางรอยแยกอัสนีสีดำ

“หวนสู่อนัตตาขั้นสี่!”

สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง ตอนนี้เอง จู่ๆ ควันดำจากธูปที่จุดอยู่ตรงหน้าเขาก็กลายเป็นนิ้วนิ้วหนึ่ง กดลงไปที่สวี่ชิงทันที

จิตสังหารที่แน่วแน่ แผ่ซ่านไปรอบทิศ เพ่งเป้าไปที่ร่างกายและจิตวิญญาณของสวี่ชิง ถ้ากดลงมาจะทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณสวี่ชิงแตกสลายได้

แต่พริบตาที่นิ้วมือปรากฏ ความว่างเปล่าข้างกายเขาก็บิดเบี้ยว มีคนเดินออกมาอีกคนหนึ่ง ขวางด้านหน้าสวี่ชิง คำรามขึ้นเสียงต่ำ

“สลาย!”

เสียงที่มาพร้อมกับระลอกคลื่นที่น่ากลัว แต่กลับเลี่ยงการสร้างความเสียหายหลุมศพ พุ่งไปในนิ้วปราณหมอกนั้น

ปราณหมอกซ่านกำจาย

ส่วนร่างเงาผู้ที่มาเยือน ตอนนี้สะท้อนในดวงตาสวี่ชิงอย่างชัดเจน

นั่นคือผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชัน

เขาคืออาจารย์ของปรมาจารย์ไป๋

ตอนนี้หลังจากปรากฏตัว เขาก็หันหน้ามองสวี่ชิง จากนั้นก็มองไปทางถิงอวี้กับเฉินเฟยหยวน พยักหน้าให้ เอ่ยด้วยเสียงสงบนิ่งว่า

“สวี่ชิง เจ้าเซ่นไหว้ต่อเถอะ”

สวี่ชิงเงียบนิ่ง หลังจากประสานหมัดก็มองไปยังป้ายหลุมศพปรมาจารย์ไป๋ ก้มลงโขกศีรษะอย่างตั้งใจ อย่างจริงจัง

‘อาจารย์ รบกวนการหลับใหลของท่านแล้ว…’

สวี่ชิงพึมพำในใจเสียงแผ่ว เขาเข้าใจความคิดของโหวเหยา เรื่องนี้เขาเข้าใจได้ แต่เขาไม่รู้มาก่อน

สวี่ชิงเข้าใจสาเหตุที่ไม่บอกตน เพราะโหวเหยาเดาได้ว่าตนจะไม่ยอมใช้สถานที่ที่หน้าหลุมศพปรมาจารย์ไป๋หรือบางทีสนามรบอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ฝ่ายพวกเขาเป็นคนตัดสิน

สวี่ชิงก้มหน้า โขกศีรษะอย่างแรง

หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…

การเตรียมตัวของโหวเหยาครั้งนี้เต็มที่มาก ผนวกกับผืนอินทนิล ดังนั้นไม่นานนักมือสังหารนับพันรอบๆ บ้างก็ตาย บ้างก็ถูกจับกุม และศึกบนท้องฟ้าก็ไม่ได้กินระยะเวลายาวนานเกินไป

หลังจากสังเกตเห็นว่ารอบตัวสวี่ชิงมีการวางแผนเอาไว้ ผู้ที่มาเยือนก็คิดจะถอยหนี

ขณะเดียวกันในรอยแยกอัสนีสีดำ จากการโลกใบใหญ่โหวเหยาที่เข้ามา ก็มีฝนเลือดเอ่อล้น

ไม่นานนัก การลอบสังหารฉากนี้ หลังจากปรากฏขึ้นอย่างกะทันหันแล้วจบลงอย่างรวดเร็ว แม้จะยังมีการปะทะกัน แต่ก็ไล่โจมตีออกจากผืนอินทนิลไปไกลๆ

ฟ้าดิน ค่อยๆ เงียบสงบลง

การลอบสังหารจากขั้วตรงข้ามที่หลบซ่อนอยู่ในเขตปกครองผนึกสมุทรล้มเหลวแล้ว บางทีนี่อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด หรืออันที่จริงพวกเขาอาจวางกลยุทธ์ได้ดีกว่านี้

แต่ความฉุกละหุกรวมถึงความผิดพลาดในการเลือกสนามรบ หรืออาจเพราะเหตุผลที่คาดไม่ถึง จึงกำหนดบทสรุปนี้

เพราะ สิ่งที่สวี่ชิงสัมผัสได้ทั้งหมด เหมือนเป็นการแสดงฉากหนึ่งมากกว่า

‘อาจเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่การตกปลาของโหวเหยา แต่เพราะได้ข้อมูลบางอย่าง จึงกำลังรวบแห…’

สวี่ชิงเหมือนครุ่นคิด

ผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชันที่อยู่ข้างๆ เห็นสีหน้าของสวี่ชิง ก็ค่อยๆ เอ่ยปาก

“อย่าไม่พอใจโหวเหยาเลย อันที่จริงเขาก็จ่ายไปมากมาย ใช้ของวิเศษต้องห้ามเมืองหลวงเขตปกครองรวมถึงดวงชะตาอีกไม่น้อย ฝืนรวมโลกใบใหญ่ เขาผลาญอายุไขของตัวเองไปด้วย

“ในฐานะรักษาการณ์เจ้าเขตปกครอง เขามีเส้นสายในเผ่าต่างๆ ซึ่งเป็นรากฐานการปกครองเขตปกครองผนึกสมุทรในอนาคตของเขา และแตกต่างกับรูปแบบการจัดการของเจ้าเขตปกครองคนก่อนอย่างสิ้นเชิง

“มีเผ่าต้องการสวามิภักดิ์ อาจให้ข่าวคราวได้

“ส่วนโหวเหยาเพื่อจะเสริมความมั่นคงของผนึกสมุทร เพื่อจะสั่นสะเทือนทั้งแปดทิศ เพื่อจะปกป้องคนบางส่วนภายนอกเขตปกครอง จึงไม่อาจแสดงความขี้ขลาด จึงเลือกที่จะสร้างอำนาจขึ้นแทน

“ถึงอย่างไรเขตปกครองผนึกสมุทรก็ไม่มีผู้วิเศษขั้นสี่ที่แท้จริงอยู่แล้ว จึงมีเรื่องอย่างวันนี้”

พูดถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสใหญ่โถงครองกระบี่ก็มองสวี่ชิงด้วยสายตาล้ำลึก

“นอกจากนี้ ยังลบจุดอ่อนหนึ่งของเจ้าทิ้งไปจากการความรู้ความเข้าใจของศัตรูด้วย ถึงอย่างไรการวางแผนการไว้ที่หน้าหลุมศพของอาจารย์ ก็เพียงพอที่จะอธิบายได้ว่าความรู้สึกทางโลกไม่อาจสั่นคลอนจิตใจของเจ้า เช่นนี้หลังจากนี้ก็จะไม่มีใครใช้สิ่งนี้มาเล่นงานเจ้าอีก

“แน่นอน นี่เป็นแค่การวิเคราะห์ส่วนตัวของข้า”

สวี่ชิงไม่พูดจา เขาเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของเขตปกครองผนึกสมุทรเป็นอย่างดี และรับรู้เจตนาของโหวเหยา

ตอนนี้ขณะที่เงยหน้ามองไปยังสนามรบรอบๆ เฉินเฟยหยวนก็รีบสาวเท้าเดินเข้ามา เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

“แค่ผืนอินทนิลฝ่ายเดียว ก็จับพวกที่รอดมาได้ไม่น้อย นอกจากพวกที่ต้องไต่สวน คนอื่นจะจัดการอย่างไร”

สวี่ชิงได้สติ เอ่ยอย่างสงบนิ่ง

“สังหาร”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!