บทที่ 546 มารฟ้าชิงอายุขัย ปราณที่สิบสามปรากฏ
สำหรับศัตรู สวี่ชิงเย็นชามาโดยตลอด
เฉินเฟยหยวนได้ยินก็พยักหน้า มองสวี่ชิงผาดหนึ่ง ในใจก็นึกทอดถอนใจ หลังจากที่อาจารย์ตายจากไป เขาก็เสียการปกป้องคุ้มครอง อยู่ท่ามกลางการต่อสู้แย่งชิงภายในตระกูล จำต้องโหดเหี้ยม เย็นชาไร้ปราณีให้เป็น
“แต่สวี่ชิงในตอนที่ยังเป็นเด็ก ก็เรียนรู้สิ่งที่ข้าทำได้หลังจากที่เติบโตจนกลายเป็นสัญชาตญาณ”
ความเข้าใจต่อสวี่ชิงที่เฉินเฟยหยวนมี หลักๆ แล้วมาจากการตรวจสอบหลังจากที่เขาเข้าร่วมการช่วงชิงอำนาจตระกูล
ไม่ว่าจะเป็นชื่อเด็กน้อยในฐานที่มั่นคนเก็บกวาด หรือจะเป็นการสังหารหัวหน้าฐานที่มั่นอย่างโหดเหี้ยมในภายหลัง และการสังหารมาตลอดเส้นทางหลังจากที่เข้าร่วมกับสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ทุกอย่างนี้ล้วนทำให้เฉินเฟยหยวนยิ่งเข้าใจในตัวสวี่ชิง
เขารู้ นิสัยของสวี่ชิงตลอดจนวิธีการลงมือ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้ทั้งสิ้น
ตอนนี้ไม่ได้พูดอะไรมากมาย เฉินเฟยหยวนนำแผ่นหยกสื่อเสียงออกมา ออกคำสั่งสังหาร
รายละเอียดยิบย่อยสวี่ชิงไม่ได้สนใจ เขาไม่ได้อยู่ที่ผืนอินทนิลนานเท่าไร หลังจากพูดคุยกับเฉินเฟยหยวนและถิงอวี้ได้สามวัน ภายใต้การน้อมส่งของแปดตระกูล สวี่ชิงก็จากไป
ในตอนลาจาก ถิงอวี้ร้องไห้อีกแล้ว
นับจากที่อาจารย์ตาย ความอ่อนแอของถิงอวี้เหมือนว่าจะปรากฏออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการลาจากสำหรับนางแล้ว ยิ่งเป็นความเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง
สำหรับสวี่ชิง นางไม่ได้สงสัยใคร่รู้และใจสั่นไหวง่ายๆ เหมือนอย่างตอนเด็กแบบนั้นอีกแล้ว จากการเติบโตขึ้น มิตรภาพศิษย์อาจารย์เดียวกันระหว่างพวกเขา ในผืนอินทนิลที่เย็นชาและแปดตระกูลที่ต่างฝ่ายต่างหลอกลวงกัน ก็เป็นแหล่งความอบอุ่นที่มีไม่มากในใจของนาง
ชีวิตมนุษย์หลายครั้งก็เป็นเช่นนี้ แม้เวลาผันผ่านผมหงอกขาวแต่มิตรภาพยังคงแน่นแฟ้น ยิ่งเป็นโลกที่เย็นชายิ่งปรากฏให้เห็นได้ง่าย และอารมณ์ความรู้สึกในโลกก็ไม่ได้มีเพียงแค่ความรักอย่างเดียวเท่านั้น
สำหรับความรู้สึกที่น้อยมาก ยิ่งไม่สามารถใช้เพียงเวลานานหรือสั้นมาวัดได้
แต่การควบคุมอย่างสุดความพยายามของนางก็ไม่ได้ร้องไห้ต่อหน้าสวี่ชิง ทว่าเป็นหลังจากที่เขาจากไปแล้วถึงได้อดทนไว้ไม่ไหวซบไหล่เฉินเฟยหยวนร่ำไห้ออกมา
“ศิษย์พี่ ท่านยังจำประโยคนั้นที่อาจารย์พูดบ่อยๆ ได้หรือไม่
“ฟ้าดินเป็นที่พักของสรรพชีวิต เวลาเป็นแขกผู้มาเยือนนับตั้งแต่โบราณกาลมา…” เสียงของเฉินเฟยหยวนดังขึ้นในหูของถิงอวี้ นางเงยหน้าขึ้น พึมพำเสียงเบา
“ขอเพียงไม่ตาย ก็จะได้พบกันอีก”
ประโยคเดียวกันก็ดังพึมพำออกมาจากปากของสวี่ชิงที่ยืนอยู่ในหอคอยเรือศึกบรรพกาลบนท้องฟ้าเช่นเดียวกัน
ลมพัดมา พัดเสื้อของเขา พัดผมยาวของเขาปลิวพริ้ว ในยามที่เสียงครืนครันจากเรือศึกบรรพกาลดังก้อง ในสมองสวี่ชิงก็มีคำพูดเหล่านี้ผุดขึ้นมา และฉายสีหน้าของปรมาจารย์ไป่ในยามพูดคำพูดนี้ขึ้นมาด้วย
สามวันที่ผืนอินทนิล เขาถามรายละเอียดมากมายของปรมาจารย์ไป่ในยามมีชีวิตกับเฉินเฟยหยวนและถิงอวี้ ยกตัวอย่างเช่นสหายสนิทที่นอกจากนายท่านเจ็ดบางคน ว่ามีพฤติกรรมการกระทำที่ผิดปกติหรือไม่ ก่อนจะโดนลอบสังหารได้พูดอะไรที่เป็นพิเศษหรือไม่ เป็นต้น
เฉินเฟยหยวนไม่แน่ใจกับเรื่องนี้ แต่ถิงอวี้จำได้ชัดเจนมาก จากความทรงจำและการบรรยายของนาง สวี่ชิงหาจุดที่ผิดปกติของอาจารย์ไป่ไม่เจอ
มีเพียงแค่…ถิงอวี้บอกกับเขาว่าอาจารย์มีนิสัยหนึ่ง เขาชอบมองท้องฟ้า
นิสัยนี้ไม่ได้มีมาตั้งแต่ทีแรก แต่เป็นนิสัยที่เกิดขึ้นหนึ่งปีก่อนถูกลอบสังหาร
สวี่ชิงเงยหน้าเงียบๆ มองไปยังท้องฟ้า
“นอกแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์…”
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด
สรุปแล้ว สวี่ชิงยากจะได้คำตอบเรื่องของปรมาจารย์ไป่ที่ถูกต้องแม่นยำ สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ จากเรือศึกบรรพกาลที่ไปจากผืนอินทนิล ข้ามทะเลต้องห้าม ก็กลับมายังมณฑลรับเสด็จราชัน
ในการเดินทางนี้ สวี่ชิงไปแดนต้องห้ามปักษาราชันด้วยรอบหนึ่ง
เขาอยากพิสูจน์ตัวตนของหวงเหยียน
เพียงแต่ในแดนต้องห้ามปักษาราชันต่อให้ชิงฉินส่งเสียงร้องแกว๊กออกมา วิหคเพลิงสวรรค์ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งแดนต้องห้ามปักษาราชันถูกปกคลุมไปด้วยหมอก
แต่ในเสี้ยวพริบตาที่เขาออกไปจากแดนต้องห้ามปักษาราชัน เขาก็ได้รับสื่อเสียงจากแผ่นหยกของศิษย์พี่หญิงรอง
“ศิษย์น้องเล็ก ข้าอยู่ในแดนต้องห้ามปักษาราชัน ข้าตั้งครรภ์แล้ว แต่ก็เพราะเหตุนี้ พลังบำเพ็ญในตอนกำลังทะลวงขั้นเลยเกิดปัญหาเล็กๆ ขึ้น หงุดหงิดเหลือเกิน โทษหวงเหยียนเจ้าอ้วนบ้าคนนี้เลย หงุดหงิดจะตายอยู่แล้ว
“หวงเหยียนกำลังช่วยข้าจัดการอยู่ เพียงแต่พวกเราออกไปข้างนอกพบเจ้าไม่ได้ นอกจากนี้…หวงเหยียนให้ข้าบอกเจ้าว่า สิ่งที่เขาเคยพูดกับเจ้าตอนนั้น มีผลตลอด
“หากอยู่ข้างนอกไม่มีความสุข ก็กลับทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ”
หลังจากสวี่ชิงได้รับข่าวจากศิษย์พี่รอง ก็สูดลมหายใจลึก มองๆ ชิงฉิน
ชิงฉินร้องแกว๊ก สีหน้าตื่นเต้นและสงสัยใคร่รู้ เห็นได้ชัดว่ามันสังเกตได้ถึงสิ่งมหัศจรรย์ในแดนต้องห้ามปักษาราชัน
“หวงเหยียนก็คือวิหคเพลิงสวรรค์(เหยียนหวง)จริงๆ หรือ”
แต่ให้เบาะแสทุกอย่างชี้มาในทิศทางนี้ แต่นึกย้อนภาพแต่ละฉากๆ ของหวงเหยียนในตอนนั้น สวี่ชิงก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยจะเป็นจริงสักเท่าไร
สุดท้าย ก็จากไปด้วยความทอดถอนใจ สวี่ชิงอยู่บนเรือศึกบรรพกาล มองเห็นมณฑลรับเสด็จราชันจากที่ไกลๆ
การกลับมาครั้งนี้ สวี่ชิงไม่ได้อยู่ที่พันธมิตรแปดสำนักนานนัก หลังจากนั้นสองสามวัน นายท่านเจ็ดก็พาลูกศิษย์ของสำนักเจ็ดเนตรโลหิต และลูกศิษย์กว่าครึ่งของสำนักโลกันต์ทมิฬ จากไปพร้อมกับสวี่ชิง ส่งข้ามไปยังเมืองหลวงเขตปกครอง
จื่อเสวียนไม่อยู่ นางเดินทางไปล่วงหน้าแล้ว ที่เมืองหลวงเขตปกครองรับผิดชอบเลือกที่ตั้งและการก่อสร้าง
และการจากไปของพวกเขา ประธานพันธมิตรแปดสำนักล้วนยิ้มอยู่ตลอด สีหน้ายังฉายความทอดถอนใจและความอาลัยอาวรณ์ มาส่งนายท่านเจ็ด
พันธมิตรแปดสำนักก็ยังคงเป็นแปดสำนัก ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ส่วนสำนักครามทมิฬที่กำลังจะสร้างในเมืองหลวงเขตปกครองก็จะเป็นสำนักเอกเทศ อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นฐานะหรือการพัฒนาในอนาคตล้วนเหนือกว่าพันธมิตรแปดสำนักอย่างมหาศาล
ฐานะปลัดเขตปกครองของนายท่านเจ็ด การเข้าร่วมของชื่อสวี่ชิง ทุกอย่างนี้ทำให้ขั้วอำนาจแต่ละฝ่ายในเขตปกครองผนึกสมุทรต่างรู้ดี ต่อให้ตอนนี้ยังอ่อนด้อย แต่อีกไม่นาน ในเขตปกครองผนึกสมุทรจะมีสำนักขั้นสุดยอดเพิ่มมาอีกหนึ่งสำนักอย่างแน่นอน
การเดินทางของสวี่ชิงจบสิ้นอย่างสมบูรณ์เพียงเท่านี้
ครั้งนี้เขาไปหลายที่ และสมหวังสมปรารถนาไปหลายข้อ ในใจโปร่งโล่งไปมาก วันที่สี่ที่กลับมาถึงเมืองหลวงเขตปกครอง ปราณที่สิบสามของสวี่ชิงก็ปรากฏขึ้นในตะเกียงปีกโลหิตวิญญาณทมิฬ
ปีกซ้ายเชี่ยวชาญเรื่องความเร็ว ปีกขวาทำการโจมตีเป็นหลัก
ในพริบตาที่เงาปีกขวาปรากฏขึ้น พลังสังหารทำลายล้างน่าครั่นคร้ามกลุ่มหนึ่งก็ปะทุขึ้นมาจากปราณ ความแข็งแกร่งของพลังสังหารทำลายล้าง อยู่เหนือกว่าตะเกียงดวงอื่นๆ ทั้งหมด
หลังจากสัมผัสถึงความคมบนนั้น สวี่ชิงก็คิดๆ แล้วนำแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมา
นี่เป็นแผ่นหยกที่นายท่านเจ็ดมอบให้ในระหว่างทางที่กลับมาเมืองหลวงเขตปกครองกับนายท่านเจ็ด
สิ่งที่บันทึกอยู่ในนั้นคือวิชาปราณที่นายท่านเจ็ดคิดค้นมาเพื่อเขา
เคล็ดวิชามารฟ้าชิงอายุขัย
เคล็ดวิชามารฟ้าชิงอายุขัย
เหมือนกับพรางมารยาชิงมรรคา เคล็ดวิชาที่นายท่านเจ็ดคิดค้นขึ้นเพื่อสวี่ชิง สร้างขึ้นตามนิสัยและรูปแบบ ตลอดจนความสามารถของตัวเขาเองโดยเฉพาะ มีเพียงหนึ่งเดียวไม่ซ้ำใคร
สวี่ชิงนึกย้อนถึงสีหน้าที่ภาคภูมิใจในตอนที่นายท่านเจ็ดมอบเคล็ดวิชาให้กับตนตอนนั้น ในใจเกิดความอบอุ่น และหลายวันนี้จากความเข้าใจต่อวิชานี้ ก็ทำให้เขารู้ว่าคิดค้นวิชาชุดหนึ่งแบบนี้ขึ้นมา ยากเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ หากอยากฝึกก็ต้องมีวัตถุพิเศษเพื่อเอามาช่วยสนับสนุน ถึงจะเป็นต้นกำเนิดพลังเคล็ดวิชา
วัตถุเหล่านี้ นายท่านเจ็ดเตรียมไว้ให้เขาแล้ว
มองแผ่นหยก ในสมองสวี่ชิงมีเนื้อหาของเคล็ดวิชาปรากฏขึ้นมา
ผู้บำเพ็ญเผ่าต่างๆ ของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ทันทีที่ก้าวสู่ระดับปราณก่อกำเนิด จุดสำคัญในการฝึกบำเพ็ญจะไม่เหมือนกับในอดีตโดยสิ้นเชิง มีการเปลี่ยนแปลงไป
พวกเขาต้องการอายุขัยสวรรค์
อายุขัยสวรรค์เป็นสิ่งที่ยากจะใช้คำพูดอธิบายได้ชนิดหนึ่งที่อยู่ในระดับปราณก่อกำเนิดระดับนี้เท่านั้นจึงจะเริ่มปรากฏขึ้น
มันไม่เหมือนดวงชะตา
พูดให้ถูกคือ อายุขัยสวรรค์คือพลังพื้นฐานที่สุดที่ประกอบกฎเกณฑ์ฟ้าดิน จะมองเป็นอักขระดนตรีที่ประกอบกันบทเพลง หรือเส้นขีดที่ประกอบกันเป็นตัวอักษร หรืออิฐหินที่ประกอบกันจนเป็นสิ่งก่อสร้างแบบนั้นก็ได้
ประโยชน์ของมัน นอกจะทำให้ปราณได้รับการหล่อเลี้ยงเติบโตแล้ว ยิ่งกว่านั้นคือผสานปราณไปในกายปราณ ภายใต้การสะสมอยู่ตลอด สุดท้ายหลังจากที่ผ่านเคราะห์อัสนีห้าครั้งรวมอยู่ด้วยกัน ก่อเป็นสมบัติลับหนึ่งคลัง
จำนวนมากน้อยของอายุขัยสวรรค์จะเป็นตัวกำหนดอัตราความสำเร็จของการเกิดขึ้นของสมบัติลับ ขณะเดียวกัน นี่ก็เป็นพื้นฐานของการเกิดขึ้นของสมบัติวิญญาณเช่นกัน
และหากอายุขัยสวรรค์มากพอ เช่นนั้นหลังจากที่สมบัติลับเกิดขึ้น อายุขัยสวรรค์ที่เกินมาจะกลายเป็นกฎเกณฑ์ในสมบัติลับ ทำให้ทุกอย่างที่กำเนิดมรรคาสวรรค์ถึงเงื่อนไขก่อนกำหนด
ดังนั้น สำหรับผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิด ในระดับปราณก่อกำเนิดระดับนี้ อายุขัยสวรรค์สำคัญเป็นที่สุด
และหากอยากได้อายุขัยสวรรค์ให้มากขึ้น ก็ต้องทนรับทัณฑ์สวรรค์
ปกติแล้วพลังของทัณฑ์สวรรค์ครั้งแรกจะธรรมดา แต่ภายหลังจากน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งว่าหลังจากครั้งที่สี่ พูดได้กระทั่งว่าทำลายล้างสังหาร ผู้ที่สามารถผ่านไปได้มีไม่มาก
ปราณตะเกียงแห่งชีวิตในนั้นยังดี หลังจากที่ล้มเหลว ปราณจะไม่หายไป ตะเกียงแห่งชีวิตจะรับทัณฑ์เอง
แต่ปราณทั่วไปหากล้มเหลว สถานเบาคือบาดเจ็บสาหัส ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลถึงจะพอฟื้นฟูกลับมาได้
ส่วนสถานหนักคือแตกสลายทันที เสียไปตลอดกาล ไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้
เช่นนี้แล้ว ระดับปราณก่อกำเนิดระดับนี้ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่มีคนจำนวนมากไม่กล้าผจญเคราะห์ ยอมหยุดฝีเท้าอยู่ตรงนี้
แม้ผู้บำเพ็ญสมบัติวิญญาณปกติดูแล้วจะมีไม่น้อย แต่นั่นเป็นเพราะจำนวนของผู้บำเพ็ญแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์มีมาก ความจริงแล้วผู้บำเพ็ญสมบัติวิญญาณทุกคน ล้วนผ่านการทดสอบเป็นตายจากเคราะห์สวรรค์ทั้งสิ้น
แน่นอน แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์พัฒนามานานขนาดนี้ การศึกษาค้นคว้าเคราะห์ชะตาปราณก่อกำเนิดมีมากมาย ดันนั้นจึงมีวิธีต่างๆ มากมาย
บางวิธีก็ได้ผลจริงๆ แต่ค่าตอบแทนก็มหาศาลเช่นกัน และมีบางวิธีที่ภายนอกดูไม่เลว เงื่อนไขการฝึกบำเพ็ญเข้มงวด เป็นเพียงแค่ทฤษฎีเท่านั้น
มีเพียงวิชาล้ำค่าบางวิชาของสำนักใหญ่บางสำนัก หรือไม่ก็เคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิที่ฝึกฝนได้ ถึงจะทำให้ผู้บำเพ็ญลดความเสียหายจากการผจญเคราะห์ เพิ่มความเป็นไปได้ของความสำเร็จ ได้รับอายุขัยสวรรค์มากยิ่งขึ้น
และนอกจากนี้แล้ว ในเผ่าต่างๆ ความจริงจะมากจะน้อยล้วนมีเคล็ดวิชาที่ล้ำค่ายิ่งกว่าเอาไว้
วิชาเหล่านี้ทำให้คนแทบจะสามารถผจญเคราะห์ได้โดยไร้ซึ่งการบาดเจ็บเสียหาย เพียงแต่เงื่อนไขการฝึกฝนล้วนมีข้อกำหนดที่เข้มงวดมากมาย ไม่ได้ได้มาจากการฝึกฝนอย่างเดียวเท่านั้น ยังต้องใช้ของวิเศษล้ำค่าฟ้าดินบางอย่างในการสนับสนุนช่วยเหลือด้วย
ไม่ได้มีให้เห็นทั่วๆ ไป
รวมกับตัวตนระดับบน จึงกลายเป็นวัตถุที่มีเพียงผู้มีอำนาจผู้สูงส่งเท่านั้นถึงจะสามารถครอบครองได้
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดในขั้นนี้ ก่อนอื่นคือต้องทำให้ปราณของตัวเองเติบโต
ไม่ว่าจะเป็นพลังวิญญาณฟ้าดิน หรือกลืนกินปราณของคนอื่น หรือจะกินของล้ำค่าฟ้าดินหรือยาลูกกลอน เป้าหมายทั้งหมดล้วนเพื่อทำให้ปราณทนเคราะห์สวรรค์ได้ ได้รับอายุขัยสวรรค์หล่อเลี้ยงปราณ จากนั้นก็เติบโตต่อไป ผจญเคราะห์ต่อไป
นี่คือรากฐาน
นอกเสียจากเคล็ดวิชาที่พิเศษมากๆ ไม่เช่นนั้นแล้วล้วนใช้วิธีเหล่านี้เป็นพื้นฐานทั้งสิ้น
เคล็ดวิชามารฟ้าชิงอายุขัยที่นายท่านเจ็ดมอบให้สวี่ชิงกลับเป็นวิธีการที่กลับกัน ฉายความแข็งแกร่งทรงพลังไร้เทียมทาน ทั้งยังแฝงด้วยรูปแบบของยอดเขาลำดับเจ็ดเอาไว้อย่างเข้มข้น
มันต่อยอดจากวิชาพรางมารยา ยังคงกลืนกินเป็นหลัก
เพียงแต่สิ่งที่กลืนกินไม่ใช่แก่นลมปราณวังสวรรค์ แต่เป็นอายุขัยสวรรค์ในปราณ!
กลืนกินอายุขัยสวรรค์ที่ผู้อื่นได้รับหลังจากที่ผ่านเคราะห์แล้วมาเป็นอายุขัยสวรรค์ของตัวเอง
และอายุขัยสวรรค์ก็เป็นของที่หล่อเลี้ยงปราณที่ดีที่สุด ดังนั้นฝึกฝนวิชานี้ไม่จำเป็นต้องใช้ของวิเศษล้ำค่าฟ้าดินอะไร แค่สังหารไปเรื่อยๆ ก็พอ
ดังนั้นจึงเรียกว่าชิงอายุขัย
สวี่ชิงสีหน้าค่อนข้างจะแปลกประหลาด เขารู้สึกว่าคำว่าชิงคำนี้ นายท่านเจ็ดน่าจะปรับมันให้ดูสวย ต้องเป็นขโมยอายุขัยถึงจะถูก ไม่ใช่ขโมยจากลักขโมย แต่เป็นขโมยช่วงชิงจากการใช้กำลังข่มเหงต่างหาก
ส่วนมารฟ้าสองตัวอักษรนี้ก็มีความหมาย
นี่เป็นจุดพิเศษจุดที่สองของวิชานี้ มันสามารถทำให้ผู้ที่ฝึกบำเพ็ญแยกส่วนปราณที่กลืนกินได้
อายุขัยสวรรค์ในปราณจะกลายเป็นสารหล่อเลี้ยงและสารที่ต้องการสำหรับตัวเอง ส่วนอื่นๆ ก็จะหลอมรวมอยู่นอกร่าง กลายเป็นร่างมารฟ้าที่อยู่ในสภาวะมายา
ร่างมารฟ้ากับร่างแยกดูแล้วคล้ายกัน ทว่า คุณสมบัติภายในกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
มันสามารถก่อเป็นอะไรได้มากมาย ยกตัวอย่างเช่นคอยติดตามร่างตัวเองเหมือนวิญญาณ สู้ให้กับร่างของตัวเอง
และสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของร่างมารฟ้า เป้าหมายการเกิดขึ้นของมันคือรับเคราะห์แทน!
เคราะห์สวรรค์แข็งแกร่ง น่าสะพรึงกลัวขึ้นเรื่อยๆ เสียปราณไปจะเสียหาย จะแตกสลาย แต่ในเมื่อเป้าหมายคือได้รับอายุขัยสวรรค์ เช่นนั้น…ความจริงการผจญเคราะห์ก็เป็นพิธีหนึ่งก็เท่านั้น
ให้ร่างมารฟ้าของตัวเองไปผจญเคราะห์ ผลลัพธ์ก็ออกมาเหมือนกัน
สลายไปหนึ่ง ยังมีร่างที่สอง ร่างที่สาม…
ขอเพียงสำเร็จครั้งหนึ่งก็สามารถเรียกพลังอายุขัยสวรรค์มาได้ ถึงตอนนั้นผู้ที่ฝึกฝนวิชานี้ ค่อยใช้วิชาชิงอายุขัยไปคว้ามาก็ได้
นี่คือรูปแบบของยอดเขาลำดับเจ็ด และเป็นรูปแบบของนายท่านเจ็ดเช่นกัน
สวี่ชิงดวงตาเป็นประกาย ขณะสะบัดมือก็เอาขวดยาลูกกลอนออกมาสามขวด
เคล็ดวิชามารฟ้าชิงอายุขัยในการฝึกฝนทีแรกเหมือนเคล็ดวิชาพรางมารยาชิงมรรคาที่ต้องการดวงใจประหลาดหนึ่งดวง มันก็ต้องการวัตถุที่พิเศษบางอย่างเช่นกัน
อันดับแรก มันต้องให้ผู้บำเพ็ญมีปราณทั้งหมดปรากฏขึ้น อีกทั้งปราณทั้งหมดยังต้องผ่านเคราะห์สวรรค์มาครั้งหนึ่ง หนึ่งในนั้นมีอายุขัยสวรรค์จำนวนหนึ่ง
นี่คือพื้นฐาน
จากนั้นก็เป็นวัตถุในขวดยาลูกกลอนทั้งสามใบนี้
ในขวดใบแรกบรรจุศพของผู้บำเพ็ญปราณก่อกำเนิดเผ่าพรางมารยาที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่งเอาไว้
นี่คือศพที่นายท่านเจ็ดหาอยู่นานถึงจะหาให้สวี่ชิงได้ อย่างไรเสียเผ่านี้ก็พบเห็นได้ยาก
ประโยชน์ของมันคือเพิ่มพลังพรางมารยาของสวี่ชิง ทำให้เขาสามารถชิงปราณของศัตรูมาได้
ในขวดที่สองเป็นคลื่นวนสีเลือดที่ฉายความศักดิ์สิทธิ์ออกมาลูกหนึ่ง
นี่คือไขกระดูกที่นายท่านเจ็ดหลอมออกมาจากก้างปลาเทพเจ้า เพราะเทพเจ้าแดนต้องห้ามเซียนแตกดับ ทุกอย่างขององค์ท่านไร้เจ้าของ สามารถใช้ได้อย่างวางใจ
วิธีการใช้มันก็พิเศษมาก ต้องใช้ปราณมรรคาสวรรค์ของสวี่ชิงหลอมผสานมัน หลังจากนี้ก็จะใช้พลังมรรคาสวรรค์ดูดเอาอายุขัยสวรรค์ในปราณของศัตรูมาได้
ขวดใบที่สาม ในนั้นมีผีร้ายแดนกาฬกาลกิณีแสนตนบรรจุอยู่
ตอนนั้นไป๋เซียวจัวใช้ก้างปลาสามอันรวมกับวิญญาณจื่อชิงในการกำหนดสถานที่เป้าหมาย สุดท้ายก็เปิดช่องในแดนกาฬกาลกิณีได้ช่องหนึ่ง ทำให้วิญญาณร้ายมหาศาลลงมาเยือน แม้จะถูกย้ายไปยังโลกวิญญาณบรรพกาลอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังเหลืออีกจำนวนหนึ่งอยู่ข้างนอก
วิญญาณเหล่านี้ไม่เพียงแค่ดุร้ายน่าหวาดกลัวเท่านั้น ยิ่งมีความคิดฟุ้งซ่านมหาศาล ความทรงจำก่อนและหลังตาย ทำให้พวกมันตกอยู่ในความบ้าคลั่งอยู่ทุกชั่วขณะ
ภายหลังนายท่านเจ็ดหาเจอ ผสานพวกมันไปในขวดใบเล็กที่พิเศษใบนี้ทำการหลอม
ทันทีที่จิตฟุ้งซ่านของผีร้ายแดนกาฬกาลกิณีในนั้นถูกหลอม พวกมันจะกลายเป็นเมล็ดพันธุ์ของร่างมารฟ้า แม้สังหารผีร้ายในแดนกาฬกาลกิณีมากเกินไปจะถูกแดนกาฬกาลกิณีทำเครื่องหมายสัญลักษณ์ แต่ร่างของสวี่ชิงพิเศษ ขอเพียงแค่จำนวนไม่มหาศาลเกินไป ก็จะไม่เป็นไร
สวี่ชิงมองพวกนี้ ในใจซาบซึ้ง ยิ่งมีความเข้าใจต่อคำว่าคิดค้นให้โดยเฉพาะได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
เคล็ดวิชามารฟ้าชิงอายุขัยเท่ากับนำความสามารถที่สวี่ชิงมีทั้งหมดทำให้ยอดเยี่ยมขึ้นในระดับสูงสุด รวมกับปรับสมดุล สุดท้ายก็เกิดเป็นวิชาเฉพาะอันเป็นเอกลักษณ์
‘ทุกอย่างล้วนมีการเตรียมการ ตอนนี้สิ่งที่ต้องการคือการผจญเคราะห์ปราณก่อกำเนิดครั้งสุดท้ายของข้า’ สวี่ชิงสัมผัสปราณที่สิบสามของตัวเองเล็กน้อย ท่ามกลางความรางเลือนก็สัมผัสอะไรได้ ภายในไม่กี่วันจะมีเคราะห์มา
สวี่ชิงถือขวดใบเล็กวิญญาณแดนกาฬกาลกิณีขึ้นมา ตรวจดูเล็กน้อย รู้สึกว่าความเร็วในการหลอมค่อนข้างช้าเนิบ
“ต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงจะได้…” สวี่ชิงพึมพำ ไม่นานนักแววตาฉายประกายเย็นเยือก เขานึกออกวิธีหนึ่ง
ในตอนที่ในใจเขาขบคิดถึงความเป็นไปได้ แผ่นหยกสื่อเสียงก็สั่น หลังจากสวี่ชิงนำออกมาดูก็เห็นว่าผู้ที่สื่อเสียงมาคือโหวเหยา
สวี่ชิงเงียบนิ่งไปหลายอึดใจ ผสานประสาทสัมผัสเทพเข้าไป เอ่ยอย่างเคารพนอบน้อม
“คารวะเจ้าเขตปกครอง”
เสียงของโหวเหยาดังก้องในจิตใจของเขา
“สวี่ชิง
“ติดต่อมู่เยี่ยได้แล้ว”
สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง
“ตอนนี้ทุกอย่างราบรื่น มู่เยี่ยทำตามข้อเสนอของพวกเรา จะผลักดันมอบพื้นที่เขตปกครองของรัฐสายลมสวรรค์ให้แก่เขตปกครองผนึกสมุทรเรา
“แต่ว่ายังมีปัญหาอีกจุดหนึ่ง เขตปกครองนี้ห่างจากเขตปกครองผนึกสมุทรเราค่อนข้างไกล ไม่ได้เป็นพื้นที่ติดต่อกัน ไม่มีความหมายสักเท่าไร”
โหวเหยาเอ่ยอย่างสงบนิ่ง ไม่ได้พูดอะไร หลังจากบอกเรื่องเกี่ยวกับมู่เยี่ยแล้ว เขาก็บอกสวี่ชิงเกี่ยวกับสถานการณ์ของเขตปกครองผนึกสมุทรในตอนนี้เล็กน้อย รวมถึงเรื่องที่การเข้าเป็นพวกของต่างเผ่าและสามมณฑลขององค์ชายเจ็ดยังไม่คืนกลับมาด้วย
เขาใช้วิธีของตัวเองถ่ายทอดสถานการณ์โดยรวมให้สวี่ชิง
ทั้งหมดไม่พูดถึงผืนอินทนิลเลย สวี่ชิงก็ไม่ได้ถาม ทั้งสองรู้กระจ่าในใจงแต่ไม่พูดออกมา และสำหรับสวี่ชิงก็เคารพนอบน้อมโดยตลอด
ความเคารพนอบน้อมนี้ทำให้บนใบหน้าของโหวเหยาที่จวนเหยามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา
เขานึกย้อนถึงอดีตของสวี่ชิง โดยเฉพาะหลังจากที่ฐานะของสวี่ชิงเปลี่ยนไป พบว่าตลอดมา อีกฝ่ายแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไร
“ยึดมั่นปณิธานดั้งเดิมหาได้ยากยิ่ง”
โหวเหยาพึมพำในใจ จบสิ้นการพูดคุยกับสวี่ชิง
สวี่ชิงวางแผ่นหยกลง มองไปทางจวนเหยา
วิธีการของโหวเหยา แม้จะมีบางแห่งที่ยังต้องหารือปรับปรุง แต่ไม่ว่าอย่างไร ผู้ที่มีความคิดล้ำลึกเช่นนี้ดูแลปกครองเขตปกครองผนึกสมุทร ก็ทำให้คนรู้สึกมั่นคงไร้กังวล
เงื่อนไขคือ ต้องเชื่อใจเขา
นานจากนั้นสวี่ชิงถึงได้ดึงสายตากลับมา มีนายท่านเจ็ดอยู่ นี่ไม่ใช่ปัญหาที่เขาควรไปขบคิด แม้โลกภายนอกจะเล่าลือกันว่าตำแหน่งฐานะของเขาสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง แต่สวี่ชิงรู้ดี ไม่ว่าอย่างไร ตัวเองก็เป็นเพียงแค่ระดับก่อกำเนิดลวงเท่านั้น
หากมองว่าสิ่งที่คนอื่นคิดเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว แน่นอนควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว เช่นนั้นก็จะสูญเสียปณิธาน อุดมการณ์ดั้งเดิมของตัวเองไป
คนเช่นนี้สวี่ชิงไม่ชอบ เขาก็ไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นคนทีตัวเองเกลียด
เขาจึงทำทุกอย่างเหมือนกับในอดีต รักษาความเคารพนอบน้อมเอาไว้ รักษาความระมัดระวังเอาไว้ ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นบุคคลยิ่งใหญ่
มีเพียงในด้านมุมมองและความคิด เขาพยายามไปดูดซับความรู้ทุกอย่างจากโลกภายนอก ทำให้ตัวเองยิ่งสมบูรณ์แบบขึ้นอีก
ตอนนี้เก็บแผ่นหยกลงไป สวี่ชิงหลับตานั่งสมาธิ ทั้งกายและใจจมอยู่ในการบำเพ็ญเพียร
เวลาไหลผ่านไปเช่นนี้
สามวันหลังจากนั้น บนท้องฟ้าเหนือวังครองกระบี่มีคลื่นวนเมฆเคราะห์ปรากฏขึ้น ท่ามกลางการหมุนวนเสียงดังครืนครันเลื่อนลั่น สายฟ้าทางหนึ่งพลันฟาดลงมา พุ่งตรงไปยังตำหนักอาลักษณ์ที่สวี่ชิงอยู่
ปราณที่สิบสามของสวี่ชิงในเสี้ยวขณะนี้ก็ลอยขึ้นฟ้า เผชิญกับอัสนีสวรรค์
ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง พลังเคราะห์อัสนีปกคลุมไปรอบปราณของสวี่ชิง แปรเปลี่ยนเป็นแสงคลื่นทรงวงรีเป็นทางๆ แผ่ซ่านมา จากนั้นอัสนีสวรรค์ทางที่สองที่ยิ่งมีพลังปะทุบ้าคลั่งก็พลันฟาดลงมา
จิตสังหารก็พวยพุ่งจากปราณที่โจมตีเป็นหลักของสวี่ชิง ในดวงตาของเขาฉายแววดุดัน พลันเงยหน้าขึ้น พุ่งไปบนท้องฟ้า เผชิญหน้ากับเคราะห์สวรรค์
เสียงดังก้องไปทั่วสารทิศ ดึงดูดความสนใจจากผู้คนในเมืองหลวงเขตปกครอง โดยเฉพาะวังครองกระบี่ยิ่งเป็นเช่นนั้น พวกเขารู้ นี่คือทัณฑ์ลิขิตสวรรค์ปราณก่อกำเนิดของสวี่ชิง อัสนีจากเคราะห์แรกมีทั้งหมดสามทาง
แม้ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันนั้นน้อยมาก แต่นายท่านเจ็ดและจื่อเสวียน ต่างเงยหน้าต้องเพ่งมาจากคนละที่ เตรียมพร้อมที่จะลงมือช่วยเหลือสนับสนุน
จวบจนเคราะห์อัสนีทางที่สามฟาดลงมา หลังจากปกคลุมปราณโจมตีของสวี่ชิง จากเสียงกรีดหวีดแหลมที่ปราณส่งเสียงออกมา เคราะห์สวรรค์ก็สิ้นสุด เมฆหมอกสลายไป แสงพรายรุ่งสาดทอลงมา ก่อเป็นพลังอายุขัยสวรรค์ ซัดโหมเข้าไปในกายปราณที่สิบสามของสวี่ชิง
ครั้งนี้ พลังอายุขัยสวรรค์ที่ฟาดลงมาเทียบกับเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงของปลัดเขตปกครองเมื่อตอนนั้นแล้วน้อยกว่ามากๆ อย่างไรเสียหนึ่งปราณผจญเคราะห์ระดับความยากน้อยที่สุด ดังนั้นผลเก็บเกี่ยวย่อมไม่อาจเทียบกับสิบสองปราณผจญเคราะห์ได้
แต่ว่านี่ก็ไม่เป็นไร เคล็ดวิชามารฟ้าชิงอายุขัยจะทำให้การฝึกฝนภายหลังจากนี้ของสวี่ชิงจะชดเชยพลังอายุขัยสวรรค์ แต่เขาในตอนนี้ในที่สุดก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดลวงอีกต่อไป
ในตำหนักอาลักษณ์ จากการกลับมาของปราณโจมตีเป็นหลักของสวี่ชิง ก็ผสานเข้าไปในร่างกายทันที สวี่ชิงลืมตา ในดวงตาฉายประกายแสงสีม่วง เอ่ยพึมพำเสียงเบา
“ปราณ!”
สิบสามวังบริบูรณ์ เปลี่ยนเป็นปราณแล้วทั้งหมด ผจญเคราะห์ครั้งที่หนึ่งแล้วทั้งหมด
‘เช่นนั้นก็เหลือเพียงแค่ขั้นตอนสุดท้าย ก็จะสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชามารฟ้าชิงอายุขัยได้แล้ว!’
สวี่ชิงเอาขวดยาลูกกลอนที่อาจารย์มอบให้ออกมา
ในขวดนี้แฝงไว้ด้วยฟ้าดิน ในระดับหนึ่งก็นับว่าเป็นวัตถุเก็บของ วิญญาณร้ายแดนกาฬกาลกิณีพวกนั้นในนั้นกำลังอยู่ในขั้นตอนการถูกหลอม
จ้องมองวิญญาณร้ายพวกนี้ หลังจากสวี่ชิงขบคิดในดวงตาก็ฉายแววมุ่งมั่น ก่อนหน้านี้เขามีความคิดในการเร่งความเร็วการหลอม หลายวันมานี้หลังจากที่วิเคราะห์ เขาคิดว่ามีโอกาสความเป็นไปได้สูง
ตอนนี้ลุกขึ้น สวี่ชิงเดินออกไปนอกตำหนักอาลักษณ์ ตรงไปยังสำนักมายาจำแลงปีศาจเมืองหลวงเขตปกครอง
หลังจากผ่านสงครามมา สำนักมายาจำแลงปีศาจที่ผูกติดกับวังครองกระบี่ แม้พลังโดยรวมจะได้รับความเสียหาย แต่สำหรับสำนักสุดยอดเช่นนี้ ฟื้นฟูไม่ใช่เรื่องยาก
ดังนั้นในตอนที่สวี่ชิงมาถึง ก็เห็นว่าในสำนักมายาจำแลงปีศาจ จำนวนลูกศิษย์ก็ยังคงมีมากมหาศาลเช่นเดิม
ไม่ได้ทำให้เป็นเรื่องเอิกเกริก เป้าหมายของสวี่ชิงชัดเจน สถานที่เขาจะไป คือโลกมายา สถานที่สำนักมายาจำแลงปีศาจควบคุมดูแล
ผ่านค่ายกลส่งข้ามในสำนัก เงาร่างสวี่ชิงหายไปจากเขตปกครองผนึกสมุทร ในตอนที่ปรากฏตัวขึ้นก็มาอยู่ในห้วงมายา ยังคงเป็นในร่างก้างปลาตัวนั้นเหมือนเช่นเคย
สำหรับการเดินทางไปโลกมายา สวี่ชิงเชี่ยวชาญแล้ว ดังนั้นไม่นานเท่าไร หลังจากที่เขามองเห็นรูปสลักทะลุหน้าอกมหึมารูปนั้น ร่างก็ถูกฟองอากาศที่ก้างปลาพ่นออกมาหุ้มเอาไว้ ประชิดเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตา สวี่ชิงก็เข้ามาในโลกมายา
ในพริบตาที่ปรากฏขึ้น ต้นไม้สมองมหึมาเหล่านั้นที่แต่เดิมสบายใจเป็นอิสระก็สั่นสะท้านกันทั้งหมด พวกมันจำกลิ่นอายของสวี่ชิงได้ พลันถอยหลังไป หนีกระเจิงไปทุกทิศ
ยิ่งมีข้อมูลมหาศาลเปลี่ยนเป็นระลอกคลื่น แผ่ออกไปรอบๆ ไม่หยุด บอกกับสมาชิกในเผ่าว่าหัวขโมยคคนนั้น มันมาอีกแล้ว!
ดังนั้น สวี่ชิงที่มาเยือนที่นี่ สิ่งที่เห็นคือรอบๆ ตัวที่ว่างโล่งและเงาร่างที่หนีอยู่ที่ไกลลิบๆ
หลิงเอ๋อร์โผล่หัวออกมาจากปกเสื้อ มองไปรอบๆ อย่างสงสัย
“พี่สวี่ชิง ที่นี่คือที่ใดหรือเจ้าคะ ทำไมพวกมันถึงหนีหรือ เหมือนว่าจะกลัวท่านมาก”
“นี่คือโลกมายา เป็นสถานที่ที่น่าสนใจแห่งหนึ่ง พวกมันไม่ได้หนี นี่คือวิธีต้อนรับวิธีหนึ่ง”
สวี่ชิงเอ่ยสงบนิ่ง ก้าวเท้าขยับวูบ ข้างหลังมีปีกสีเลือดข้างหนึ่งปรากฏขึ้น ขณะที่กระพือความเร็วก็ปะทุ ไล่ตามไปในทันที เข้าไปใกล้ต้นไม้สมองที่หนีได้ช้าต้นหนึ่ง
ต้นไม้สมองต้นนั้นส่งจิตเทพหวีดแหลมออกมา
“ไม่กินๆๆ!”
สวี่ชิงไม่สนใจ ยกมือคว้ามันเอาไว้ หยิบเอาขวดลูกกลอนที่บรรจุวิญญาณผีร้ายแดนกาฬกาลกิณีออกมา อาศัยพลังเก็บของในนั้น ส่งต้นไม้สมองต้นใหญ่ต้นนี้เข้าไป
นี่ก็คือวิธีที่สวี่ชิงคิดได้
สมองในโลกมายาชอบกินความทรงจำ อีกทั้งแฝงไว้ด้วยความชั่วร้ายและความละโมบ จะหลอกผู้มาเยือนอยู่ตลอด ทำให้พวกเขาลืมเหตุการณ์การแลกเปลี่ยน
เช่นนี้ก็จะสามารถทำการแลกเปลี่ยนได้ครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งกินอีกฝ่ายจนกลายเป็นคนไม่มีความทรงจำ
สวี่ชิงรู้สึกว่าต้นไม้ใหญ่แบบนี้น่าจะเหมาะนำไปชำระล้างวิญญาณร้ายแดนกาฬกาลกิณีมาก ในเมื่อฝ่ายหลังเต็มไปด้วยความทรงจำฟุ้งซ่าน
ความจริงก็เป็นเช่นนี้ ต้นไม้สมองนั่นเดิมยังคงกรีดร้อง แต่เมื่อเข้าไปในขวดยาลูกกลอนแล้ว ในยามที่สังเกตเห็นผีร้ายแดนกาฬกาลกิณีรอบๆ มันก็เนื้อตัวสั่นเทา
นั่นเกิดจากความตื่นเต้น
มันเข้าไปใกล้วิญญาณดวงหนึ่งอย่างรวดเร็ว ชั้นเปลือกสมองมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบนับไม่ถ้วน จากการหดกระชับ เหมือนว่าดูดอะไรไปได้ และสีหน้าของวิญญาณดวงนั้นก็ไม่เหี้ยมเกรียมอีกต่อไป เปลี่ยนเป็นเหม่อลอย
“ได้ผล!”
สวี่ชิงตื่นเต้น รีบพุ่งออกไปจับต่อทันที
แต่เขารู้เรื่องใดก็ตามจะทำเกินสมควรไม่ได้ ดังนั้นสุดท้ายหลังจากจับมาได้สามสิบกว่าต้นก็เลิก เดินทางจากไป ไม่ได้ไล่จับต่อ
แม้จะมีสมองเพียงสามสิบกว่าก้อน แต่ความเร็วในการกลืนกินความทรงจำของพวกมันรวดเร็วมาก และมากพอที่จะให้สวี่ชิงเร่งความเร็วในการฝึกฝน
เขาคำนวณๆ ดู มีสมองพวกนี้ อย่างมากห้าวัน วิญญาณแดนกาฬกาลกิณีพวกนี้ก็จะตรงกับเงื่อนไขการฝึกฝน
ดังนั้น สวี่ชิงจึงจากไปอย่างพออกพอใจ กลับมาถึงยังวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทร เริ่มปิดด่าน ฝึกฝนเคล็ดวิชามารฟ้าชิงอายุขัย
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปเพียงพริบตาเช่นนี้เอง
ในยามที่สวี่ชิงแปลงเคล็ดวิชามารฟ้าชิงอายุขัยเป็นเมล็ดพันธุ์ฝึกฝน สร้างพื้นฐานให้กับตัวเอง คอยหล่อเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา วันนี้ เขาได้รับสื่อเสียงจากอาจารย์
“เจ้าสี่ องค์ชายเจ็ดส่งทูตมา นำจดหมายเชิญมาให้
“เชิญให้เข้าเจ้าเดินทางไปยังพื้นที่ที่เดิมเป็นป่าต้นเซียนแท้สิบลำไส้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ เข้าร่วมพิธีหวนกลับคืนของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์
“องค์ชายเจ็ดและเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ได้ทำข้อตกลงขั้นต้นแล้ว รอเมื่อจักรพรรดิมนุษย์เห็นชอบส่งราชโองการลงมา เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์นับจากนี้จะกลับคืนสู่เผ่ามนุษย์
“นอกจากเขาจะเชิญเจ้าไปงานเฉลิมฉลองแล้ว ยังเชิญเจ้าเข้าร่วมงานเลี้ยงส่วนตัวของเขา หารือเรื่องการกลับคืนของสามมณฑลเขตปกครองผนึกสมุทรด้วย
“จากข่าวของพวกเรา เผ่ามนุษย์มีบุตรชายชนชั้นสูงผู้มีอำนาจ ศิษย์ของผู้ยิ่งใหญ่เก่งกล้า หรืออัจฉริยะที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวงจักรพรรดิจำนวนไม่น้อย ล้วนได้รับคำเชิญให้ไปเข้าร่วมทั้งสิ้น
“ดังนั้น เจ้าจะไปสักหน่อยหรือไม่”
ขณะเดียวกับที่สวี่ชิงฟังเสียงของอาจารย์ ในพื้นที่ต้นเซียนแท้สิบลำไส้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์เดิม กำลังจะมีงานเลี้ยงขึ้น
จากการหายไปของต้นสิบลำไส้ในตอนนั้น หน้าตาของพื้นที่บริเวณนี้เปลี่ยนไปอย่างมหาศาล แผ่นดินเกิดเป็นหลุมลึกขนาดมหึมา
และการมาเยือนขององค์ชายเจ็ดในภายหลังก็ยึดครองพื้นที่แถบนี้ กลายเป็นฐานที่มั่นกองทัพ ดังนั้นรอบหลุมลึกจึงเต็มไปด้วยค่ายทหารสุดลูกหูลูกตา
รัฐเล็กๆ เหล่านั้นที่เดิมอยู่รอบๆ ก็หลายเป็นพื้นที่พักอาศัยของผู้บัญชาการกองทัพเมืองหลวงจักรพรรดิ โดยเฉพาะรัฐเล็กๆ รัฐหนึ่งที่ชื่อว่าระเบียบล้ำ เนื่องจากสีของวังคือสีน้ำเงิน องค์ชายเจ็ดชื่นชอบพอใจนัก
ดังนั้น วังหลวงของรัฐเล็กรัฐนั้นก็หลายเป็นพระราชนิเวศน์ชั่วคราวขององค์ชายเจ็ด
ตอนนี้ ในตำหนักพระราชนิเวศน์แห่งนี้ เสียงหัวเราะดังไม่ขาดสาย มีชายหนุ่มหญิงสาวสวมเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรานั่งอยู่ ทุกคนล้วนมีรัศมีความสูงส่ง พวกเขามาจากเมืองหลวงจักรพรรดิเผ่ามนุษย์
องค์ชายเจ็ดนั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลาง ยิ้มมองข้างล่าง แต่ไม่มีใครสังเกตว่า ในส่วนลึกของดวงตา ยามที่มองคนกลุ่มนี้แฝงไว้ซึ่งแววดูถูก
มีเพียงในยามที่มองไปทางหญิงสาวข้างหาย แววดูถูกในดวงตาองค์ชายเจ็ดถึงได้หายไป แฝงด้วยความล้ำลึกกลุ่มหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างช้าเนิบ
“เสด็จพี่ ท่านมาครั้งนี้ ช่างกะทันหันนัก”
หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างบนเช่นเดียวกับองค์ชายเจ็ด ดูแล้วอายุประมาณยี่สิบ ผิวขาวราวหิมะ ดวงตาราวสายน้ำ แฝงด้วยความเย็นยะเยือกรางๆ คล้ายว่ามองทะลุซึ่งทุกสิ่ง
นิ้วมือเรียวที่หยิบจอกเหล้าขึ้นมาประดุจเทียนไข ในความขาวกระจ่างแฝงไว้ด้วยสีแดงระเรื่อ
อาภรณ์สีฟ้า ปักดอกท้อเอาไว้บางๆ งดงามสง่า เส้นผมดำขลับมุ่นเป็นหมวยหญิงงามสูงๆ ปักปิ่นงามวิจิตรปราณีต
ปกเสื้ออ้าออกเล็กน้อย เผยให้เห็นลำคอเรียวระหงขาวเนียน ยิ่งทำให้ดูหยิ่งทะนง
ได้ยินคำพูดนี้ ริมฝีแดงของนางก็เผยอเล็กน้อย ส่งเสียงเย็นเยือกออกมา
“น้องเจ็ดนี่กำลังจะหยั่งเชิงว่าข้ามาที่นี่ทำไมอย่างนั้นหรือ”
องค์ชายเจ็ดในดวงตามีแววล้ำลึก ถือจอกเหล้าขึ้นมา มองสุราที่อยู่ในนั้น แย้มยิ้มพลางเอ่ย
“กระหม่อมมิกล้า”