บทที่ 547 กระพือลมโหมเปลวไฟ ยืมดาบฆ่าคน
เขตปกครองผนึกสมุทรในช่วงสงครามแรกๆ พื้นที่สามมณฑลที่ถูกเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ชิงไป หลังจากสงครามจบสิ้น องค์ชายเจ็ดรับช่วงดูแล
แต่จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่ได้ส่งทั้งสามมณฑลกลับสู่เขตปกครองผนึกสมุทร
เรื่องนี้ก็สมเหตุสมผล สามมณฑลนั้นอย่างไรเสียก็เป็นองค์ชายเจ็ดที่นำกลับคืนมา เขตปกครองผนึกสมุทรก็เตรียมค่าตอบแทนเอาไว้พร้อมแล้ว
เพียงแต่ทางองค์ชายเจ็ดทางนั้น ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีทีท่าว่าจะหารือ ในพื้นที่สามมณฑลทางนั้นก็ยังมีกองทัพตั้งค่ายอยู่จำนวนไม่น้อย
เพราะนี่เป็นเรื่องภายในเผ่ามนุษย์ ดังนั้นเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์จะไม่ก้าวก่าย แต่สามมณฑลนี้ผลิตหินวิญญาณมหาศาล ทั้งยังมีเขตเหมืองที่เป็นวัสดุหลอมอาวุธล้ำค่าจำนวนมาก สำหรับการฟื้นฟูในอนาคตของเขตปกครองผนึกสมุทรแล้วมีค่าไม่น้อยเลย
ดังนั้นจะให้หลุดมือไปไม่ได้
จนกระทั่งครั้งนี้ องค์ชายเจ็ดนอกจากจะเชิญชวนสวี่ชิงแล้ว ยังพูดถึงเรื่องการหารือคืนดินแดนอีกด้วย
“โหวเหยาอยากให้เจ้าไปสักหน่อย แต่ข้าไม่ได้รับปากไปในทันที เจ้าสี่ เรื่องนี้เจ้าตัดสินใจเอง
“แต่ว่า ด้านความปลอดภัยไม่มีปัญหา หากเจ้าเกิดเรื่องขึ้นในการเดินทางครั้งนี้ องค์ชายเจ็ดยากที่จะหนีความรับผิดชอบ จากนิสัยของเขา ไม่มีทางโง่ขนาดนั้น”
นายท่านเจ็ดชี้ส่วนได้ส่วนเสียให้สวี่ชิง
สวี่ชิงครุ่นคิด เขานึกถึงการจัดการบางอย่างของโหวเหยาก่อนหน้านี้ รวมถึงพื้นที่เขตปกครองที่เขตปกครองผนึกสมุทรกำลังรับช่วงต่ออย่างลับๆ ด้วย
ที่นั่นไม่ได้มีพื้นที่ติดกับเขตปกครองผนึกสมุทร สำหรับเขตปกครองผนึกสมุทรแล้วเป็นเหมือนโครงไก่ แต่สำหรับองค์ชายเจ็ดแล้ว ความหมายแตกต่างออกไป
‘ตอนนี้ดูไป โหวเหยาน่าจะคาดเดาเรื่องนี้เอาไว้แล้ว วางแผนเอาไว้ล่วงหน้า เหนือชั้นจริงๆ’
สวี่ชิงคิดๆ ศิษย์พี่ใหญ่ตอนนี้ยังไม่กลับมา ดังนั้นเขาทางนี้ยังมีเวลาอยู่บ้าง
ความคาดหวังของโหวเหยา คำถามของอาจารย์ ตลอดจนหลังจากที่ออกเดินทางคนที่เขาได้เห็นทุกคนล้วนทุ่มเทเพื่อความสงบมั่นคงของเขตปกครองผนึกสมุทร ในเมื่อเขาได้รับการเพิ่มพลังจากดวงชะตากว่าครึ่งของเขตปกครองผนึกสมุทร ดังนั้นก็ย่อมต้องแบกรับความรับผิดชอบในระดับที่เทียบเท่า
นอกจากนี้ สวี่ชิงรู้ดีว่าวันที่ศิษย์พี่ใหญ่กลับมา ก็จะเป็นเวลาที่ตนจะต้องเดินทาง
ตำแหน่งของแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรานั่น สวี่ชิงก็เคยสืบค้นมาก่อน มันห่างไกลจากเขตปกครองผนึกสมุทรลิบลับ อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ มีแม่น้ำสายยาวเส้นหนึ่งชื่อว่าเซ่นทมิฬกั้นอยู่
ที่นั่น ในยุคจักรพรรดิโบราณเสวียนโยวย่อมเป็นดินแดนของเผ่ามนุษย์ แต่ภายหลังสูญเสียไป ตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นของเผ่าฟ้าทมิฬเช่นกัน
แต่ในเผ่าฟ้าทมิฬมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่ง
แหล่งเพาะเลี้ยงวิญญาณวิญญาณ
อักษรแหล่งเพาะเลี้ยงนี้มีหลายความหมาย จะเอาไว้บรรยายถึงสวน ป่า ที่เอาไว้เพาะเลี้ยงปศุสัตว์ก็ได้ และเอามาบรรยายถึงที่ที่รวบรวมไว้ซึ่งสารสกัดแก่นแท้ก็ได้
ส่วนรายละเอียด ในเอกสารที่สวี่ชิงค้นหาไม่ได้มีคำบรรยายอะไรที่มากไปกว่านั้น นี่อาจเป็นเหตุผลที่นายกองต้องออกไปข้างนอกรวบรวมข้อมูลให้มากขึ้น
ดังนั้น สวี่ชิงจึงคิดจะทำอะไรให้เขตปกครองผนึกสมุทรก่อนที่จะเดินทาง จึงไม่ได้ปฏิเสธ
เช่นนี้เอง หลังจากนั้นสามสี่วัน กองทัพกองหนึ่งก็เดินทางออกจากเขตปกครองผนึกสมุทร
การออกเดินทางครั้งนี้เป็นหลี่อวิ๋นซานเจ้าวังครองกระบี่นำทัพ ยิ่งมีรองเจ้าวังพิธีการและรองเจ้าวังอาญาที่ได้รับตำแหน่งใหม่เดินทางร่วมด้วย
และยังมีผู้ดูแลทั้งสามวังจำนวนหกคนติดตามไปด้วย
ส่วนกองทัพก็มีวังครองกระบี่เป็นหลัก โดยเลือกมาจากในบรรดาผู้ครองกระบี่ที่ผ่านประสบการณ์สงครามอย่างโชกโชนเหล่านั้นมาสองหมื่นคน เกรียงไกรทรงพลัง เดินทางออกไปจากเขตปกครองผนึกสมุทร
ข่งเสียงหลงก็อยู่ในนี้ด้วย
หลังจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงปลัดเขตปกครอง ข่งเสียงหลงดื่มเหล้าน้อยลงแล้ว ความทุ่มเททั้งหมดของเขานอกจากอยู่ที่การฝึกบำเพ็ญของตัวเองแล้ว ส่วนมาล้วนทุ่มไว้ที่กรมอาลักษณ์ กุมอำนาจไว้มหาศาล
ยิ่งได้รับการให้ความสำคัญจากหลี่อวิ๋นซาน อบรมสั่งสอนให้เขาเป็นผู้สืบทอดวังครองกระบี่เขตปกครองผนึกสมุทรในอนาคต
กองทัพเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วเลื่อนลั่น เรือศึกบรรพกาลลำมหึมาพันกว่าลำเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว ฉายเงามหึมาลงมา ปกคลุมไปบนขุนเขาและสายน้ำ
ข้างหน้าสุดเป็นกระบี่สัมฤทธิ์โบราณเล่มมหึมาเล่มหนึ่ง หลี่อวิ๋นซานและผู้แข็งแกร่งระดับหวนสู่อนัตตาเขตปกครองผนึกสมุทรล้วนอยู่บนนั้น
ข้างหลังกระบี่โบราณคือเรือศึกบรรพกาลของนายท่านเจ็ด ตัวเรือสีดำของมันทำให้คนรู้สึกถึงความโหดเหี้ยม พัดลมพายุคลั่งปกคลุมไปทั่วสารทิศ
สวี่ชิงยืนอยู่ในหอคอยเรือศึกบรรพกาล มองไปยังฟ้าดินที่ไกล
เทือกเขาบนพื้นดินเรียงสลับทับซ้อน หลังจากที่กองทัพส่งข้ามอยู่หลายครั้ง ตอนนี้สถานที่ปรากฏคือแนวหน้าเขตตะวันตกในตอนนั้น
มาถึงที่นี่ เรือศึกบรรพกาลทั้งหมดก็หยุดอยู่กลางท้องฟ้า
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปบนพื้น มองไปยังแผ่นดินที่ยังฟื้นฟูไม่สมบูรณ์และรอยแยกหลายทางที่เจ้าวังครองกระบี่ฟันลงไปในตอนนั้น และยังเป็น…สถานที่ที่เจ้าวังรบตาย
ทุกคนต่างก้มหน้า ยืนสงบนิ่งให้กับเขา
สวี่ชิงจ้องเพ่ง โค้งคารวะสุดตัว
ข่งเสียงหลงอยู่ข้างกายสวี่ชิง ใบหน้าไร้อารมณ์ เพียงแค่หลับตาเท่านั้น
นานหลังจากนั้น เรือศึกบรรพกาลบนท้องฟ้าก็เคลื่อนหน้าต่อไป ไปจากสนามรบที่เศร้าเสียใจแห่งนี้ พุ่งตรงไปทางเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์
ข่งเสียงหลงลืมตาทั้งสองขึ้น ไม่ได้มองไปข้างหลัง แต่มองไปทางเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ เอ่ยสงบนิ่ง
“สวี่ชิง ความจริงแล้วข้าอยากไปดูมากกว่าว่าบุคคลเก่งกาจยอดเยี่ยมเผ่ามนุษย์รุ่นนี้ที่มาจากเมืองหลวงจักรพรรดิเหล่านั้นเป็นอย่างไรกันแน่”
หลังจากที่ข่งเสียงหลงรับผิดชอบดูแลจัดการกรมอาลักษณ์ทั้งมณฑล เสื้อผ้าก็เปลี่ยนไป ตอนนี้สวมชุดเกราะสีดำทั้งชุด ทั้งคนแผ่รังสีอำมหิต
สายตาของเขาเย็นชา สีหน้าไม่โมโหแต่รัศมีอำนาจฉายชัด
เขาที่เป็นแบบนี้มีเงาของเจ้าวังคนก่อนเลาๆ แล้ว
พลังบำเพ็ญของเขาก็ยกระดับขึ้นแล้วเช่นกัน เมื่อสองปีก่อนเขาเป็นระดับวังสวรรค์สิบวัง หลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆ ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเขตปกครองผนึกสมุทรในตอนนั้น เขาไม่เพียงแต่จำนวนวังสวรรค์เพิ่มขึ้น แต่ยังทยอยทำให้เป็นปราณอีกด้วย
การเลือกของข่งเสียงหลงเหมือนกับสวี่ชิงเมื่อก่อนหน้านี้ จะรอให้ปราณเกิดขึ้นทั้งหมดก่อน แล้วค่อยไปผจญเคราะห์ชะตา ได้รับอายุขัยสวรรค์มากขึ้นจากการนี้
จากกลิ่นอายและระลอกคลื่นของเขาก็มองออกว่า อย่างมากอีกไม่กี่เดือนก็จะไปผจญเคราะห์ได้
“น่าจะล้วนไม่ธรรมดา” สวี่ชิงเอ่ยเสียงเบา
เวลาเพียงพริบตาก็ผ่านไปหลายวันเช่นนี้เอง
คนจากเขตปกครองผนึกสมุทรกลุ่มนี้หลังจากที่เข้ามาในเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ก็ราบรื่นตลอดทาง ไม่เจออันตรายหรือการขัดขวางใดๆ อาศัยค่ายกลส่งข้ามที่นี่ ในยามพลบค่ำของวันที่องค์ชายเจ็ดจัดงานเลี้ยงวันนั้นก็มาถึงยังพื้นที่ต้นสิบลำไส้ในอดีต
ที่นี่แตกต่างไปจากในความทรงจำสวี่ชิงมากนัก
กวาดสายตามองไปล้วนเป็นค่ายทหารกองทัพขององค์ชายเจ็ด มากมายเต็มไปหมด สุดลูกหูลูกตา
ตอนนี้กลับมาที่นี่อีกครั้ง สวี่ชิงอดเงยหน้ามองท้องฟ้า ในสมองมีภาพแต่ละฉากๆ ในตอนนั้นผุดขึ้นมา
นานหลังจากนั้นเขาเก็บสายตากลับมา กองทัพถูกจัดให้ตั้งค่ายอยู่ข้างนอก เขากับข่งเสียงหลงได้รับเชิญ ให้มุ่งหน้าไปยังวังหลวงที่จัดงานเลี้ยง
ส่วนพวกหลี่อวิ๋นซานไม่ได้ไปด้วย
ในเมื่อในสายตาขององค์ชายเจ็ดพระองค์นี้ ทั้งเขตปกครองผนึกสมุทร คนที่เขาจำได้มีไม่กี่คนเท่านั้น ข่งเสียงหลงได้รับเชิญมาที่นี่ก็เป็นเพราะปู่ของเขา
ดังนั้น กองทัพตั้งค่ายได้ไม่นานเท่าไร สวี่ชิงกับข่งเสียงหลงก็ตามผู้ใต้บัญชาองค์ชายเจ็ด เหยียบย่างเข้าไปในรัฐเล็กๆ ที่ชื่อว่าระเบียบล้ำ ตลอดทางที่ได้เห็นล้วนร้างว่างเปล่า
ที่นี่ถูกกองทัพเมืองหลวงจักพรรดิยึดครองโดยสมบูรณ์ ทั้งเมืองเต็มไปด้วยกลิ่นอายเหี้ยมโหด บนพื้นยังมีรอยเลือดแห้งหลงเหลือ
เทียบกับที่นี่ วังหลวงสีน้ำเงินอยู่ในเมืองดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก เสียงดนตรีร่ายร้องระบำและเสียงหัวเราะพูดคุยในนั้นลอยออกมา ดังเข้ามาในหูของสวี่ชิงและข่งเสียงหลง
ทั้งสองมองหน้ากันผาดหนึ่ง สีหน้าสุขุม เดินเข้าไปในวังหลวง เดินเข้าไปในตำหนักที่กำลังจัดงานเลี้ยง
พริบตาที่ก้าวเข้าไป เสียงร่ายร้องระบำในตำหนักอันหรูหรายังคงดังอยู่เช่นเดิม แต่เสียงหัวเราะกลับหยุดชะงัก สายตาแต่ละทางๆ รวมมาที่ร่างของคนทั้งสอง
ขณะเดียวกัน ทุกอย่างในตำหนักก็สะท้อนในสายตาสวี่ชิงและข่งเสียงหลงเช่นกัน
องค์ชายเจ็ดนั่งอยู่ตรงกลางข้างหน้าสุด กำลังยิ้มมองมาทางสวี่ชิง
ข้างๆ เขายังมีผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตางดงามสีหน้าแฝงความเย็นชา นั่งอยู่ตรงกลางเช่นเดียวกับเขา เห็นได้ว่าตำแหน่งเทียบเท่ากัน
ข้างล่างทั้งสองคน ซ้ายขวาของตำหนักต่างมีคนหนุ่มสาวสิบกว่าคน ในกลุ่มพวกเขามีทั้งชายและหญิง พลังบำเพ็ญล้วนไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็ระดับปราณก่อกำเนิด กระทั่งว่ามีหลายคนแผ่ระลอกคลื่นระดับสมบัติวิญญาณออกมา
หน้าตาส่วนมากล้วนโดดเด่น เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนหรูหรา แม้จะมีบางคนที่เป็นผ้าธรรมดา แต่ดวงตาที่เหมือนดวงดาราและบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ผู้ที่สวมเสื้อผ้าธรรมดาเหล่านั้นยิ่งดูพิเศษ
และจากสายตา สีหน้าท่าทาง ก็ยากจะมองท่าทีของคนเหล่านี้ออก อย่างไรเสียก็เป็นลูกหลานชนชั้นสูงที่เติบโตมาในเมืองหลวงจักรพรรดิ ไม่พูดถึงว่าจวนของพวกเขาลึกล้ำเพียงใด แต่อย่างน้อยก็มีการเตรียมการขั้นพื้นฐาน
ในยามที่พวกเขามองมาทางสวี่ชิงและข่งเสียงหลง องค์ชายเจ็ดยกมือขึ้นเล็กน้อย ทันใดนั้นเสียงร้องเพลงและการร่ายระบำในตำหนักก็ถอยออกไปทันที เสียงดนตรีหยุดลง เสียงหัวเราะของเขาดังออกมา เสียงอ่อนโยน
“สวี่ชิง ข่งเสียงหลง”
สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม ประสานหมัดโค้งคารวะ
“คารวะองค์ชายเจ็ด”
มีเพียงคนบุ่มบ่ามเท่านั้นถึงจะแสดงความชอบหรือเกลียดชังทั้งหมดในใจออกมา และคนประเภทนี้เห็นได้ชัดว่าไม่มีอยู่ที่นี่ ต่อให้มีก็มักจะจงใจ
ยกตัวอย่างเช่นข่งเสียงหลง เขาใบหน้าไร้อารมณ์ แม้จะคารวะเช่นกัน แต่กลับไม่พูดอะไรออกมาทั้งนั้น
องค์ชายเจ็ดเหมือนไม่สนใจการกระทำของข่งเสียงหลง เขามองสวี่ชิง สายตาฉายแววชื่นชม จากนั้นก็พูดกับคนทั้งหลาย
“ผู้นี้ก็คือสวี่ชิงแห่งเขตปกครองผนึกสมุทรที่ข้าเคยพูดถึงกับพวกเจ้า เสด็จพ่อตบรางวัล ประทานป้ายทอง ชุดเหลือง สิทธิ์วังศึกษา และแต้มความชอบขั้นหนึ่งเผ่ามนุษย์”
พูดจบองค์ชายเจ็ดก็ชี้ไปยังคนที่อยู่ในงานเลี้ยง เริ่มแนะนำฐานะของพวกเขา
“สวี่ชิง ผู้นี้คือโจวเทียนจือ เขาเป็นอัจฉริยะสำนักบัณฑิตไท่ซุ่ยเมืองหลวงจักรพรรดิ มีความสามารถมากล้น
“ผู้นี้คือเซียนหลิวหลิง นางเป็นคนของจวนรังสรรค์ และจวนรังสรรค์ศึกษาค้นคว้าเทพเจ้า ดวงตะวันแห่งแสงอรุณเผ่ามนุษย์เรา ก็เป็นฝีมือของพวกเขา
“นี่คือหลานชายของมหาเสนาเมิ่งของราชสำนักเรา” องค์ชายเจ็ดยิ้มพลางพูด แนะนำให้สวี่ชิงทีละคนๆ
คนทั้งหลายที่นี่ ส่วนมากล้วนเป็นสายเลือดของผู้สูงส่งทรงอำนาจ หากไม่ใช่ว่าตระกูลเคยมีโหวนภา ก็มีบรรพชนที่ตำแหน่งสูงอยู่ตอนนี้ และมีหลายคนที่เป็นผู้มีชื่อเสียงในเมืองหลวงจักรพรรดิ
“แล้วก็มีหวงคุน สหายหวงเป็นสายเดียวกับเจ้า เขารับตำแหน่งอยู่ที่กรมครองกระบี่ บรรพชนของเขาเป็นผู้ดูแลใหญ่ของกรมครองกระบี่ในห้ากรมทมิฬบน”
ผู้บำเพ็ญที่เขาชี้เหล่านั้นก็ยิ้มพยักหน้าให้สวี่ชิงเช่นกัน
สวี่ชิงคารวะทำความเคารพกลับทีละคนๆ
ในนั้นมีคนหนึ่งดึงดูดความสนใจสวี่ชิง
“สวี่ชิง ผู้นี้เจ้าอาจจะไม่เคยพบมาก่อน แต่เขาก็เป็นคนของเขตปกครองสมุทรของพวกเจ้า จางฝานฉีอัจฉริยะฟ้าประทานแห่งสำนักมายาจำแลงปีศาจ เมื่อสามสิบปีก่อนเขาเดินทางไปเมืองหลวงจักรพรรดิเพื่อพเนจรแสวงหาความรู้ ช่วงนี้ตามองค์หญิงกลับมา”
ชายกลางคนที่องค์ชายเจ็ดแนะนำลุกขึ้นประสานหมัดไปทางสวี่ชิง สีหน้าแฝงแววทอดถอนใจ ยิ่งมีความชื่นชม
สุดท้ายองค์ชายเจ็ดสีหน้าเคร่งขรึม ลุกขึ้นโค้งคารวะหญิงสาวเย็นชาที่อยู่ข้างๆ หันไปพูดกับสวี่ชิง
“นี่คือเสด็จพี่หญิงของข้า องค์หญิงอันไห่”
สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง ประสานหมัดคารวะ
“คารวะองค์หญิง”
ข่งเสียงหลงที่อยู่ข้างๆ ก็ก้มศีรษะโค้งคารวะเช่นกัน
องค์หญิงอันไห่ยังคงสีหน้าเย็นชาเช่นเดิม พยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรออกไปทั้งสิ้น
องค์ชายเจ็ดมองภาพนี้ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ไม่นานก็กลับเป็นปกติ เรียกให้สวี่ชิงนั่ง
สวี่ชิงพยักหน้า นั่งลงที่ปลายสุดของทางด้านขวาของตำหนัก ใกล้กับประตูตำหนักด้วยกัน
จากการนั่งลง เสียงเพลงที่นี่ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงหัวเราะพูดคุยดังขึ้นอีกครั้ง จางฉีฝานจากสำนักมายาจำแลงปีศาจนั่งตรงข้ามสวี่ชิง ถือจอกเหล้าขึ้นมา คารวะสวี่ชิงจากไกลๆ
รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจริงใจ ฉายแววสะท้อนใจ
สวี่ชิงเห็นก็หยิบจอกเหล้าขึ้นมา หลังจากดื่มลงไป ข้างกายก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“สวี่ชิง พบกันครั้งแรกเดิมไม่ควรล่วงเกิน แต่ข้าสงสัยมากๆ…ตอนนั้นมหาจักรพรรดิหยั่งใจเจ้าตอบอะไรไปกันแน่ถึงได้ประกายแสงตั้งหมื่นจั้ง”
คนที่พูดไม่ใช่จางฉีฝาน แต่เป็นชายหนุ่มที่นั่งเยื้องไปทางขวาของโต๊ะที่สวี่ชิงและข่งเสียงหลงนั่งอยู่
เขาสวมชุดคลุมยาวสีเหลืองอ่อน แม้ใบหน้าจะงามสง่า แต่สีหน้าท่าทางเหมือนเคยชินกับความอ่อนโยน ทำให้ทั้งคนดูแล้วมีความเมตตาใจดีอยู่หลายส่วน
ตอนนี้เขามองสวี่ชิง รอยยิ้มเต็มใบหน้า
สวี่ชิงจำได้ ในตอนที่องค์ชายเจ็ดแนะนำก่อนหน้านี้ได้บอกฐานะของคนคนนี้ เขาคือหลานของมหาเสนาคนปัจจุบัน ชื่อว่าเมิ่งอวิ๋นไป๋
จากคำพูดของเมิ่งอวิ๋นไป๋ หญิงสาวที่นั่งอยู่อีกข้างหนึ่งของเขาก็มองมาเช่นกัน
หญิงสาวคนนี้สวมอาภรณ์เนื้อผ้าธรรมดาสีดำเรียบง่ายมาก หน้าตางดงาม มัดผมหางม้า แต่ในดวงตามีรูม่านตาสองรู ฉายความแปลกประหลาด คนที่ถูกนางจ้องมองต่างใจสั่นสะท้านไปตามสัญชาตญาณ
องค์ชายเจ็ดแนะนำหญิงสาวคนนี้ว่าเป็นเซียนหลิวหลิง คนของจวนรังสรรค์
“ในตัวเจ้ามีกลิ่นอายของเทพเจ้า”
เซียนหลิวหลิงจ้องมองสวี่ชิง หน้าตาของนางอ่อนเยาว์ แต่เสียงที่ดังออกมากลับเป็นเสียงของหญิงชรา แปลกประหลาดยิ่งนัก
สวี่ชิงหันไป สายตามองไปที่ร่างของเมิ่งอวิ๋นไป๋ แล้วมองไปทางเซียนหลิวหลิง ในขณะที่กำลังจะปฏิเสธอย่างอ้อมๆ เมิ่งองิ๋นไป๋ก็หัวเราะ แล้วพลันเอ่ยขึ้น
“พวกเรามาแลกเปลี่ยนกันสักหน่อย เจ้าบอกคำตอบข้า แล้วข้าจะบอกเจ้าว่าคนพวกนี้ที่นี่ใครมีจิตคิดร้ายกับเจ้า และสาเหตุของจิตคิดร้ายนี้ เป็นอย่างไร”
ข่งเสียงหลงได้ยินก็คล้ายครุ่นคิด เขาค้นพบแล้วว่า คนที่มาจากเมืองหลวงจักรพรรดิเหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดา
และคนผู้นี้ สิ่งที่ต้องการคงไม่ใช่คำตอบ แต่จะอาศัยโอกาสนี้แสดงท่าทีของตัวเอง แต่ก็ยากจะวิเคราะห์ความเป็นมิตรหรือศัตรูของเขา แต่เขาจะลองใช้เรื่องนี้มาหยั่งเชิงความรู้ความเข้าใจของสวี่ชิง เรื่องนี้มั่นใจได้
ในเมื่อคำพูดของเขาเป็นได้ทั้งจริงและเท็จ
แต่ว่าในใจของข่งเสียงหลง แผนการเพียงแค่นี้ อยู่ต่อหน้าสวี่ชิงนั้นไร้ประโยชน์
สวี่ชิงมองไป๋เมิ่งอวิ๋นผาดหนึ่ง เอาแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาจากถุงเก็บของ แล้วยื่นไป
“นี่คืออะไรหรือ”
เมิ่งอวิ๋นไป๋คิ้วเลิกขึ้น หลังจากหยิบมาก็กวาดประสาทสัมผัสเทพไป ดวงตาเบิกโพลง เงยหน้ามองไปทางสวี่ชิง
“ผ่านเจ้านี่อย่างนั้นหรือ ครบเช่นนี้เชียว!”
“ขอรับ คำตอบหยั่งใจส่วนใหญ่ในเจ็ดเขตปกครองเผ่ามนุษย์หลายปีมานี้โดยพื้นฐานอยู่ในนี้หมดแล้ว”
สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
แผ่นหยกแผ่นนี้เป็นนายกองซื้อไว้ในตอนนั้น ภายหลังมอบให้สวี่ชิงด้วยแผ่นหนึ่ง
เมิ่งอวิ๋นไป๋อึ้งเล็กน้อย มองไปทางสวี่ชิงอย่างสงสัย เขาไม่เชื่อไปโดยสัญชาตญาณ แต่ในแผ่นหยกนี้มีคำตอบมากมาย ละเอียดเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งว่ายังบอกความสูงของการหยั่งใจด้วย แค่เห็นก็รู้แล้วว่าทุ่มเทค่าตอบแทนและพลังกายใจไปไม่น้อยในการเรียบเรียงโดยเฉพาะ
ในตอนที่เขาลังเลอยู่ทางนี้ คนอื่นๆ ในงานเลี้ยง หัวข้อสนทนาก็พูดถึงบุตรเทวะฟ้าทมิฬที่เคยปรากฏบริเวณพื้นที่แถบนี้ไปโดยไม่รู้ตัว
เรื่องนี้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ที่รู้และคนที่ได้ยินเรื่องนี้มีไม่มาก แม้ผู้ที่เข้าร่วมเรื่องนี้ส่วนมากตายไปแล้ว แต่ข่าวลือยากจะควบคุม ต่อให้เป็นเผ่ามนุษย์ก็ค่อยๆ ได้ยินข่าวลือเช่นกัน
“พูดถึงบุตรเทวะฟ้าทมิฬ แม้ข้าจะไม่รู้รายละเอียด แต่ได้ยินว่าหลุมลึกข้างนอกเกิดขึ้นก็เพราะเขา เห็นได้ว่าฝีมือน่าครั่นคร้ามปานใด
“น่าเสียดายไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงปรากฏตัวที่นี่ และต้นสิบลำไส้ไยจึงหายไป
“เผ่าฟ้าทมิฬชั่วช้า บุตรเทวะผู้นี้น่ากลัวว่าคงจะยิ่งกว่านั้น คงไม่พ้นพวกคลั่งสังเวย คงจะสังเวยต้นสิบลำไส้ของเซียนพิบัติให้กับชื่อหมู่ผู้เป็นนายของเขา
“องค์ชายเจ็ดได้รับชัยชนะกลับมาจากเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ หาร่องรอยจองบุตรเทวะฟ้าทมิฬผู้นี้เจอหรือไม่”
คนทั้งหลายทยอยเอ่ยขึ้น ในยามพูดถึงบุตรเทวะฟ้าทมิฬ ไม่ว่าพวกเขาจะมีฐานะอะไร ในคำพูดล้วนฉายความหวาดเกรง เห็นได้ชัดว่าบุตรเทวะฟ้าทมิฬสำหรับพวกเขาแล้วมีน้ำหนักเป็นอย่างมาก
องค์ชายเจ็ดส่ายหน้า
“เรื่องนี้ข้าเคยได้ยิน และเคยถามเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์บางคน จากคำบรรยายของพวกเขาบุตรเทวะฟ้าทมิฬผู้นี้พลังบำเพ็ญน่าตื่นตะลึง ฐานะสูงส่ง เพียงสะบัดมือก็เรียกพลังชื่อหมู่ลงมาได้ ยิ่งทำให้รูปสลักเผ่าฟ้าทมิฬคุกเขาเรียกเขาว่านายท่านได้
“แต่น่าเสียดายหลังจากที่เขาหายไป ก็ไม่ได้ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ทั้งสิ้น เสด็จพี่น่าจะเข้าใจดีกว่า ในเมื่อท่านเป็นผู้ดูแลของจวนรังสรรค์”
องค์ชายเจ็ดพูดจบก็มองไปทางองค์หญิงอันไห่
องค์หญิงอันไห่ใบหน้าไร้อารมณ์ ส่งเสียงที่เย็นชาเหมือนสีหน้าของนางออกมา
“บุตรเทวะฟ้าทมิฬผู้นี้น่าจะมาจากแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา มีเพียงที่นั่นถึงจะมีเครือญาติที่แท้จริงของชื่อหมู่ต้อนสัตว์ให้กับองค์ท่าน”
สวี่ชิงตาจ้องเพ่ง ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลที่เขาไม่รู้มาก่อน ตอนนี้หลังจากที่ได้ยิน เขาก็คล้ายครุ่นคิด
ข่งเสียงหลงที่อยู่ข้างๆ เขาถือจอกเหล้าขึ้นมาดื่มลงไปอึกหนึ่ง พยายามควบคุมตัวเองไม่ไปมองสวี่ชิง
จนตอนนี้เขาก็ยังจำสวี่ชิงกับศิษย์พี่ของอีกฝ่ายที่เปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นเผ่าฟ้าทมิฬต่อหน้าเขา จากนั้นก็เดินทางมายังพื้นที่ที่เหยียบอยู่ตอนนี้
และหลังจากที่พวกเขามาถึงที่นี่ ที่นี่ถึงได้มีเรื่องบุตรเทวะฟ้าทมิฬเล่าลือกัน…
ส่วนคนอื่นๆ หลังจากได้ยินคำขององค์หญิงอันไห่ก็ต่างพยักหน้าเล็กน้อย มีเพียงองค์ชายเจ็ดที่จู่ๆ มองไปทางสวี่ชิง ยิ้มพลางเอ่ยปาก
“สวี่ชิง เขตปกครองผนึกสมุทรห่างจากที่นี่ไม่ได้ไกลมาก เจ้าเคยได้ยินบุตรเทวะฟ้าทมิฬผู้นี้หรือไม่”
“หลังจากเกิดเรื่องก็เคยได้ยินพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชิงเงยหน้า ดวงตาที่มองไปทางองค์ชายเจ็ดจริงจัง
องค์ชายเจ็ดยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร
สวี่ชิงสายตาเป็นปกติ ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย คนทั้งหลายที่นี่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา พูดคุยกันถึงเรื่องใหญ่ของหมื่นเผ่าในแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ยกตัวอย่างเช่น การล่าสัตว์ของเผ่านภาคิมหันต์
พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าบางคนก็ฉายความเดือดดาลขึ้นมา
และยังมีเรื่องเกี่ยวกับการกลับคืนมาของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์และคุณูปการที่องค์ชายเจ็ดสร้างไว้ในครั้งนี้ ทุกครั้งในช่วงเวลาเช่นนี้ องค์ชายเจ็ดล้วนยิ้มแย้ม
ยิ่งพูดถึงดวงตะวันแห่งแสงอรุณและสถานการณ์เขตปกครองเผ่าอื่นๆ
มีบางครั้งที่พูดถึงข่าวน่าอัศจรรย์ของดินแดนอื่นๆ บ้าง
เรื่องภายหลังเหล่านั้นสวี่ชิงกับข่งเสียงหลงไม่เคยได้ยินมาก่อน และไม่เข้าใจในรายละเอียด จึงเงียบนิ่งโดยตลอด
จวบจนมีคนชี้หัวหอกจากหัวข้อสนทนามายังสวี่ชิง
“องค์ชายเจ็ด กระหม่อมแซ่หลัวคนนี้นิสัยตรงไปตรงมา พูดอะไรอาจล่วงเกินคนอื่น เรื่องนี้ตอนนั้นพระองค์เคยเตือนกระหม่อม แต่วันนี้…กระหม่อมก็ยังคงอดไม่ได้ คนบางคนช่างเนรคุณยิ่งนัก ชวนให้คนหยามหมิ่น”
คนพูดคือผู้สืบสายเลือดโหวนภาหลัวคนนั้น องค์ชายเจ็ดแนะนำไว้ว่าเขาชื่อหลัวจิ้งซง
ตอนนี้ในยามที่เขาพูด ทางที่มองไปคือสวี่ชิงนั่นเอง
สวี่ชิงสีหน้าสงบนิ่ง ตอนเด็ก เขาผ่านความอัปลักษณ์จากความเป็นมนุษย์มามากมาย ดังนั้นเขารู้ดี ในยามที่คนผู้หนึ่งบอกก่อนว่าตัวเองนิสัยเป็นเช่นไร เช่นนั้นมักจะบ่งบอกว่าคำพูดที่เขาจะพูดต่อไปนี้เป็นปฏิปักษ์
และตอนนี้ ข้างหูเขาก็มีเสียงกระซิบกระซาบของเมิ่งอวิ๋นไป๋ดังมา
“น้องสวี่ชิง คนนี้คือหลัวจิ้งซง นิสัยไม่ได้ตรงไปตรงมาอย่างที่เขาพูดแบบนั้นหรอกนะ ข้าจะบอกเจ้าให้ ผู้สืบสายเลือดโหวนภาที่ว่าในเมืองหลวงจักรพรรดิ นอกจากจะมีไม่กี่คนที่จำกัดไว้เหล่านั้นแล้ว ส่วนมากล้วนเหลือเพียงแต่เปลือกที่รุ่งโรจน์เท่านั้น ไม่มีอำนาจแท้จริงอะไร และไม่มีพรสวรรค์สักเท่าไร สายเลือดยิ่งเปลี่ยนมาผสมปนเป
“หลัวจิ้งซงก็เป็นหนึ่งในนั้น พอจะฉลาดอยู่บ้าง ทั้งใจคิดอยากติดตามองค์ชายเจ็ด แต่ไม่เข้าตาองค์ชายเจ็ด ดังนั้นวันนี้เขาสร้างความลำบากให้เจ้าต่อหน้าคนทั้งหลาย ก็เพื่อใช้เรื่องนี้มาประจบประแจงองค์ชายเจ็ด
“เขาไม่โง่ และรู้ว่าทำแบบนี้อาจทำให้องค์ชายเจ็ดไม่พอใจ แต่ไม่ว่าเรื่องใด ขอเพียงคนทั้งหลายต่างคิดว่าเขาเป็นสายหลักขององค์ชายเจ็ด เช่นนั้นจะใช่หรือไม่ใช่ ความจริงแล้วไม่สำคัญ
“แต่ว่าเขาไม่เข้าใจ ฉลาดน้อยจะอย่างไรก็เป็นแค่พวกฉลาดน้อย”
เมิ่งอวิ๋นไป๋ในตอนที่สื่อเสียง หลัวจิ้งซงจ้องสวี่ชิง สีหน้าแฝงด้วยความเกลียดชัง
“เพื่อช่วยเขตปกครองผนึกสมุทร องค์ชายเจ็ดแบกรับความกดดันมหาศาล ไม่ฟังเสียงคัดค้าน ในยามที่เผ่ามนุษย์ทำสงครามกับเผ่าฟ้าทมิฬได้นำกองทัพมุ่งหน้าไปเขตปกครองผนึกสมุทร แก้ไขสถานการณ์วิกฤตดับสูญของเขตปกครองผนึกสมุทร นี่คือบุญคุณช่วยชีวิต
“หลังจากนั้นองค์ชายเจ็ดลงไปเป็นทหารด้วยตัวเอง ไม่กลัวเป็นตาย เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างฮึกเหิมอาจหาญ เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ถอยร่นแพ้พ่าย หากมิใช่จักรพรรดิบรรพชนของพวกพระองค์ทะลวงขั้นได้ แผ่นดินใหญ่คลื่นศักดิ์สิทธิ์ทั้งผืนวันนี้ล้วนเป็นดินแดนของเราเผ่ามนุษย์!
“แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ก็สร้างคุณูปการครั้งยิ่งใหญ่ ยิ่งทำให้เผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์กลับคืนสู่เผ่ามนุษย์ ความรุ่งโรจน์แผ่ไปทั่วแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ แต่ลับหลังกลับมีคนบางคนใช้วิธีชั่วช้าใส่ร้าย! ทำให้องค์ชายเจ็ดถูกฝ่าบาทตำหนิว่าประมาทไม่รอบคอบ ทั้งยังลงภาคทัณฑ์!”
กลับดำเป็นขาว ทำความจริงให้สับสน คำพูดทั้งหมดออกจากปากหลัวจิ้งซง พูดได้ว่าถึงอกถึงใจ
คนทั้งหลายในงานเลี้ยงเงียบกริบทันที
องค์ชายเจ็ดเอ่ยราบเรียบ
“หุบปาก”
หลัวจิ้งซงได้ยินก็รีบลุกขึ้นทันที โค้งคารวะองค์ชายเจ็ด หลังจากเงยหน้าก็เอ่ยอย่างขุ่นเคือง
“องค์ชายใจกว้างมีเมตตา จิตใจสูงส่ง ไม่อยากที่จะคิดเล็กคิดน้อยกับพวกชั่วช้า แต่กระหม่อมแซ่หลัวคนนี้ทนดูต่อไปไม่ได้จริงๆ คนบางคนหลังจากได้รับการช่วยชีวิตไร้ค่าเอาไว้ กลับลืมบุญคุณ หากมีความสามารถจริงๆ ตัวเองก็ไปบุกเบิกขยายดินแดนเองเสีย ไม่จำเป็นต้องวางแผนชั่วร้าย”
คนทั้งหลายที่อยู่รอบๆ ต่างสีหน้าแปลกประหลาด มองไปทางสวี่ชิง
เมิ่งอวิ๋นไป๋ก็เช่นกัน
สวี่ชิงสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น คำพูดจากสื่อเสียงของเมิ่งอวิ๋นไป๋ก่อนหน้านี้ เขาย่อมไม่เชื่อทั้งหมด
และสาเหตุที่หลัวจิ้งซงเอ่ยปากเช่นนี้ มองเผินๆ เหมือนเรียกร้องความยุติธรรมให้องค์ชายเจ็ด แต่ความรู้ความเข้าใจของสวี่ชิงในตอนนี้ได้รับการปรับแล้ว ไม่จำกัดอยู่เพียงที่อยู่ตรงหน้าอีกต่อไป
เขาเรียนรู้ที่จะใช้มุมมองที่กว้างไกลยิ่งขึ้นในการมองปัญหา
ดังนั้นภาพฉากที่เหมือนสมเหตุสมผลฉากนี้ หากเปลี่ยนมามองในระดับสูงก็จะเห็นเงื่อนงำบางอย่าง
การกระทำของหลัวจิ้งซงยากจะบอกว่าทำไปเพื่อประจบองค์ชายเจ็ดทั้งหมด
เหมือนกับการจงใจเปิดแผล สร้างระลอกคลื่นน้ำมากกว่า
สวี่ชิงมององค์หญิงอันไห่ที่ใบหน้าสงบนิ่งข้างองค์ชายเจ็ด นางเลือกที่จะเงียบนิ่ง ไม่ลงมาร่วมในสถานการณ์ด้วย
ข่งเสียงหลงที่อยู่ข้างๆ เขา ทางด้านความรู้ความเข้าใจก็ยังคงมองแต่สถานการณ์ข้างหน้า ตอนนี้ความโกรธเดือดพล่าน กำลังจะอ้าปากโต้แย้ง สวี่ชิงยกมือกดไหล่ของเขา จากนั้นก็ยื่นขึ้นมองไปทางองค์ชายเจ็ดและองค์หญิง
“องค์ชาย องค์หญิง กระหม่อมแซ่สวี่เพิ่งมาถึง ค่อนข้างเหนื่อย หากไม่มีเรื่องอื่นใด ขอทูลลาไปก่อน”
องค์ชายเจ็ดดวงตามีแววล้ำลึก ใบหน้าฉายรอยยิ้ม กำลังจะเอ่ยปาก
แต่ในตอนนี้ จางฉีฝานอัจฉริยะฟ้าประธานสำนักมายาจำแลงปีศาจเขตปกครองผนึกสมุทรคนนั้นที่นั่งตรงข้ามสวี่ชิง พลันตบโต๊ะข้างหน้าจนเสียงดังโครมออกมา ตัวเขาก็ผุดลุกขึ้นเช่นกัน มองหลัวจิ้งซงอย่างโมโห
“เพ้อเจ้อเหลวไหล!
“ข้าแซ่จางคนนี้ช่วงนี้เพิ่งกลับมา ได้พูดคุยกับสำนัก และได้พูดคุยกับสหายสนิทเมื่อในอดีตหลายคน ถึงได้รู้ความจริงของสงครามครั้งนี้ รู้ถึงการเสียสละทุ่มเทของอาลักษณ์สวี่!
“เจ้าบอกว่าช่วยแก้วิกฤตดับสูญของเขตปกครองผนึกสมุทรหรือ ในตอนที่เขตปกครองผนึกสมุทรของข้ารักษาป้องกันการรุกรานจากเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์ กองทัพเสริมอยู่ที่ใด
“ในตอนที่แนวหน้าทางเหนือและทางตะวันตกเขตปกครองผนึกสมุทรเสียสละชีพไปนับไม่ถ้วน กองทัพเสริมอยู่ที่ใด
“ตอนนั้นขอเพียงกองทัพเสริมมาเร็วแม้เพียงหนึ่งก้านธูป เจ้าวังครองกระบี่ก็ไม่ต้องตายอย่างอนาถ และจากที่ข้ารู้มา กองทัพเสริมออกเดินทางจากเมืองหลวงจักรพรรดิมาตั้งนานแล้ว! หรือต้องให้คนทั้งหมดตายไปพอประมาณกองทัพเสริมถึงจะมา ก็ไม่ใช่ว่ากังวลว่าคนที่รอดจะมาแบ่งแย่งความดีความชอบไปหรอกหรือ
“ส่วนเรื่องประมาทไม่รอบคอบ…หากให้เทียนประทีปรับตำแหน่งจริงๆ เขตปกครองผนึกสมุทรตอนนี้ยังจะเป็นดินแดนของเผ่ามนุษย์อยู่หรือไม่!
“ประมาทไม่รอบคอบหรือไม่ ใครจะไปรู้”
จางฉีฝานเคืองแค้นต่อความไม่เป็นธรรม เอ่ยอย่างเดือดดาล
สวี่ชิงหรี่ตา ข่งเสียงหลงตอนนี้ก็กระจ่างแจ้ง มองหน้าสวี่ชิง
คำพูดของคนคนนี้กะทันหันนัก
เห็นได้ชัดว่ามีคนจะบีบให้พวกเขาเป็นดาบ!
และเรื่องบางอย่าง ในยามที่เขตปกครองผนึกสมุทรเพิ่งสงบนิ่งมั่นคงยังไม่เหมาะที่จะเปิดมันออกมา
ยังไม่ได้จังหวะ สำหรับเขตปกครองผนึกสมุทรที่ผ่านสงครามและเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงที่เขตปกครองหลวง ตอนนี้การฟื้นฟูถึงจะเป็นเรื่องสำคัญ หากเกิดคลื่นขึ้นมาอีก จะเกิดเป็นการกระทบกระเทือนที่รุนแรงยิ่งขึ้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ หลังจากผ่านเคราะห์ทุกอย่างนี้ เขตปกครองผนึกสมุทรไม่เชื่อคนนอกใดๆ ทั้งนั้น
แต่เห็นได้ชัดว่ามีคนที่ไม่รู้ว่ามีเป้าหมายอะไร คิดจะทำให้น้ำที่นี่ขุ่นขึ้นมาเล็กน้อย